เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 735 สถานการณ์การศึก
ตอนที่ 735 สถานการณ์การศึก
“เมืองอู่จีส่งไก่งวงขนฟ้ามาสิบคันรถพร้อมกับข้าวสารห้าตัน เมืองฉีจส่งหมูป่าตาเดียวมาสองพันตัว เจ้าเมืองเฉินผู้นําขบวนมาด้วยตนเองส่งมอบปลาหางยาวมาทั้งหมดสิบตันเมือง…” ระหว่างที่จื่อหมิงและเหล่าแม่ทัพกําลังสนทนาบางคราสั่งการอยู่นั้นคนสนิทของจอหมิงก็พูดกรอกหูมันอยู่ตลอดเวลารายงานข้อมูลสดใหม่ล่าสุดให้ฟังอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งตอนนี้เป็นข้อมูลของข้าวปลาอาหารที่แต่ละเมืองส่งมอบมาสมทบบางเมืองก็ส่งข้าวสาร บางตําหนักส่งขนมปังบางกลุ่มส่งสัตว์เป็นๆที่ยังมีชีวิตบางเมืองส่งเนื้อแห่งปรุงรสที่สามารถเก็บรักษาได้นานบางเมืองส่งมากระทั่งน้ำหวานและสุรา
มิเพียงเครื่องบริโภค กระทั่งเครื่องใช้สําหรับกิจวัตรประจําวันก็ยังส่งมาไม่ขาดสาย ผ้าห่มเอยหมอนฟูกแม้แต่สปูที่ทําขึ้นจากสมุนไพรใช้ทําความสะอาดร่างกายก็ยังส่งมาหลายคันรถเดินขบวนคาราวานมาขนส่งต่อแถวรอเข้าเมืองยาวเหยียดบางกลุ่มรอคิวมาตั้งแต่เมื่อวานก็ยังไม่ถึงคิวของมันเสียด้วยซ้ํา
เรียกได้ว่าสิ่งของที่จําเป็นทุกสิ่งอย่างไม่ว่าจะข้าวปลาอาหารอุปกรณ์หรือเชื้อเพลิงแม้แต่อาวุธสงครามพวกมันล้วนมีครบถ้วนสมบูรณ์เพียงพอหล่อเลี้ยงประชาชนหลายสิบล้านภายในเมืองหลวงให้อยู่อย่างสุขสบายไม่ทุกข์ร้อน
สําหรับการตั้งรับแล้วนี่คือไม้ตายเด็ดของจอหมิงเลยทีเดียว สิ่งที่เผ่าปีศาจมีและเผ่าอสูรไม่มีก็คือกองหนุนและกําลังเสริม หากเผ่าอสูรไม่ยอมเป็นฝ่ายบุกก็มิใช่ปัญหาหากจะแข่งขันเรื่องความอดทนยิ่งแล้วใหญ่เผ่าปีศาจสามารถปักหลักสร้างแนวป้องกันตั้งค่ายอยู่ได้นานนับอาทิตย์นับเดือนนับปีเลยทีเดียว
จากเมืองย่อยที่อยู่กระจัดกระจายปักหลักสร้างฐานอยู่ทั่วทุกที่ในเขตแดนปีศาจ เกือบครึ่งเป็นเมืองการเกษตรปลูกผักเลี้ยงสัตว์หว่านข้าวทําให้พวกมันไม่ต้องห่วงเป็นกังวลแม้จะต้องเลี้ยงทหารกว่าเจ็ดสิบล้านนายต่อวันก็ตาม
ส่วนเผ่าอสูรนั้นหรือ? คิดหรือว่าพวกมันจะตักตุนอาหารไว้สําหรับการต่อสู้ระยะยาว? คิดว่าพวกมันจะเลี้ยงหมูหรือไก่ไว้หรือไง?กิจวัตรของพวกมันในแต่ละวันมีแค่นอนและออกล่าเหยื่อเพื่อมาเป็นอาหารในมื้อต่อมื้อก็เท่านั้น
มีกระแสลมมวลหนึ่งพัดมาพร้อมกับร่างของหนึ่งในผู้ติดตามภู่เฉินถอยละลิ้วล่อนลงมาบนกําแพงเมือง
“ท่านซื่อหมิง อย่างที่ท่านได้คาดการณ์ไว้มีกําลังพลมาสมทบทัพอสูรอย่างต่อเนื่อง คืนที่ผ่านมาอสูรมีกําลังรบเพิ่มขึ้นสามร้อยตน พวกมันยังปักหลัก…” คนสนิทของอู่เฉินผู้ที่ตอนนี้ได้รับมอบหมายให้ทําหน้าที่สอดแนมการเคลื่อนไหวของกองทัพศัตรูรายงานข้อมูลที่ได้รับการยืนยันต่อจื่อหมิง
จากการรายงานของมันแสดงให้เห็นว่าทัพอสูรยังไม่สมบูรณ์เต็มร้อย พวกมันยังระดมกําลังเพิ่มกําลังพลเฉกเช่นเดียวกับทัพปีศาจที่ร้องขอกําลังเสริม
ใจความของรายงาน ทัพอสูรนั้นวุ่นวายอย่างยิ่ง อสูรเหล่านี้บางกลุ่มเป็นอริต่อกันโดยธรรมชาติอย่างเช่นอสูรอย่างอสูรสายพันธุ์สุนัขและอสูรจําพวกแมว ที่ไม่ถูกกันตามธรรมชาติเจอหน้ากันคราใดเป็นต้องทะเลาะเบาะแว้งจะต่อสู้กันเสียให้ได้
ยังไม่นับถึงอสูรสายพันธุ์ดุร้ายตั้งแต่กําเนิดอย่างอสูรประเภทเสือ สิงโต อินทรีย์ที่ทะนงตนเป็นผู้ล่ากดขอสูรด้อยสายพันธุ์
อสูรต่างสายพันธุ์หลากหลายชนิดที่มิสามารถสื่อสารกันด้วยภูมิปัญญามารวมกันอยู่ในจุดเดียวบางทีนี่อาจจะเป็นจุดอ่อนอีกอย่างหนึ่งของทัพอสูร
“ขอบคุณเจ้ามาก” จ่อหมิงกล่าว เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่มันได้คาดเดาเอาไว้อยู่แล้ว ข้อมูลที่ได้รับก็เป็นเพียงการยืนยันข้อสันนิฐานเท่านั้นมิใช่เรื่องสลักสําคัญอันใด
มันคิดไว้แล้วว่าอสูรทั้งห้าพันตนที่ยกพลมาประชิดป่าอสูรเหล่านี้มิใช่จํานวนทั้งหมดของฝ่ายอสูรเพราะเขตแดนฝั่งปีศาจและอสูรนั้นมีอาณาเขตเท่าๆกัน ทั้งสองเผ่าปกครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งของโลกใบนี้ฉะนั้นแล้วย่อมมีสัตว์อสูรอีกจํานวนไม่น้อยที่อยู่ห่างไกลออกไปทําให้พวกมันต้องใช้เวลาในการเดินทางตามระยะทางกว่าจะ มาสมทบกับกองทัพอสูร
หลังรายงานเสร็จสรรพผู้ติดตามภู่เฉินก็บินจากไปประจําตําแหน่งของตนอีกครา
จ่อหมิงมองลงไปเบื้องล่างด้านนอกกําแพงเมือง ทหารบางกลุ่มล้อมวงจับกลุ่มทานอาหารยามเช้ามองไปทางซีกขวาหน่วยแพทย์ยังคงวุ่นวายเหมือนเดิมกับผู้บาดเจ็บที่ล้นมือไกลออกไปบริเวณแนวหน้าหน่วยรบปักหลักอย่างแข็งขันขยับขบวนเคลื่อนทัพสลับกันไปมา
มองไปด้านหลังภายในเมืองหลวงปีศาจ
ประชาชนคนธรรมดาพลุกพล่านตั้งแต่เช้าตรู่ ถนนหนทางพบผู้คนเดินสวนกันไปมา บ้านเรือนร้านค้าตามข้างถนนแสดงการร้องรําทําเพลงเต้นรําเรียกลูกค้าทําให้บรรยากาศครื้นเครงยิ่งซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ในตอนนี้ก็คือเหล่าพลทหารนักรบทั้งหลายคอยปรนิบัติให้ความสําราญลดความตึงเครียด
จ่อหมิงถอนหายใจบางเบากับภาพอันสงบสุขเบื้องหน้า สงครามครั้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์กําลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้าไม่มีใครล่วงรู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาแบบไหนเป็นเช่นไรแม้จะมีความได้เปรียบอยู่มากแต่มันก็มิกล้าฟันธงถึงชัยชนะ
ป่ารกทึบชายแดนฝั่งอสูร
ไกลห่างออกไปจากชายป่ามีคนกลุ่มหนึ่งราวหนึ่งร้อยชีวิตกําลังเกาะกลุ่มกัน
“องค์รัชทายาท” บุรุษหนุ่มรายหนึ่งประสานมือน้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเคารพต่อบุรุษผู้ หนึ่งรายเบื้องหน้า
“ข้าบอกเจ้าแล้วมิใช่เลิกเรียกข้าว่ารัชทายาทได้แล้ว” มันผู้นี้คือผู้ทรยศแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจ รัชทายาทองค์ปัจจุบันผู้มีสิทธิ์ครอบครองบัลลังค์บุตรชายของจักพรรดิปีศาจองค์ปัจจุบันมันมีนามว่าฮุยจอหนิงชวนบุรุษผู้นี้รูปร่างหน้าตาดูภูมิฐานไม่มีจุดเด่นอันใดอยู่ในช่วงอายุราวยี่สิบปลายสามสิบต้น
“ค-ครับท่านหนิงชวน หน่วยสอดแนมของพวกเราไม่สามารถเข้าไปใกล้เมืองหลวงปีศาจมากกว่านี้ได้ทางฝั่งนั้นได้วางกําลังคุ้มกันแน่นหนาเฝ้าระวังทุกหย่อมหญ้าเมื่อใดก็ตามที่เราย่างกรายเข้าไปในป่าอสูรเมื่อไหร่พวกเขาจะรู้ตัวได้ทันทีด้วยวิชาพฤกษาของนักรบจากเมืองเซียนลุ่ยทางอากาศเองก็ลําบากไม่แพ้กันยากจะส่งหน่วยสอดแนมให้เล็ดรอดสายตาของอู่เฉินและนักรบจากเมืองฮวางฉือไปได้”บุรุษหนุ่มกล่าวรายงาน
พริบ
ตอนนั้นก็มีนกยักษ์ตัวหนึ่งขนาดลําตัวใหญ่โตสูงกว่าสามเมตรวัดขนาดความยาวตั้งแต่หัวจรดหางกว่าสี่เมตรดวงตาของมันมีสีแดงฉานปีกสีดําสนิทจงอยปากมีคราบเลือดและน้ำลายติดอยู่เจ้าตัวนี้ย่อมมิใช่สัตว์ธรรมดาแต่เป็นสัตว์อสูรแถมยังเป็นสัตว์อสูรโตเต็มวัยเสียด้วยมันบินร่อนลงมาจอดลงข้างกายของจอหนิงชวนพร้อมกับนักรบเผ่าปีศาจผู้หนึ่งที่ขึ้นกตัวนี้อยู่กระโดดลงมาจากหลังของมันเดินตรงปรี่เข้ามาหารัชทายาท
“ท่านผู้นํา จากการเฝ้าดูขบวนรบของอีกฝ่าย ข้าคิดว่าพวกเขาตั้งใจจะใช้กลยุทธ์การศึกระยะยาวเป็นฝ่ายตั้งรับเพียงอย่างเดียวขอรับหากเป็นอย่างนั้นข้าคิดว่าพวกเราจะเสียเปรียบอยู่ไม่น้อย”ชายผู้มาใหม่กล่าวตอบมันคือมือขวาคนสนิทของรัชทายาทและเป็นนักวางกลยุทธ์วางแผนทุกกลศึกในกองกําลังส่วนตัวของรัชทายาทอีกด้วย
มันพึ่งขึ้นขี่นกยักษ์ตัวหนึ่งขึ้นไปบนท้องนภาในระดับความสูงระดับเดียวกับอู่เฉินและนักรบวายุเพื่อมองระบอบการตั้งค่ายและวางกําลังของกองทัพปีศาจจากระยะไกล