การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 178
ตอนที่ 178
เจี๊ยก!! เจี๊ยก!!
ลิงยักษ์กินเนื้อที่กลุ่มรุมมาจากรอบทิศทาง จู่ๆก็แสดงพฤติกรรมแปลกพิลึกออกมา จากที่วิ่งตะบึงมาหาทีม โจมตีอย่างคลุ้มคลั่งโกรธเกรี้ยว กลับหยุดชะงักอยู่กับที่และค่อยๆก้าวถอยหลัง ยังกับว่าพวกมันกําลังกริ่งเกรงอะไรบางอย่าง
“เกิดอะไรขึ้นกับพวกมันกัน? ทําไมพวกมันถึงถอยหลังหนีด้วย?”
“ไม่รู้สิ ฉันก็สงสัยเหมือนกัน อยู่ดีๆท่าทีของพวกมันก็เปลี่ยนเฉยเลย…”
สมาชิกทีมโจมตีทุกคนรู้สึกตะลึงงัน คิดไม่ออกว่าเหตุใดมอนสเตอร์ถึงได้แสดงอาการหวาดกลัวออกมาอย่างนั้น.. พวกเขาพร้อมใจกันเลื่อนสายตาพินิจมองซูฮยอน
พวกเขาพบว่ากลางหน้าผากของอีกฝ่ายมีดวงตาลึกลับแย้มพราย
มีผู้ตื่นขึ้นหลายคนที่ถือครองสกิลพิลึกกึกกือ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนร่างกายของซูฮยอน ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไร สิ่งที่สมาชิกทีมโจมตีให้ความสนใจมากที่สุดคือ หลังจากซูฮยอนเปิดใช้งาน สกิล] บรรยากาศรอบตัวพลันผันแปร
<< ความหนาแน่นของพลังเวทรุนแรงกว่าของฉันไม่รู้กี่เท่า…>>
<< สาเหตุที่มอนสเตอร์แสดงอาการกลัวลานจนพากันถอยหนี เป็นเพราะคิมซูฮยอนใช่หรือป่าว? >>
สมาชิกทีมโจมตีตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าต้นสายปลายเหตุที่ทําให้ลิงยักษ์กินเนื้อเผยอาการสั่นกลัวมาจากซูฮยอนไม่ผิดแน่
พวกเขายอมรับว่าซูฮยอนแข็งแกร่งอย่างแท้จริง แต่มนุษย์เพียงคนเดียวจะสร้างความหวาดกลัวให้แก่มอนสเตอร์นับร้อยได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ?
หากคํานึกถึงสัญชาตญาณดิบเถื่อนของเหล่ามอนสเตอร์ พวกมันมีนิสัยโจมตีมนุษย์ไม่เลือกหน้า แม้จะอยู่บนปากเหวแห่งความตาย พวกมันก็ไม่หวั่นเกรง การที่มอนสเตอร์แสดงอาการครั่นคร้าม นับว่าเป็นภาพเหตุการณ์ที่ประหลาดมาก
ซูฮยอนสืบเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า ร่างกายโอบล้อมด้วยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์
ทุกครั้งที่เขายกเท้าขยับเขยื้อนไปด้านหน้า ลิงยักษ์กินเนื้อจะถอยหลังหนีหนึ่งก้าวเสมอ
ทีมโจมตีที่ยืนอยู่ด้านหลังซูฮยอนแทบจะไม่เชื่อสายตัวตัวเอง ภาพเหตุการณ์ที่พวกเขาเห็นอยู่ตอนนี้ ไม่อาจพรรณนาเป็นคําพูดได้ มอนสเตอร์ตัวใหญ่เกือบเท่าช้าง ประหวั่นพรั่นพรึงต่อมนุษย์เพียงคนเดียว….
“มิร”
คิ้ว??
มิรุที่กําลังโผบินอยู่เหนือหัวทีมโจมตี ร้องขานรับเสียงเรียกซูฮยอน
“ฉันฝากนายดูแลพวกเขาด้วย อย่าให้มีใครตกตายเด็ดขาด เข้าใจไหม?”
คิ้ว!!
มิรคํารามตอบกลับอย่างขมีขมัน ราวกับจะพูดว่า… “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเอง!!”
ทันใดนั้น….
[การคุ้มครองจากเทพมังกร]
[คําอวยพรจากเทพมังกร]
[สะท้อน]
“หืม? นี่มัน…”
“บัฟไม่ใช่เหรอ?”
“มังกรตัวนั้นมอบบัฟให้กับพวกเรา?”
เมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนภายในหัวพร้อมม่านโปร่งใสที่คลุมทับรอบกาย ความปั่นป่วนลุกลามไปทั่วสมาชิกทีมโจมตีทุกคน
พวกเขาทุกคนต่างคิดเหมือนกันว่ามิรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่บินได้อย่างเดียว เหตุผลที่พวกเขาเชื่อแบบนั้น เพราะนอกจากสมรรถนะในการบินเร็วดุจสายฟ้าฟาดแล้ว พวกเขาไม่ยักจะเห็นความสามารถอื่นเลย คิดไม่ถึงว่ามังกรตัวนี้จะมอบบัฟให้ผู้อื่นได้ด้วย
<< เขาทําทั้งหมดนี้ เพื่อปกป้องพวกเราสินะ? >>
เชอร์นอฟกระจ่างแจ้งถึงเหตุผลที่มิรุมอบบัฟให้แก่ทีมโจมตีทุกคน เพราะซูฮยอนไม่อยากให้ใครคนใดคนหนึ่งที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขาต้องเสียชีวิตลง…
<< ในที่สุดคิมซูฮยอนก็งัดสกิลของตัวเองออกมาใช้เสียที >>
เชอร์นอฟรู้สึกตื่นเต้นจนเนื้อตัวสั่น อดใจรอไม่ไหวอยากเห็นผู้ตื่นขึ้นชาวเกาหลีใต้คนนี้ออกลวดลายเร็วๆ
<< คิมซูฮยอนถนอมพวกเราราวกับไข่ในหิน เพื่อตอบแทนน้ําใจ พวกเราต้องทําอะไรสักอย่าง ไม่ใช่ยืนตาละห้อยอยู่เฉยๆ >>
ไม่มีความจําเป็นที่พวกเขาต้องต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับซูฮยอนอยู่แนวหน้า หากพวกเขาแทรกแซงการต่อสู้ของซูฮยอนมากเกินไป อาจถ่วงแข้งถ่วงขาทําให้อีกฝ่ายระเบิดศักยภาพออกมาได้ไม่เต็มที่
การที่ซูฮยอนสําแดงสกิลเอาตอนนี้ หมายความว่าเขามีความมั่นใจที่จะกวาดล้างมอนสเตอร์ลิงยักษ์ทั้งหมดด้วยตัวเอง
“ทุกคนฟังให้ดี อย่าแตกแถว จับกลุ่มกันไว้ พวกเราจะสนับสนุนซูฮยอนจากระยะไกล คนที่ถนัดการต่อสู้ระยะประชิด สาดส่องสายตารอบข้างค่อยตั้งรับมอนสเตอร์ลิงยักษ์กินเนื้อที่อาจหลุดมาใกล้ละแวกพวกเรา ส่วนคนที่ถนัดการโจมตีระยะไกล ในโจมตีมอนสเตอร์ทิศทางตรงกันข้างกับซูฮยอน เขาซ้าย เราขวา เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม?”
“รับทราบครับ!!”
“เอาล่ะทุกคน พวกเรามาเพียรพยายามด้วยกันเถอะ”
[หอกปราบมังกร]
[เพลิงพิโรธ]
ฟัว!! ปิ้ว!!
ฉีก!! ฉีก!!
เลี้ยก!! เจี๊ยก!!
เพียงชั่วพริบตาห่าฝนเปลวเพลิงเคลื่อนตัวบดบังท้องฟ้า ร่วงหล่นโจมตีใส่ฝูงลิงยักษ์กินเนื้ออย่างไร้ความปรานี ลิงยักษ์ที่ซุ่มอยู่บนต้นไม้ตกกระแทกพื้นด้านล่าง ลิงยักษ์ที่อยู่บนพื้นโดนคลื่นเปลวเพลิงแผดเผาร่างไหม้เกรียม บาดแผลที่เกิดจากการโดนหอกทิ่มแทง ทําให้พวกมันหมดเรี่ยวแรงต่อต้านมอนสเตอร์แตกดับคราเดียวนับสิบตัว…
“เชี่ย…”
พวกเขาไม่สามารถตอบสนองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทัน เพราะการโจมตีเกิดขึ้นชั่วอึดใจ..
ภูมิทัศน์รอบข้างพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ต้นไม่ใหญ่หลายคนโอบหักโค่นล้มระเนระนาด เมื่อผู้ตื่นขึ้นที่อยู่ในทีมโจมตีทุกคนเห็นสภาพแวดล้อมปัจจุบันต่างพากันอ้าปากค้าง กรามหย่อนเกือบจรดพื้น
ระหว่างที่สมาชิกทีมโจมตีกําลังตกตะลึงตาโพลง ซูฮยอนหยิบหอกปราบมังกรอีกเล่มออกมา จํานวนหอกปราบมังกรที่เขาเตรียมมาด้วย มีทั้งหมด 3 เล่ม เพื่อจัดการฝูงมอนสเตอร์ตรงหน้าให้หมดเร็วๆ เขาจึงไม่ลังเลที่จะใช้มัน…
หอกปราบมังกร]
ฟื้ว!! ปิ้ว!!
ฉีก!! ฉีก!!
หอกปราบมังกรแตกตัวนับหมื่นเล่มกลางเวหา กวาดทําลายมอนสเตอร์ที่อยู่ในระยะสายตาของซูฮยอนหมด
หลังจากขว้างหอกออกไปเสร็จ ซูฮยอนกํามือแบมือ 3-4 รอบ พึมพํากับตัวเองเบาๆว่า “ไม่เลว”
ปล่อยหมัดชกต่อยหรือเหวี่ยงดาบฟาดฟัน ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก พื้นที่กว้างใหญ่ผนวกกับความแข็งแกร่งครามครัน การขว้างหอกโจมตี เพื่อลดจํานวนมอนสเตอร์เป็นทางเลือกที่เข้าท่ากว่า
กล้ามเนื้อร่างกายส่วนขา ส่วนหลัง ส่วนแขน มีความแข็งแกร่งพอกพูนกว่าเก่า พละกําลังในการเหวี่ยงหอก จึงรุนแรงขึ้นเป็น 2 เท่า พลังที่ควบแน่นอยู่ในหอกแตกต่างจากแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด แต่เพราะซูฮยอนพึ่ง เหวี่ยงหอกครั้งแรก หลังจากสเตตัสความแข็งแกร่งเติบโต ท่วงท่าเลยเก้กังไปบ้าง
<< ใช้เวลาสักพัก เดี๋ยวก็ชินไปเองแหละ >>
ซูฮยอนตัดสินใจเก็บหอกปราบมังกรเล่มสุดท้ายเอาไว้ใช้ภายหลัง เอื้อมมือไปข้างเอวชักดาบออกจากฝัก กระทั่งเท้าวิ่งโถมเข้าหาลิงกินเนื้อที่ยังรอดชีวิต
[กระโดด]
เมื่อลิงยักษ์กินเนื้อเห็นซูฮยอนวิ่งรี่เข้ามา พวกมันรีบถอยกรูดหนีไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว
แต่ทว่า…
[ยั่วยุ]
ซูฮยอนเปิดใช้งาน สกิล [ยั่วยุ] ซึ่งมีความสามารถตรงกันข้ามกับ สกิล [เนตรที่สาม – ผู้ล่า]
ลิงยักษ์กินเนื้อที่พยายามกระเสือกกระสนหนีตายพลันหยุดชะงักลงกะทันหัน ซูฮยอนอาศัยช่องโหว่ที่เกิดขึ้นพุ่งเข้าประชิดตัว ใบดาบฉายรัศมีอํามหิต
ฉวะ!!
คมดาบวาดผ่านร่างลิงยักษ์กินเนื้อ ด้วยการตวัดฟันเพียงครั้งเดียวร่างใหญ่โตถึงกับแยกเป็นสองเสี่ยง
ลิงยักษ์กินเนื้อตัวอื่นโดนสกิลยั่วยุครอบงําจิตใจกระโจนเข้าใส่ซูฮยอน พวกมันยื่นกรงเล็บแหลมคมหวังตะปบเหยื่อจากด้านหลัง แต่ก่อนที่กรงเล็บจะพุ่งมาถึง เขาหมุนส้นเท้าหันหลังกลับ…
ปัง!!
เจี๊ยก!! เจี๊ยก!!
ขณะหมุนตัวกลับหลังซูฮยอนไม่ลืมออกหมัดตอบโต้ หมัดเปล่าๆปะทะเข้ากับกรงเล็บของลิงยักษ์อย่างจัง แรงกระแทกผลักร่างลิงยักษ์เคราะห์ร้ายลื่นไถลไปข้างหลัง มืออันแข็งแกร่งของลิงยักษ์ระเบิดเป็นเป็นจุณ จังหวะที่ลิงยักษ์กําลังทรมานจากบาดแผลซูฮยอนเสือกดาบฟัน..
ฉีก!!
เมื่อแน่ใจว่าลิงยักษ์กินเนื้อที่โดนดาบเลือนหมดลมหายใจแล้ว ซูฮยอนคลุมร่างกายตนเองด้วยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์อีกรอบ คลื่นความร้อนทําเอาลิงยักษ์กินเนื้อที่วิ่งกรูมาจากรอบทิศทางหยุดนิ่งอยู่กับที่ ราวกับเป็นรูปสลักน้ําแข็ง
ร่างกายของซูฮยอนที่คุโชนเปลวเพลิงสีคราม จู่ๆก็ไปปรากฏตัวท่างกลางฝูงลิงยักษ์กินเนื้อ
เจี๊ยว!! เจี๊ยว!!
ฉัวะ!!
และแล้วการนองเลือดสังหารหมู่ โดยที่ลิงยักษ์กินเนื้อไม่อาจดิ้นรนขัดขืนจึงเริ่มขึ้น
ฉ่า!! ฉ่า!!
เปลวเพลิงสีครามโหมกระหน่ร้อนระอุไม่มีวี่แววมอดดับง่ายๆ เปลวเพลิงเผาต้นไม้ขนาดใหญ่รอบข้างดําเมื่ยม ซากศพลิงยักษ์กินเนื้อที่นอนเกลื่อนกลาดเต็มพื้นโดนเปลวเพลิงคลอกส่งกลิ่นเหม็นสะอิดสะเอียนคละคลุ้ง
สมาชิกทีมโจมตีที่จับตามองเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบเผยสีหน้าตะลึงพรึงเพริด
<< นี่นะเหรอความสามารถของคิมซูฮยอน…>>
ดมีตรี ผู้ที่เคยค่อนขอดสบประมาทความแข็งแกร่งซูฮยอนตอนอยู่ปากทางเข้าดันเจี้ยน กระเดือกน้ําลายลง คอคําหนึ่ง…
<< ไม่ตลกเลยนะเฮ้ย ความสามารถก่ายกองเช่นนี้ เกินคําว่ามนุษย์ไปไกลแล้ว!! >>
สมาชิกทีมโจมตีทุกคนคิดและมีความรู้สึกคล้ายกัน นั่นก็คือพวกเขาช่างไร้คุณค่าเหลือเกิน เทียบกับซูฮยอนแล้วพวกเขาเหมือนมาเป็นตัวประกอบฉากเฉยๆ ความน่าเกรงขามของฝ่ายตรงข้ามที่ได้ฟังมาจากปากต่อปาก ไม่ใช่เรื่องโกหกแต่ประการใด
พวกเขาไม่แม้แต่กระดิกนิ้ว แต่มอนสเตอร์ลิงกินเนื้อจํานวนไม่น้อยกลับวอดวายสิ้นชีพ นอนเกลือกกลิ้งทุรนทุรายไปมากับพื้นดิน สภาพศพแต่ละตัวโดนไฟคลอกจนดูไม่ได้…
ครั้นซูฮยอนเริ่มปลดปล่อยพลังเวทออกมาใช้งาน ความสามารถในการต่อสู้ของเขา ก้าวกระโดดขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้
สกิลที่ซูฮยอนครอบครองอยู่ในมือ ค่อนข้างดีและมีประโยชน์มากกว่าทุกคนในทีมโจมตี
พวกเขาประจักษ์ฤทธิ์เดชสกิลของอีกฝ่ายด้วยตาตัวเอง จึงพอคาดเดาได้ว่าสกิลของซูฮยอนมีความสามารถรูปแบบไหน
<< ฉันไม่มั่นใจว่าสกิลที่ซูฮยอนใช้ มีชื่อเรียกว่าอะไร แต่เขาสามารถสับเปลี่ยนไปมาระหว่างสกิลประเภท ความหวาดกลัวกับยั่วยุได้อย่างคล่องแคล่ว >>
สกิล [เนตรที่สาม – ผู้ล่า] และ สกิล [ยั่วยุ] มีวิธีการใช้งานที่แตกต่างกันและมีความสามารถตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
สกิล [เนตรที่สาม – ผู้ล่า] จัดอยู่ในหมวดหมู่สกิลประเภทความหวาดกลัว ผลของสกิลทําให้ลิงยักษ์กินเนื้อกลัวลานขวัญหนีดีฝ่อ อยากถอยมากกว่าอยากสู้ ส่วนสกิล [ยั่วยุ] มีผลกระตุ้นสัญชาตญาณดิบเถื่อนกวร้าวของลิงยักษ์กินเนื้อให้มุ่งความสนใจทั้งหมดโจมตีผู้ร่ายสกิล
ทั้ง 2 สกิลมีความสามารถตรงกันข้ามกัน เมื่อสับเปลี่ยนสกิลไปมาอย่างรวดเร็ว ผลกระทบที่ตามมา คือมอนสเตอร์ลิงยักษ์กินเนื้อตกอยู่ในความสับสนมีนงงชั่วคราว การเคลื่อนไหวจึงเฉื่อยชาชะงักลงกลางคัน
กลยุทธ์เรียบง่ายไม่หวือหวา แต่ผลลัพธ์ออกมาดีเกินคาด ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ทุกคนประหลาดใจมากที่สุดคือ การโจมตีด้วยหอกเพียงไม่กี่ครั้ง กลับสามารถทําลายภูมิทัศน์รอบข้างจนไม่เหลือเค้าเดิม
<< แม้ไม่มีพวกฉันค่อยสนับสนน เขาก็สามารถพิชิตดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินด้วยตัวคนเดียวได้สบายบรื่อ…>>
คําเล่าลือที่ส่งผ่านปากต่อปาก ไม่อาจจินตนาการภาพเหตุการณ์เป็นฉากๆได้ หลังเห็นความสามารถของซูฮยอนด้วยดวงตาคู่นี้ เชอร์นอฟบอกได้เลยว่าเรื่องเล่ากับความจริงแทบจะไม่ต่างกันเลย
สมแล้วที่ซูฮยอนได้ฉายาว่าเป็นผู้ตื่นขึ้นที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
ซูฮยอนสังหารลิงยักษ์กินเนื้อส่วนใหญ่เกือบหมดแล้ว เดิมท่อมๆไปหาทีมโจมตี โดยที่พวกเขายังคงตั้งขบวนป้องกันไว้อยู่ เอ่ยปากถามว่า “มีใครได้รับบาดเจ็บไหม”
ยังมีหน้ามาถามพวกเขาอีก? พวกเขาต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายถาม!!
ซูฮยอนเริ่มรู้สึกตัวว่าตัวเองถามในสิ่งที่ไม่ควรถามออกไป ใบหน้าเห่อแดงประปราย เสเปลี่ยนหัวข้อสนทนาใหม่อย่างเร็ว “ในเมื่อทุกคนยังสบายดี ผมก็หมดห่วง ผมขอใช้โอกาสนี้ป่าวประกาศให้ทุกคนทราบว่า ผมวางแผนจะเคลื่อนที่ให้เร็วขึ้นอีกหน่อย”
<< แค่นี้ยังเร็วไม่พออีกเหรอ?? >>
<< ต้องเร็วขนาดไหน เจ้าตัวถึงจะพึงพอใจ? >>
ตั้งแต่เข้ามาในดันเจี้ยน สมาชิกทีมโจมตีทุกคนคิดว่าพวกเขาเคลื่อนตัวไปข้างหน้าไวมาก แต่อีกฝ่ายบอกว่าจะไปให้เร็วยิ่งกว่านี้? พวกเขาทําอะไรมากไม่ได้ ได้แต่ส่ายหัวอย่างหมดหนทาง
ตอนนี้พวกเขาเข้าใจกระจ่างแล้วว่าซูฮยอน ไม่ได้เก่งแต่ใช้พละกําลังอย่างเดียว แต่ยังเก่งเรื่องการวางแผนด้วย
ซูฮยอนวางแผนจะเริ่มใช้พลังเวทตั้งแต่จุดนี้เป็นต้นไป เพื่อพิชิตดันเจี้ยนแห่งนี้ให้จบเร็วๆ
<< ผ่านมายังไม่ถึง 2 วันด้วยซ้ํา แต่พวกเขายังเดินมาได้ไกลถึงขนาดนี้ >>
เชอร์นอฟเคยคิดกับตัวเองว่า การโจมตีดันเจี้ยนครั้งนี้อาจกินเวลานานหลายวัน แม้พวกเขาจะเคลื่อนที่ได้เร็วแค่ไหนก็ตาม…
น่าเสียดายที่การคาดการณ์ของผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ชาวรัสเซียนั้นผิด กลยุทธ์ที่ซูฮยอนเลือกใช้ เหนือล้ํายิ่งกว่าจินตนาการของเขาหลายขุม
[ยั่วยุ]
[ยั่วยุ]
[ยั่วยุ]
[…]
ฟรี่บ!!
ซูฮยอนขึ้นขี่หลังมิรุ โผบินในป่าไปมาอย่างอิสระ
สิ่งที่ซูฮยอนกําลังลงมือทําอยู่ในช่วงเวลานี้ค่อนข้างง่าย เขาเปิดใช้สกิล [ยั่วยุ] และดึงดูดมอนสเตอร์ทุกตัวที่ซ่อนอยู่ในป่า
สร้างความสับสนมึนงงให้แก่มอนสเตอร์
ทีมโจมตีทุกคนพยายามสุดสายป่านหลีกเลี่ยงไม่ปะทะกับมอนสเตอร์จํานวนมากๆในคราวเดียว แต่สิ่งที่ซูฮยอนกําลังทําอยู่ คือจงใจปล่อยสกิล [ยั่วยุ] แพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง เพื่อชักนํามอนสเตอร์ให้วิ่งมาหา
และเมื่อมอนสเตอร์หลายร้อยตัวโผล่ออกมาพร้อมกัน เขาจะออกล่าพวกมันอย่างบ้าคลั่ง
<< เป็นวิธีการต่อสู้ที่สิ้นคิด แถมยังอันตรายมากด้วย >>
ภาพเหตุการณ์ที่กําลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ทําเอาทีมโจมตีทุกคนกระอีกกระอักพูดไม่ออก
พวกเขาคิดว่าวิธีที่ซูฮยอนเลือกใช้ออกจะบ้าระห่ําไปหน่อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่อาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดและเหมาะสมกับความแข็งแกร่งของซูฮยอน
<< ที่เขาบอกว่า [เคลื่อนที่เร็วขึ้น] หมายถึงแบบนี้เองเหรอ? >>
รูปแบบการสังหารมอนสเตอร์ของซูฮยอนคล้ายกับกําลัง [ลากมอนสเตอร์] โดยมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์บินได้เป็นพาหนะ และ มีสกิล [ยั่วยุ] เป็นอาวุธโจมตี โดนปกติแล้ววิธีดังกล่าวจะสามารถทําได้เฉพาะในเกมคอมพิวเตอร์เท่านั้น แน่นอนว่าการ [ลากมอนสเตอร์] มีประสิทธิภาพอย่างมากในการจัดการมอนสเตอร์พร้อมกันหลายๆตัว ในเมื่อมีประโยชน์ ก็ย่อมมีอันตรายแฝงอยู่เช่นกัน
ในเกมคุณสามารถรีสตาร์ทกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้หลังจากตาย แต่ในชีวิตจริงไม่มีปุ่มรีสตาร์ท ตายแล้วตายเลย
แม้จะอันตรายมากแค่ไหน แต่ซูฮยอนยังคง [ลากมอนสเตอร์] ไม่หยุด หมายความว่า..
<< เขามั่นใจในความสามารถของตัวเอง >>
ซูฮยอนถือใจว่าการกระทําของตนจะไม่นําเภทภัยอันตรายมาสู่ตัว
ตามความเป็นจริงแล้วมอนสเตอร์ที่ซูฮยอนลากมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ เขาสามารถจัดการพวกมันได้ง่ายๆเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก แต่ในสายตาคนนอกอาจคิดว่าเยอะ
ซูฮยอนเข้าใจถึงขีดจํากัดร่างกายดีกว่าใครและไม่เคยคิดฝันขีดจํากัดของตัวเอง สิ่งที่เขากําลังทําอยู่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง
ซูฮยอนมีหน้าที่สังหารมอนสเตอร์ที่ปรากฏตัวอยู่แนวหน้า ส่วนมิรุมีหน้าที่ปกป้องทีมโจมตีจากมอนสเตอร์ที่อาจหลุดรอดไปแนวหลัง
ครึ่งวัน คือระยะเวลาที่พวกเขาออกเดินทางไปทุกซอกทุกมุมของป่าแห่งนี้ และปลิดชีพมอนสเตอร์ทุกตัวที่ซ่อนตัวอยู่ภายในป่า
ทีมโจมตีมีเวลาพักผ่อนร่างกายไม่นานนัก พัก 10-15 นาทีก็ต้องออกเดินทางต่อ เร่งทําเวลาจะได้พิชิตดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินให้ได้โดยไว
และในที่สุด…
“ที่อยู่ตรงนั้น ใช่บอสของดันเจี้ยนหรือป่าว?” เชอร์นอฟกล่าวพลางชี้นิ้วไปทางรูปปั้นสิ่งที่หลุบตาทั้ง 2 ข้างลง มองเห็นอยู่ไกลๆผ่านช่องว่างของต้นไม้
เมื่อปราดตามองสํารวจผ่านๆ รูปปั้นลิงได้รับการแกะสลักอย่างประณีต และตั้งอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางพื้นป่า ที่กว้างขวางภายนอกไม่ต่างอะไรกับเครื่องเรือนประดับสวน แต่หากลองพิจารณาให้ละเอียดลออ จะพบว่าดวงตาที่หลุบลง แย้มตาขึ้นเล็กน้อย แสดงว่ารูปปั้นที่เห็นไม่ใช่งานศิลปะธรรมดาทั่วไป
“ดูเหมือนมันจะเจอพวกเราแล้ว เอาไงดี โจมตีมันก่อนไหม?”
ซูฮยอนส่ายหัวตอบคําถามของเชอร์นอฟกลับ…
“ไม่ต้องรีบ”
“อย่าบอกนะว่าคุณอยากให้พวกเรารออยู่เฉยๆไปก่อน?”
“ถูกต้อง”
กว่าซูฮยอนจะตอบคําถามของเชอร์นอฟกลับมา ทิ้งช่วงไปประมาณ 3-4 วินาที
เชอร์นอฟลอบวิเคราะห์การแสดงออกทางสีหน้าของซูฮยอน สีหน้าของอีกฝ่ายดูเคร่งขรึมจริงจังกว่าปกติ
<< ฉันก็สงสัยอยู่ตั้งนาน ทําไมในป่าแห่งนี้ ถึงมีฝูงลิงอาศัยอยู่คับคั่ง…>>
ที่แท้เป็นเพราะ ร็อคคีย์
ซูฮยอนสันนิษฐานไว้อยู่แล้วว่าเจ้านั่นต้องเป็นบอสใหญ่ของดันเจี้ยนแห่งนี้อย่างแน่นอน เมื่อยืนยันความจริงด้วยตาตนเอง เขาอดเป็นห่วงความปลอดภัยของทีมโจมตีที่มาด้วยกันไม่ได้
“ต่อจากนี้ไป…”ซูฮยอนผันหลังกลับ ชําเหลืองมองทีมโจมตีพักหนึ่ง เอ่ยปากพูดกับพวกเขาว่า
“ยกเว้นคุณเชอร์นอฟ ผมอยากให้ทุกคนถอยออกไปด้านหลัง ห่างจากบริเวณนี้ประมาณ 3 กิโลเมตร
“อะไรนะ?”
“ทําไมต้องทําแบบนั้นด้วยครับ?”
สมาชิกทีมโจมตีที่ได้ฟังคําสั่งใหม่จากปากซูฮยอนต่างแปลกใจไปตามๆกัน
ขณะที่ทีมโจมตีกําลังคลางแคลงใจ ซูฮยอนโยนกลองมอบหมายให้เชอร์นอฟจัดการความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเอื้อมมือหยิบหอกปราบมังกรที่ผูกติดหลังออกมา ซึ่งเป็นหอกปราบมังกรเล่มสุดท้ายที่เขาเก็บรักษามาจนถึงตอนนี้…
เชอร์นอฟเห็นกิริยาท่าทางเคร่งขรึมของอีกฝ่าย เริ่มเอะใจได้ถึงอะไรบางอย่าง
<< พอมาคิดดูดีๆแล้ว ฉันเริ่มเข้าใจแล้วว่าทําไมซูฮยอนถึงไม่ยอมใช้หอกเล่มสุดท้ายสักที ที่แท้เขาก็เก็บเอาไว้ใช้เพื่อการนี้โดยเฉพาะนี่เอง? >>