การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 154
ตอนที่ 154
อีก!! ก๊ก!! บิ๊ก!!
ใบดาบบัลมุงก์สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ประหนึ่งว่าดาบพร้อมแตกเป็นเสี่ยงๆได้ทุกเมื่อ
การที่ดาบเกิดแรงสั่นสะเทือนเป็นเพราะมีพลังเวทมหาศาลโคจรอยู่รอบใบดาบ
โฮกกกกก!!
มอนสเตอร์หนอนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความไม่ชอบมาพากลจากร่างกายซูฮยอน พวกมันจึงตัดสินใจวิ่งกรูเข้าโจมตีซูฮยอนพร้อมกันปากอ้างกว้างเผยเขี้ยวแหลมคม แม้ลักษณะภายนอกของพวกมันจะอ้วนพีแต่ความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่กลับเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
ขณะมอนสเตอร์หนอนกําลังเข้าประชิดตัวซูฮยอน…
อุป!!
พลังเวทหนาแน่นที่รวบรวมไว้ที่ดาบบัลมุงก์ปลดปล่อยคลื่นดาบแสนอันตรายออกมา แสงสว่างเรือนรอง ทําให้การมองเห็นพร่ามัวซูฮยอนบิดข้อมือแล้วทําการเหวี่ยงดาบฟาดฟัน
ฉวะ!!
ตูม!!
ทันทีที่เหวี่ยงดาบออกไป ห้องบอสที่มีโครงสร้างรูปแบบโดมโดนประกายแสงสว่างเจิดจ้ากลืนกินพื้นที่ทุก ตารางนิ้ว เสียงระเบิดดังสนั่น จนเหมือนเสียงฟ้าคําราม
มอนสเตอร์หนอนที่กระเสือกกระสนโจมตีซูฮยอนร่างถูกฉีกกระชากแหลกเหลวไม่เหลือชิ้นดี
ประกายแสงสีขาวเจิดจรัสที่ทําให้ดวงตาเกิดอาการพร่ามัวชั่วคราวแท้จริงแล้วมันเกิดจากคลื่นดาบที่แตกตัวออกจากกันซึ่งคลื่นดาบแปรสภาพกลายเป็นเส้นด้ายนับแสนและกระจัดกระจายลอยว่อนอยู่เต็มอากาศแม้ภายนอกจะเหมือนเส้นด้ายแต่มันมีความคมเฉกเช่นดาบทุกประการ
ละอองเลือดของมอนสเตอร์หนอนตกลงมาจากท้องฟ้าเหมือนห่าฝนซูฮยอนจ้องมองเลือดสีเขียวที่กําลังไหลมารวมตัวกัน
“น่าตกใจจริงๆนะเนี่ย”
ระหว่างที่ซูฮยอนกําลังรวบรวมพลังเวทไว้ที่ดาบบัลมุงก์มอนสเตอร์หนอนจํานวนมากพร้อมใจวิ่งกรูเข้ามาเพื่อหวังประชิดตัวเขาคิดว่าขืนปล่อยให้พวกมันเข้าประชิดตัวได้ อาจโดนขย้ําไม่เหลือแม้กระทั่งกระดูกเขาเลยตัดสินใจเหวี่ยงดาบฟันไปด้านหน้าโดยไม่รอช้า
เพราะการบุกโจมตีอย่างฉับพลันของพวกมอนสเตอร์หนอนทําให้ซูฮยอนรวบรวมพลังเวทได้ไม่สมบูรณ์ดี
หมายความว่าสกิลยังไม่ได้สําแดงพลังอํานาจที่แท้จริงออกมา….
<<แม้จะรวบรวมพลังเวทได้ไม่เต็มที่ แต่การโจมตีที่ออกมาน่าตกใจสุดๆ>>
อานุภาพการโจมตีที่ประจักษ์แก่สายตาเหนือกว่าสกิลที่ซูฮยอนครอบครองในปัจจุบันหลายเท่า..
[ดาบเกลียวคลื่นรูปแบบระเบิดกัมปนาท]
*ระดับเวท : 8
*เลเวล : 1
*รวบรวมพลังเวทย์ไว้ที่ดาบและสร้างคลื่นดาบกําจัดศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าทั้งหมดยิ่งรวบรวมพลังเวทได้มาก เท่าไหร่ พลังอานุภาพที่สําแดงออกจะยิ่งรุนแรงขึ้นตามไปด้วย
สกิล [ดาบเกลียวคลื่น รูปแบบระเบิดกัมปนาท]ต้องมีระดับเวท 8 เท่านั้นถึงจะสามารถใช้งานได้
ในปัจจุบันสกิลที่ใช้ระดับเวท 7 หายากเป็นอย่างมากจึงไม่จําเป็นต้องพูดถึงสกิลที่ใช้ระดับเวท 8 เลยต่อให้พลิกแผ่นดินหาก็แทบไม่มีโอกาสได้ครอบครอง ซูฮยอนจําได้ว่าในอดีตมีคนครอบครองแค่หยิบมือเท่านั้นเหตุผลที่ซูฮยอนสามารถเสาะหาสกิล [ดาบเกลียวคลื่น] จนเจอได้ เพราะในอดีตเขามีโอกาสใช้สกิล[ดาบเกลียวคลื่น] มาก่อน
สําหรับเขาสกิล [ดาบเกลียวคลื่น] ก็เปรียบเสมือนของคู่กายที่ขาดไปไม่ได้
<<สกิล [ดาบเกลียวคลื่น] ต้องใช้ควบคู่ไปกับดาบบัลมุงก์เท่านั้นถึงจะสมบูรณ์แบบที่สุด>>
ซูฮยอนก้มมองใบดาบบัลมุงก์ที่มีรอยปริแตกเล็กๆแล่นริ้วไปทั่วแต่ไม่นานใบดาบก็ค่อยๆซ่อมแซมรอยสึกห รอด้วยตัวมันเอง…
<<อาดามันเทียมขึ้นชื่อว่าเป็นโลหะที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกผนวกกับหินอีเธอร์ระดับสูงสุด ทําให้ใบดาบสามารถซ่อมแซมรอยชํารุดเสียหายด้วยตัวเองได้>>
การผสมผสานระหว่างหินอีเธอร์กับอาดามันเทียมเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมหาที่ใดเปรียบ
คุณสมบัติของหินอีเธอร์ระดับสูงไม่ได้มีประโยชน์แค่ให้ดาบกักเก็บพลังเวทย์เท่านั้น แต่มันยังมีประโยชน์อีกหนึ่งอย่างซ่อนอยู่นั่นก็คือช่วยให้อาดามันเทียมสามารถซ่อมแซมตัวมันเองได้
เลยเป็นเหตุผลว่าทําไมดาบบัลมุงก์ถึงเป็นมากกว่าดาบที่มีความคมบนโลกในตอนนี้ดาบบัลมุงก์จัดได้ว่าเป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา
สกิล [ดาบเกลียวคลื่น] จําเป็นต้องหาดาบที่มีความแข็งแรงทนทานดาบบัลมุงก์ที่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้จึงเหมาะกับแนวทางการต่อสู้ของซูฮยอนในปัจจุบันมาก
<<ในที่สุดฉันก็สามารถใช้สกิล [ดาบเกลียวคลื่น]โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องดาบฟังเสียที>>
แน่นอนว่าดาบบัลมุงก็ไม่ได้แข็งแรงทนทานจนไม่มีวันพังหากบีบอัดพลังเวทเข้าไปมากๆ ซูฮยอนเชื่อว่าดาบอาจเกิดความเสียหายและซ่อมแซมตัวมันเองไม่ทัน
ในอดีตช่วงหนึ่งซูฮยอนเคยทําดาบบัลมุงก์พังคามือมาแล้วเพราะบีบอัดพลังเวทเข้าไปมากจนเกินไป เขาจําได้ขึ้นใจว่าตอนที่ส่งดาบบัลมุงก์ไปซ่อมความคมและความแข็งแกร่งของดาบหดหายลงไปเยอะมาก
แต่จากการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ดาบบัลมุงก์เป็นตัวเลือกที่เข้าท่ามากที่สุดในการใช้ร่วมกับสกิล [ดาบเกลียวคลื่นไม่มีดาบใดสามารถแทนที่ดาบบัลมุงก็ได้
ที่สําคัญไปกว่านั้น [ดาบเกลียวคลื่น] เป็นสกิลที่มีความแข็งแกร่งจึงจําเป็นต้องใช้ดาบที่มีความคงทนสูงดาบที่มีความแข็งแกร่งและความคงทนเพียบพร้อมอยู่ในเล่มเดียว สกิลที่ปล่อยออกไปจะยิ่งทรงพลังมากขึ้น
และบนโลกตอนนี้ ไม่มีดาบใดแข็งแกร่งไปกว่าดาบบัลมุงก์…
<<ฉันคงต้องใช้เวลานานพอสมควร เพื่อเพิ่มค่าความชํานาญของสกิล>>
ค่าความชํานาญของสกิลมีความเกี่ยวพันกับผู้ใช้โดยตรงหากผู้ใช้อยากเพิ่มค่าความชํานาญให้สูงขึ้นผู้ใช้จําเป็นต้องใช้สกิลออกมาบ่อยๆ
จากประสบการณ์ในอดีตการเพิ่มความชํานาญของสกิลไม่ใช่เรื่องยากสิ่งที่เป็นปัญหาและควรกังวลคือจํานวนครั้งที่ใช้ต่างหาก…
เมื่อก่อนซูฮยอนไม่สามารถใช้สกิล [ดาบเกลียวคลื่น] ได้เพราะอาวุธที่มีทนรับพลังไม่ไหวแต่ตอนนี้เขาได้ครอบครองดาบบัลมุงก์ทําให้ปัญหาเกี่ยวกับการใช้สกิล [ดาบเกลียวคลื่น]หมดไป..
“ดีละ ถ้าอย่างงั้นฉันขอลองอีกรอบแล้วกัน…”
บรรดามอนสเตอร์หนอนที่เคยพุ่งพรวดเข้าหาซูฮยอนต่างพากันหยุดชะงักอยู่กับที่ไม่ยอมเคลื่อนไหวราวกับว่าพวกมันกลัวการโจมตี [ดาบเกลียวคลื่น] ของซูฮยอนยังไงยังงั้น
ซูฮยอนไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่าเขายกดาบแล้วเล็งไปทางมอนสเตอร์อีกรอบ
“มาสนุกกันเถอะ”
3 วัน คือระยะเวลาที่บักหยุนกิวและเพื่อนร่วมกลุ่มพิชิตดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินได้สําเร็จ
การโจมตีดันเจี้ยนต้องคํานึงถึงความปลอดภัยของคนในกลุ่มเป็นหลักดันเจี้ยนที่พวกเขาโจมตีมีขนาดค่อนข้างใหญ่โตทําให้พวกเขาต้องใช้เวลาโจมตีดันเจี้ยนนานกว่าปกติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กระนั้นการโจมตีดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินโดยใช้ระยะเวลาเพียง 3 วันถือเป็นกรอบเวลาที่สั้นมาก
หลังจากที่บอสมอนสเตอร์ถูกสังหารการโจมตีที่ลากยาวถึง 3 วันเต็มจึงยุติลง….
บักหยุนกิวยืนสังเกตความเสียหายของคนภายในกลุ่ม…
<<พวกเราใช้เวลา 3 วัน ในการพิชิตดันเจี้ยนมีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย 5 ราย บาดเจ็บสาหัส 1 ราย>>
บักหยุนกิวรู้สึกตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นอย่างยิ่ง
<<ไม่มีคนเสียชีวิตเลยสักคน>>
ดันเจี้ยนที่พวกเขากําลังเผชิญหน้าเป็นถึงดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินและปรากฏขึ้นบนโลกแค่ 2 ครั้งเท่านั้น
ตามปกติการโจมตีดันเจี้ยนระดับสีเขียวหรือสีเหลืองต้องมีคนบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตหลายสิบคนแต่การโจมตีดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินแห่งนี้กลับไม่มีคนเสียชีวิตเลยแม้แต่คนเดียวหมายความว่าการโจมตีดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินครั้งนี้ประสบความสําเร็จอย่างท่วมท้น
<< โทมัส , ชเวฮักจุน >>
บักหยูนกิวปรายตามองทั้ง 2 คน
หากถามว่าทั้ง 2 คน ใครแข็งแกร่งกว่ากันบักหยุนกิวพูดได้เต็มปากว่าเป็นโทมัส ความสามารถของโทมัสไม่ได้มีพลังมหาศาลเพียงอย่างเดียว แต่สกิลของเขายังสามารถประยุกต์ใช้ได้หลายรูปแบบ
เป็นเพราะความแข็งแกร่งของโทมัส ทําให้การโจมตีดันเจี้ยนเป็นไปได้อย่างราบรื่น ไม่มีคนเสียชีวิต ถึงแม้ภาพรวมโทมัสจะแข็งแกร่งกว่าฮักจุนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฮักจนอ่อนแอ..
<<ฮักจนพึ่งเข้ามายืนอยู่ในตําแหน่งผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S เมื่อไม่นานมานี้แต่เขาก็สามารถผลักดันตัวเอง เข้ารอบชิงชนะเลิศในสงครามแก่งแย่งอันดับได้สําเร็จ>>
บักหยุนกิวไม่ได้ชมการต่อสู้รอบสุดท้ายของสงครามแก่งแย่งอันดับเพราะมีงานเร่งด่วนที่ต้องทํา
ว่ากันตามจริง หากไม่มีงานด่วนเข้ามาสงครามแก่งแย่งอันดับในครั้งนี้บักหยุนกิวต้องเข้าร่วมการแข่งขันด้วยเพราะการปรากฏดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินส่งผลให้เขาโดนเรียกตัวกลับประเทศเกาหลีโดยด่วนที่สุดเมื่อมาถึงประเทศเกาหลีปักหยุนกิวมีงานที่ต้องเตรียมการล้นมือเป็นเหตุให้เขาไม่มีเวลาว่างนั่งดูการต่อสู้สงครามแก่งแย่ งอันดับผ่านทางทีวีเลย
ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่บักหยุนกิวได้เห็นความสามารถในการต่อสู้จริงของฮักจน
บักหยุนกิวเชื่อมาตลอดว่าอาจเป็นเพียงความโชคดีและความบังเอิญไม่ว่าฮักจุนจะมีพรสวรรค์มากล้นเพียงใดแต่ฮักจนพึ่งเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ได้ไม่นาน เขาจะฝ่าฟันไปถึงรอบชิงชนะเลิศของสงครามแก่งแย่งอันดับได้จริงเหรอ?
บอกตามตรงว่าบักหยุนกิวไม่เคยคาดหวังความสามารถของฮักจนเลยเพราะช่วงที่จับคู่แข่งขันในสงคราม แก่งแย่งอันดับฮักจนโชคดีจับเจอคู่ต่อสู้อ่อนแอกว่ามาโดยตลอด..
แต่การต่อสู้กับฝูงมอนสเตอร์รอบที่ผ่านมาบักหยุนกิวตระหนักได้ถึงความจริงบางอย่าง…
<<หากพูดถึงพรสวรรค์ล้วนๆเพียงอย่างเดียวมีความเป็นไปได้สูงว่าฮักจนอาจเหนือกว่าโทมัสด้วยซ้ํา>>
เมื่อลองพิจารณาจากภาพรวมความสามารถของฮักจนไม่ได้โดดเด่นอะไรขนาดนั้น…
แต่มีความสามารถอย่างหนึ่งที่ฮักจนโดดเด่นเป็นพิเศษและค่อนข้างคล้ายกับบักหยุนกิวนั่นก็คือการโจมตีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังทําลายล้างการเหวี่ยงดาบของฮักจนแต่ละรอบเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์และหนักแน่นจะเรียกว่าเป็นวิถีแห่งดาบที่แท้จริงก็ไม่ผิดนัก
<<หากถามถึงความแตกต่างระหว่างฉันกับฮักจนต้องบอกว่าอัตราการเติบโตของฮักจนรวดเร็วกว่าฉันห ลายเท่า>>
บักหยุนกิวได้รับพลังผู้ตื่นขึ้นหลังจากดันเจี้ยนแห่งแรกปรากฏขึ้นบนโลกในทางกลับกันฮักจนเป็นผู้ตื่นขึ้นเพียง 3 ปีเท่านั้นแต่อัตราการเติบโตของฮักจนก้าวกระโดดเร็วกว่าบักหยุนกิวอย่างไม่น่าเชื่อ
ทางด้านคิมซูฮยอนไม่จําเป็นต้องกล่าวถึงความสามารถของเขาเลยขอบเขตคําว่ามนุษย์ไปแล้ว…
<<โทมัส ชเวฮักจน คิมซูฮยอนทั้ง 3 คนก็เปรียบเสมือนสัตว์ประหลาด…>>
กองกําลังผู้ตื่นขึ้นประเทศเกาหลีใต้อยู่ใต้เงาของสหรัฐอเมริกาจีนและอังกฤษมาโดยตลอด
แต่ภายในชั่วข้ามคืนกลับสามารถผงาดขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดของโลกได้ทั้งหมดเป็นเพราะซูฮยอนมอบความพ่ายแพ้ในแก่กอร์ดอนโรฮันผู้ตื่นขึ้นที่ทุกคนเชื่อว่าแกร่งแข็งที่สุดในโลก
แม้การโจมตีดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินจะจบลงแล้วทว่าบักหยุนกิวยังมีเรื่องที่กังวลใจอยู่….
<<โชคยังดีที่ดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินเกิดขึ้นที่ประเทศเกาหลีใต้>>
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าดันเจี้ยนแฝดระดับสีน้ําเงินไปโผล่ที่ประเทศอื่น?ยกตัวอย่างประเทศที่ตั้งอยู่บริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากการรายงานล่าสุดประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเพียงหนึ่งประเทศเท่านั้นที่มีผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S 2 คน
<<ถ้าดันเจี้ยนไปโผล่ประเทศที่กองกําลังรบไม่แข็งแกร่งรับประกันได้เลยว่าประเทศนั้นต้องหนีความหาย นะไม่พ้น>>
แค่บักหยุนกิวลองจินตนาการภาพเหตุการณ์ขึ้นในหัวความเย็นยะเยือกก็แล่นพล่านไปทั่วร่างกายของเขา แล้ว..
ลีจุนโฮที่มีสภาพร่างกายเหนื่อยล้าเดินเข้ามาใกล้บักหยุนกิวและเปิดปากถาม “การต่อสู้จบแล้วใช่หรือป่าว?”
บักหยุนกิวหันหน้าไปมองศพบอสมอนสเตอร์อีกครั้งเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจ เมื่อเห็นว่าบอสมอนสเตอร์นอนนิ่งไม่กระดุกกระดิกเขาจึงตอบคําถามของลีจุนโฮกลับ
“ใช่ การต่อสู้จบแล้ว นายเห็นแสงสว่างที่อยู่ตรงโน้นไหมฉันเดาว่ามันน่าจะเป็นทางออก”
“ฟู ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย ให้ตายเถอะเหนื่อยเป็นบ้าฉันอยากออกจากที่นี่เต็มแก่แล้ว ออกไปจากดันเจี้ยนได้เมื่อไหร่ฉันจะนอนให้เต็มที่ ลืมวันลืมคืนเลยคอยดู”
“ขอบคุณนายจริงๆที่เสียสละเวลาอันมีค่ามาช่วยเหลือขั้นตอนต่อไปคงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนงานเหมืองที่จะขุดหินอีเธอร์ในดันเจี้ยนออกมาหากสกัดหินอีเธอร์เสร็จเมื่อไหร่ ฉันจะรีบส่งมอบส่วนแบ่งให้นายทันที”
ในดันเจี้ยนตอนนี้ ไม่หลงเหลือสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามอนสเตอร์อีกาแล้วทําให้คนงานเหมืองปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องพะวงมอนสเตอร์จะออกมาโจมตี
หลังจากสิ้นสุดการโจมตีดันเจี้ยนและปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้คนในกลุ่มเสร็จบักหยุนกิวเดินนํากลุ่มอยู่หน้าสุดเพื่อมุ่งหน้าไปยังประตูทางออกดันเจี้ยน..
ทันทีที่พวกเขาก้าวเท้าเข้าไปในประตูทางออกแสงสว่างสีน้ําเงินสาดส่องมายังพวกเขา
“ทําไมถึงช้ากันจัง ผมรอจนเบื่อแล้วเนี่ย”
เมื่อกลับออกมาสู่โลกภายนอกอีกครั้งเสียงที่คุ้นหูกล่าวทักทายพวกเขา…
“ร้อะไรไหม ถ้าเข้าสู่เช้าวันถัดไปแต่กลุ่มพวกคุณยังไม่มีวี่แววกลับออกมาผมกะว่าจะเข้าไปหาพวกคุณข้างในอยู่พอดี”
“คุณซูฮยอน??”
“ซูฮยอน!!”
“พี่!!”
ซูฮยอนจ่อมกันนั่งอยู่ตรงหน้าสะพานบนหินก้อนขนาดกําลังพอดีตัวเมื่อเห็นกลุ่มที่โจมตีดันเจี้ยนอีกแห่งทยอยกันออกมาเขาดันตัวลุกขึ้นจากก้อนหินแล้วเดินตรงไปรวมกลุ่มกับบักหยุนกิว
สังเกตจากเนื้อตัวที่สะอาดสะอ้านและเสื้อผ้าที่ขาวสะอาดไร้คราบสกปรกบักหยุนกิวสันนิษฐานว่าซูฮยอนคงออกมาจากดันเจี้ยนก่อนหน้าพวกเขาประมาณ 1-2 ชั่วโมงเห็นจะได้
บักหยุนกิวรีบเดินเข้าไปหาซูฮยอนและถามด้วยความสงสัย“นายออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ซูฮยอนตอบกลับพลางผลักร่างโทมัสที่กระโจนเข้าหาให้ไปยืนข้างตัว “ผมออกมาจากดันเจี้ยนเมื่อเช้า”
เมื่อได้ยินคําตอบกลับ บักหยูนกิวไม่สามารถปิดบังสีหน้าประหลาดใจของตนเองได้…
บักหยุนกิวบอกไม่ได้ว่าตอนนี้คือเวลากี่โมงแต่ต้องเป็นช่วงค่ํามืดไม่ผิดแน่ เพราะท้องฟ้าด้านบนกลายเป็นสีดําสนิทมองเห็นหมู่ดาวแพรวพราย
ซูฮยอนบอกว่าออกมาจากดันเจี้ยนเมื่อเช้าหมายความว่าอีกฝ่ายนั่งรอพวกเขาอยู่หน้าปากทางเข้าดันเจี้ยนหลายชั่วโมงไม่แปลกใจทําไมซูฮยอนถึงบอกว่ารอจนเบื่อ
“นายไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม…?”
“ไม่ครับ ผมสบายดี กลุ่มของคุณเป็นไงบ้าง?”
“โชคดีที่สมาชิกภายในกลุ่มไม่มีใครล้มตายมีแค่อาการบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆเท่านั้น”
“ดีแล้วครับที่ไม่มีใครเสียชีวิต”
หลังจากพูดคุยกับบักหยุนกิวพอเป็นพิธีเสร็จ ซูฮยอนก็เดินแยกตัวออกมาจากบักหยุนกิว เพื่อไปหากลุ่มเพื่อ นๆของตัวเอง
เมื่อไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆสิ่งแรกที่ซูฮยอนทําคือไต่ถามรายละเอียดภายในดันเจี้ยนที่ลีจุนโฮและฮักจนเผชิญโทมัสที่เกาะติดซูฮยอนแจไม่ยอมห่างไปไหน ปากพล่ามออกมาไม่หยุดอยากให้ซูฮยอนพูดชมเชยปฏิกิริยาเหมือนเด็กน้อยทําความดีแล้วต้องการให้ผู้ใหญ่พูดเยินยอไม่มีผิด
บักหยุนกิวจ้องมองแผ่นหลังซูฮยอนพลางครุ่นคิดกับตัวเอง…
<<เขาโจมตีดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินสําเร็จด้วยตัวคนเดียวจริงๆเหรอเนี่ย..>>
โจมตีดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินด้วยตัวคนเดียวแต่ร่างกายกลับไม่มีร่องรอยบาดแผลให้เห็นเลยสักจุด…
บักหยุนกิวคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นและไม่น่าเป็นไปได้เขาเชื่อมาตลอดว่าเหตุผลที่ซูฮยอนตัดสินใจโจมตีดันเจี้ยนคนเดียวเพราะอีกฝ่ายมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองด้วยความที่ซูฮยอนอายุยังน้อย และเป็นผู้ตื่นขึ้นได้ไม่นานอาจเกิดความคึกคะนองขึ้นในใจจึงอยากลองท้าทายดันเจี้ยนด้วยตัวคนเดียวแต่ผลลัพธ์ที่ปรากฏตรงหน้าบักหยุนกิวบ่งบอกได้ชัดเจนว่าช่องว่างระหว่างตัวเขาและซูฮยอนมีความใหญ่หลวงเพียงใด
ถ้าเปลี่ยนเป็นฉัน จะทําสําเร็จแบบเดียวกับซูฮยอนหรือป่าว?
<<บอกเลยว่าไม่ทางสําเร็จ>>
โอกาสที่บักหยุนกิวจะพิชิตดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินด้วยตัวคนเดียวแทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่ถ้าบักหยุนกิวอยากพิชิตดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินด้วยตัวคนเดียวให้สําเร็จจริงๆ บักหยุนกิวจําเป็นต้องหาตัวผู้ตื่นขึ้นมาเข้าร่วมกลุ่มด้วย 1 คนซึ่งทักษะความสามารถต้องไม่ทิ้งห่างจากเขามากนักกล่าวอีกนัยหนึ่งหมายความว่าซูฮยอนมีความ แข็งแกร่งมากกว่าบักหยุนกิวถึง 2 เท่าตัวเลยทีเดียว
ชัดเจนแล้วว่าการประมือกับซูฮยอนที่ซานฟรานซิสโกครั้งนั้นอีกฝ่ายยังไม่เอาจริงเลยด้วยซ้ํา
“ความสัมพันธ์ระหว่างสมาคมกับสํานักงานมีแนวโน้มเป็นอย่างไรบ้างครับ?”
ซูฮยอนที่กําลังพูดคุยกับกลุ่มเพื่อนจู่ๆก็เปลี่ยนไปถามบักหยุนกิวกะทันหัน
คําถามที่ยิงมาอย่างไม่คาดคิดทําเอาบักหยูนกวรู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่เขาก็ควบคุมอารมณ์ที่กําลังระส่ําระสายให้กลับเข้าที่เข้าทางได้อย่างรวดเร็ว บักหยุนกิวนึกถึงใบหน้าอวดดีของก็อนแจฮุนพร้อมตอบคําถามซูฮ ยอนไปด้วย
“ความสัมพันธ์ระหว่างสมาคมกับสํานักงานไม่ค่อยดีเท่าไหร่ทางสมาคมเฉื่อยชาไม่ยอมปฏิบัติตามคําสั่ง ของผู้อํานวยการจากมุมมองของฉันสมาคมมีกร็อนแจฮุนเป็นจุดศูนย์กลางจึงไม่แปลกที่ทางสมาคมจะกล้าขัด คําสั่งผู้อํานวยการ สถานการณ์ในตอนนี้ค่อนข้างตึงเครียดพอสมควร
สมาคมผู้ตื่นขึ้นได้รับการยินยอมจากรัฐบาลให้สามารถจัดตั้งขึ้นได้จุดประสงค์ในการจัดตั้งสมาคมผู้ตื่นขึ้นข องประเทศเกาหลีหรือประเทศอื่นๆคือมีไว้เพื่อควบคุมผู้ตื่นขึ้นและรวบรวมกลุ่มคนที่มีเป้าหมายเดียวกัน
แต่ถ้าคุณกล้าฝ่าฝืนกฎที่สํานักงานตั้งขึ้นคุณจะกลายเป็นศัตรูของทางสํานักงานทันที ซึ่งกฎที่ทางสํานักงานทุกประเทศเลือกใช้เป็นข้อตกลงที่นานาประเทศเห็นพ้องต้องกัน
แม้ผู้อํานวยการจะมีอํานาจล้นมือแต่ก็ไม่สามารถควบคุมทุกอย่างได้สิ่งที่ผู้อํานวยการทําได้มีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือภาวนาให้ผู้ตื่นขึ้นทุกคนที่สังกัดอยู่ในสมาคม อยู่ภายใต้กฎระเบียบที่ตั้งไว้ปฏิบัติตามกฎที่กําหนดอย่างเคร่งครัดไม่นอกลู่นอกทาง
สรุปสั้นๆคือในมุมมองขององค์กรหรือสมาคมกฎระเบียบที่ทางนานาประเทศกําหนดไว้เปรียบเสมือนเชือกที่ผูกมัดร่างกายของพวกเขาจะทําอะไรก็ต้องคํานึงถึงกฎเสมอ
“ผู้อํานวยการมีปัญหากับทางสมาคมเพียงอย่างเดียวหรือมีปัญหากับกิลด์ฮาโฮตาลของกว์อนแจฮุนด้วย?”
ขณะตั้งคําถามกับบักหยุนกิว สีหน้าท่าทางของซูฮยอนเต็มไปด้วยความจริงจัง
บักหยุนกิวพินิจมองท่าทางของชายหนุ่มตรงหน้าก่อนเปิดปากถามด้วยความสงสัย
“ขอโทษที่เสียมารยาท ฉันอยากทราบเหตุผลทําไมนายถึงตั้งคําถามแบบนั้นกับฉัน?”
“เพราะกวอนแจฮุนเสียชีวิตแล้ว”
“ผมโดนก็อนแจฮุนลอบกัด โดยการวางแผนก่อวินาศกรรมผมก็เลยตอบโต้อีกฝ่ายกลับไปแบบถึงพริกถึง ขิง คนเลวๆอย่างมันสมควรตายปล่อยไว้ก็หนักโลกเปล่าๆ”
“นายกําลังจะบอกว่าโดนก็อนแจฮุนวางแผนก่อวินาศกรรมลับหลังอย่างงั้นเหรอ?ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนกล้า ลองดีกับนาย..”
บักหยุนกิวเคยเป็นถึงอดีตทหารแต่ตอนนี้เขาผันตัวมาเป็นผู้ตื่นขึ้นที่ทํางานให้กับผู้อํานวยการงานหลักๆ ของเขาคือการควบคุมดูแลผู้ตื่นขึ้นคนอื่นๆ ด้วยความแข็งแกร่งและประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายปีเขาจึงรู้ด้านมืดของผู้ตื่นขึ้นดี
เนื่องด้วยเหตุนี้ บักหยูนกิวจึงเข้าใจเป็นอย่างดีคําว่า [ก่อวินาศกรรม] ของซูฮยอนหมายถึงอะไรการกระทําดังกล่าวของก็อนแจฮุนมีความอันตรายเป็นอย่างยิ่งและไม่ควรทําโดยเด็ดขาด
“บนโลกมีคนหลากหลายประเภทคนที่มีนิสัยอย่างกวอนแจฮุนมีถมไปความโลภมักทําให้คนตาบอด” ซูฮยอนตอบกลับ
“ฉันรู้อยู่แล้วล่ะนะว่ากวอนแจฮุนเป็นคนเห็นแก่ตัวแต่ฉันนึกไม่ถึงจริงๆว่าเขาจะยอมสละชีวิตผู้ตื่นขึ้นภายในกิลด์เพียงเพราะความทะเยอทะยานของตัวเอง…”
บักหยูนกิวกําหมัดแน่น ปกติเขาไม่ใช่คนประเภทที่จะแสดงความโกรธออกมาต่อสาธารณะแต่หลังจากได้ยินคําพูดจากปากซูฮยอนเขาไม่สามารถระงับความโกรธของตัวเองได้…
ดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงิน….
สมมุติดันเจี้ยนเกิดการระบาดขึ้นต้องมีประชาชนเคราะห์ร้ายเสียชีวิตเป็นแสนๆหรืออาจมากกว่านั้น การกระทําของก็อนแจฮุนถือได้ว่าเป็นพฤติกรรมที่บ้าระห่ําและไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างถ้าซูฮยอนเพลี่ยงพล้ําขึ้นมาประเทศเกาหลีคงถึงคราวพังพินาศ
หมัดของบักหยุนกิวกําแน่น จนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อเลือดสีแดงค่อยๆไหลซึมออกมาจากฝ่ามือ หลังจากเงียบไปนานในที่สุดเขาก็เปิดปากพูดอีกครั้งด้วยน้ําเสียงราบเรียบ
“โชคดีที่นายเอาชีวิตรอดกลับออกมาได้นายบอกว่ากวอนแจฮุนเสียชีวิต นายมั่นใจเหรอว่ากวอนแจฮุนหมด ลมหายใจแล้วจริงๆ”ผมมั่นใจทันใดนั้นเอง บักหยุนกิวก็เข้าใจเสียทีว่าทําไมซูฮยอนถึงตั้งคําถามแบบนั้นกับเขา…”ผมขอถามคุณอีกรอบ“ซูฮยอนพูดด้วยน้ําเสียงเป็นการเป็นงาน”ตกลงเป็นฝ่ายใดกันแน่ที่มีปัญหากับสํานัก งานแล้วไม่ยอมปฏิบัติตามคําสั่งกิลด์ฮาโฮตาลของก็อนแจฮุน? สมาคม? หรือว่าจะเป็นทั้งคู่?”
คําถามของซูฮยอนที่ยังเน้นย้ําประเด็นเดิมไม่เปลี่ยนทําเอาบักหยุนกิวมั่นใจในเรื่องหนึ่ง
บักหยุนกิวตระหนักดีว่าคําตอบของเขาอาจส่งผลให้สมาคมเกิดการเปลี่ยนแปลงก็เป็นได้