เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 736 คําพรรณนาของรัชทายาท(ตอนต้น)
ตอนที่ 736 คําพรรณนาของรัชทายาท(ตอนต้น)
“ฮ..ฮ่าๆๆ ข้าคิดไว้แล้วว่าพวกเขาจะต้องใช้วิธีนี้ มันก็ไม่ผิดหรอกนะที่จะใช้การศึกแบบระยะยาวเพื่อลดทอนกําลังฝ่ายตรงข้าม ทําให้ฝ่ายตนชิงข้อได้เปรียบบังคับให้อีกฝ่ายต้องตกอยู่ในสถานะการลําบากกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากไม่บุกก็ตกเป็นรองแต่หากบุกสภาพก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก…แต่นี่พวกเขาคิดว่ากําลังสู้อยู่กับสัตว์อสูรธรรมดาอยู่หรือไง!!!” รัชทายาทกล่าวด้วยน้ําเสียงแหบพร่าดวงตาหรี่เล็กพร้อมกับรอยยิ้มอันชั่วร้าย ใบหน้าของมันดูโรคจิตอย่างยิ่ง ดวงตาของมันทอดไกลไปยังชายแดนป่ารกทึบ
พิ่มมษ
รู้มมมม
ครรลองสายตามีสัตว์ประหลาดตัวยักษ์สูงเสียดฟ้าน้ําหนักหลายสิบต้นกระพรือปีกหนึ่งคราสร้างแรงลมมหาศาลพัดฝุ่นดินฟุ้งกระจาย สัตว์ประหลาดตัวนี้มีเพียงขาสองข้างไม่มีแขน กรงเล็บแหลมคมจิกลงบนผืนดิน รองรับน้ําหนักตัวจนพื้นดินยุบลงเป็นรอยเท้า มีปีกยักษ์แนบติดลําตัว จงอยปากแหลมยาว ร่างกายปกคลุมไปด้วยขนลักษณะเดียวกับนก
เอ้กเอ้กเอ้ก
มันแหงนมองตะวันที่ไต่ระดับขึ้นสูงท้องนภาดับแสงจันทรา สัตว์ประหลาดตัวยักษ์กู่ร้องต้อนรับเช้าวันใหม่ด้วยเสียงอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
มันคือไก่ ไก่ยักษ์!!!
ขนาดร่างกายอันใหญ่โตมโหฬารของไก่ยักษ์ตัวนี้ทําให้สัตว์อสูรที่อยู่ในระแวกใกล้เคียงดูตัวเล็กไปถนัดตา แม้กระทั่งอสูรวัวกระทิงมิโนทอร์ที่สูงสี่เมตร ยังมิอาจเทียบเคียงได้กับข้อเท้าของไก่อสร!!!
และแน่นอนว่ามันมิใช่อสูรไก่ธรรมดาอย่างแน่นอน มันคือหนึ่งในสัตว์วิเศษที่เหล่าผู้นําแห่งเมืองปีศาจล้วน เกรงกลัวหวาดหวั่นต่อพลังอํานาจของมัน มันคือหนึ่งในผู้พิทักษ์ทั้งสิบสองแห่งเผ่าอสูร สัตว์ร้ายในตํานานที่หายสาบสูญไปกว่าหมื่นปี!!!
มันมิใช่สิ่งมีชีวิตที่ตัวใหญ่ที่สุด ณ ที่นี้
ไกลห่างออกไปมีสัตว์ยักษ์อีกตัวที่มีขนาดรอบลําตัวและความสูงใหญ่กว่าอสูรไก่มากกว่าสามถึงสี่เท่าและในระแวกนี้มันคือสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายใหญ่โตที่สุดและมิต้องสืบเลยว่าหากเอามันไปยืนเทียบกับกําแพงเมืองหลวงปีศาจปราการด่านสุดท้ายของเผ่าพันธุ์ กําแพงนั้นยังสูงมถึงครึ่งตัวของมันเสียด้วยซ้ํา!!!
รูปลักษณ์ของมันแตกต่างจากไก่ยักษ์โดยสิ้นเชิง อย่างแรกคือมันมีสี่เท้าสําหรับใช้เคลื่อนที่ตามตัวไม่มีขนมากนัก มีสีขาวแต้มดําเป็นบางจุด มีหางเล็กยาว จมูกขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับรูปหน้ายื่นออกมา ดวงตาสีแดงกลมโต เอี้ยวมาด้านข้างมีหูเลียบลู่ห้อยอยู่บนศรีษะมีเขายาวสองเขาหมุนเป็นเกลียวแหลมเปรี้ยะชี้ขึ้นฟ้า
มออออ
ตูมมมม
สัตว์ร้ายตัวยักษ์เคลื่อนไหวยกขาสบัดหางเดินไปด้านหน้าครึ่งก้าวทิ้งหลุมลึกมองไม่เห็นกันหลุมไว้บนพื้นในตําแหน่งเดิมที่เท้ามันเคยบ่งบอกถึงน้ําหนักนักอันมหาศาล
ทั้งรูปลักษณ์และเสียงของมันหากหลินหยางได้มาเห็นคงต้องเรียกเจ้านี่ว่า…วัว!!!
สิ่งมีชีวิตตัวนี้หากไม่นับขนาดตัวที่เกินจินตนาการและเขาแหลมผิดรูปของมันแล้ว ก็คือวัวดีๆนี่เองและวัว ยักษ์ตัวนี้ที่สูงจนศรีษะทะลุแนวก้อนเมฆกลุ่มหมอก ก็คือหนึ่งในสิบสองอสูรผู้พิทักษ์เช่นเดียวกับไก่ยักษ์
กวาดสายตาเป็นวงกว้างมองไปโดยรอบ พบสัตว์ยักษ์ที่มีขนาดตัวไม่ด้อยไปกว่าเจ้าสองตัวนี้อีกกว่าสิบตัว สิบชีวิตสิบชนิดที่ต่างสายพันธุ์กันโดยสิ้นเชิง สองตัวในจํานวน
นั้นโบยบินวนไปวนมาอยู่เหนือท้องฟ้า
ฝั่งปีศาจมีกลยุทธ์ กําลังพลและแรงสนับสนุน แต่เผ่าอสูรก็ไม่ด้อยไปกว่ากันพวกมันมีกําลังรบพิเศษที่สามารถกวาดล้างทุกย่อมหญ้าได้ด้วยการขยับตัวเพียงครั้งเดียว
นี่ก็คือสิ่งที่หนิงชวนมันภาคภูมิใจใช้เป็นไม้เด็ดเพื่อต่อกรกับเผ่าปีศาจ
“องค์ชาย!! ท่านกําลังเดินทางผิดดด!!!” ตอนนั้นเองเบื้องหลังของมันมีเสียงชราตะโกนสุดกําลังจนแหบพร่า
ใบหน้าของหนิงชวนที่กําลังมองขุมกําลังเหล่าสัตว์อสูรกว่าห้าพันตนด้วยความตื่นเต้นดับวูบลงทันใด ใบหน้าของมันมืดหม่นน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง
มันหันควับกลับหลังฉับพลันเผชิญหน้ากับต้นเสียงดังกล่าว สายตาดุร้ายเกรี้ยวกราดของมันจับจ้องไปยังร่างของชายชราผู้หนึ่งที่ถูกเชือกเส้นใหญ่พันธนาการมัดแขนไขว้หลังติดลําตัวคุกเข่าอยู่บนพื้น ผมหงอกขาวยาวกะเซอะกะเซ็งเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนคราบธรณี ใบหน้าบวมปูดมีรอยแตกเล็กๆเป็นบางจุดมุมปากอาบเลือด จากสภาพ ของมันสามารถบอกได้เลยว่ามันผู้นี้ถูกรุมสกรัมยํามือรวมเท้าจนสะบักสะบอมเลยทีเดียว
“จ่อซุน เจ้าผู้เป็นอาจารย์เปรียบดั่งบิดาคนที่สอง เหตุใดเจ้าจึงมิเข้าใจเจตนารมณ์ของข้า? ด้วยความสัมพันธ์นี้ข้าได้ให้โอกาศเจ้าซ้ําแล้วซ้ําเล่าเหตุใดเจ้ายังดื้อดึงอยู่อีก?”
“เจ้ามิเห็นกองทัพอสูรด้านหลังนี่รี ด้วยจํานวนสัตว์อสูรมากถึงเพียงนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะยืนยันว่าการคาดเดาของข้านั้นถูกต้อง ในเวลาร่วมพันปีที่เผ่าปีศาจของเรากําลังอยู่ที่เดิมใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ เผ่าอสูรได้ขยายอํานาจสร้างเผ่าพันธุ์สืบทอดสายเลือดจนตอนนี้พวกมันมีกองกําลังมากกว่าห้าพันตน ซึ่งในอดีตพวกมันยังมีไม่ถึงพันตนเสียด้วยซ้ํา!!”
“เรื่องแบบนี้ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ? เพียงแค่ไม่กี่สหัสวรรษเผ่าอสูรเพิ่มประชากรขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่าตัวโดยเฉพาะพักหลังๆในระยะร้อยปีที่ผ่านมา พวกมันเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณเกือบเท่าตัว หากเป็นแบบนี้ต่อไปในอีกร้อยปี พันปีข้างหน้าท่านคิดว่าเผ่าอสูรจะมีจํานวนเท่าไหร่? หนึ่งแสนหรือหนึ่งล้านตน?”
“เมื่อถึงตอนนั้นเผ่าปีศาจของเราจะยังอยู่ในสายตาของพวกมันอีกหรือ? อาณาเขตปัจจุบันจะเพียงพอสําหรับอสูรรึไง? เพื่อการนั้นพวกเราไม่สามารถรอได้อีกต่อไป หากตอนนี้เราไม่ลุกขึ้นสู้กับมันให้เด็ดขาดกวาดล้างอสูรให้สิ้น พวกเราจะไม่มีโอกาศอีกครั้ง!!”
“ทว่า…กลับไม่มีใครฟังข้าแม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งท่านพ่อ จักรพรรดิปีศาจผู้มีอํานาจสั่งการสูงสุดของเผ่าพันธุ์! แต่ข้าก็ยังมีสิ้นหวังไม่ล้มเลิกความตั้งใจสืบข้อมูลอย่างลับๆหมายจะรอสืบต่อราชบัลลังก์เพื่อรับอํานาจสั่ง การเผ่าปีศาจทั้งมวลมาอยู่ในมือ เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะประกาศศึกสงครามครั้งสุดท้ายชี้เป็นตายกับเผ่าอสูร!!!”
“แต่ความหวังของข้าก็ถูกทลายไปโดยสิ้นเชิง เมื่อคนที่ท่านพ่อไว้วางใจให้สืบทอดตําแหน่งกลับเป็นอันเอ๋อร์ เป็นสตรีผู้หนึ่ง!!!”
“เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ปีศาจและเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในกาย ข้ามิสนแม้ตนจะกลายเป็นกบฏ!! ต้องมีสักคนที่ลุกขึ้นเพื่อจุดชนวนสงครามและนั่นคือตัวข้า รัชทายาทแห่งราชบัลลังก์ปีศาจ!!!” หนิงชวนป่าวร้องตะโกนด้วยความคับข้องใจ ใบหน้าแดงก่ําเลือดลมสูบฉีดใส่อารมณ์ในวาจาที่เปร่งออกมาจากปากของมัน
“ด้วยความบังเอิญยิ่ง ในคืนหนึ่งขณะที่ข้านอนครุ่นคิดอับจนหนทางอยู่นั้นเขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้น เสนาธิการแห่งเผ่าอสูรมือขวาของราชาอสูรเจี้ยนคัง อสูรในคราบเต่าทมิฬดึกดําบรรพ์ผู้ถือครองนามซึ่งหมิง ชื่อของมันถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนต่อสู้เคียงข้างกับนายเหนือหัวราชาอสูรใน ปฐมสงครามระหว่างสองเผ่าพันธุ์
“พริบตาแรกที่ข้าเห็นมันปรากฏตัวข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าอสูรดึกดําบรรพ์ตนนี้ต้องเฝ้ามองแดนปีศาจของเรามาอย่างช้านานจนรู้การเคลื่อนไหวทุกประการอย่างแน่นอน มิฉะนั้นมันคงมิโผล่มายื่นข้อเสนอแสนอัปยศให้ข้าทรยศเผ่าพันธุ์เช่นนี้”