หมอหญิงพลิกธรรมเนียม - บทที่ 30
ต่งซูเพียงทำเป็นไม่ได้ยิน เบี่ยงหน้าไปอีกทาง พานหมิ่นขึ้นชื่อเรื่องไม่ฟังเหตุผล ไปทะเลาะกับนางก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
นายหญิงใหญ่ก็ย่นหัวคิ้ว
เดิมทีนางก็ไม่สนับสนุน แต่เห็นต่งซูที่เอาแต่นิ่งเงียบไม่เบิกบานถึงกับบอกว่าชอบออกมา บีบบังคับให้ต่งซูแต่งงานก็ไม่เป็นธรรมต่อบุตรสาวอยู่แล้ว นึกถึงว่าหลังจากแต่งงานสวินเหลียนก็ต้องออกรบ เป็นตายยากจะรู้ เวลานี้ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากปฏิเสธความต้องการของต่งซู
“เจียงเสียนผู้นี้หน้าตาดูเป็นคนต่ำช้า ชอบทำอะไรที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมโดยเฉพาะ พูดจากใจจริงข้าไม่อยากให้เขาเข้ามาข้องเกี่ยวกับงานแต่งงานของซูเอ๋อร์” หลังจากใคร่ครวญแล้วใคร่ครวญอีก นายหญิงใหญ่ก็ตัดสินใจเด็ดขาด “ช่างเถิด ในเมื่อซูเอ๋อร์ชอบ ข้าก็จะไปพูดกับนายท่าน ให้เขาไปวิ่งเต้น…”
“เรื่องนี้ถ้านายท่านออกหน้าต้องสำเร็จแน่นอน!” เหยาหลันวางถ้วยชาลง ผงกศีรษะอย่างมั่นใจ “ท่านก็เคยเห็นตุ๊กตาหยกเหลืองที่เขามอบให้นายท่านชุดนั้น สะใภ้ได้ยินท่านพ่อบอกว่านั่นเป็นของล้ำค่าของแผ่นดิน หากไม่มีฝีมือที่ยอดเยี่ยมเหนือชั้น ก็ไม่มีทางเอามาได้!”
ฝีมือที่ยอดเยี่ยมเหนือชั้น?
หลวนอวิ๋นชูย่นหัวคิ้ว มีฝีมือเช่นนี้เหตุใดยังเอาชีวิตมาฝากไว้กับจวนกั๋วกงอีก
จะอย่างไรก็เป็นคนแคว้นหลี วันนี้หลี่หวาก็บอกว่าแคว้นหลวนและแคว้นหลีมีเรื่องขัดแย้งกันมาก ต่งกั๋วกงก็ยังเชื่อถึงเพียงนั้นว่าเจียงเสียนไม่ใช่ผู้สอดแนมของแคว้นหลี ที่ยอมอยู่ในจวนกั๋วกงใช่มีแผนการอื่นหรือไม่
“ฮึ ฝีมือยอดเยี่ยมเหนือชั้นอะไรกัน ไม่รู้ไปใช้วิธีต่ำช้าอะไรมากกว่า” พานหมิ่นเงยหน้า เผยแววตาสะอิดสะเอียน “ใช้ของของเขาไม่กลัวจะทำให้ร่างกายสกปรกหรือ!”
ต่งซูหน้าแดง หันหน้าหนีไปเสียเลย ไม่มองพานหมิ่นอีก นายหญิงใหญ่มีสีหน้าเคร่งขรึม หลวนอวิ๋นชูก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบทีละคำ
“น้องหมิ่นก็พูดไม่ผิด แต่มีชีวิตอยู่ที่บ้านไหนเลยจะมีเรื่องที่ได้ดังใจไปเสียทุกอย่าง ไม่ต้องไปขอร้องผู้อื่น” ถูกทำให้เสียหน้าเหยาหลันก็ยิ้มฝืดฝืน มองนายหญิงใหญ่ “คิดจะใช้คน ย่อมไม่อาจมองแต่ข้อเสียของเขา ทำงานได้จึงจะเป็นเรื่องจริง เห็นว่าเขาไม่ดี นายหญิงใหญ่เพียงสั่งให้คนในจวนอยู่ห่างจากเขาสักหน่อยก็ได้แล้ว”
นายหญิงใหญ่มองต่งซูแล้วทอดถอนใจ “หลันเอ๋อร์พูดถูก กำหนดแต่งงานของซูเอ๋อร์อยู่ตรงหน้านี้แล้ว ไม่อาจคำนึงถึงอะไรมากมาย”
พูดจบนายหญิงใหญ่ก็มองพานหมิ่นอย่างดุดันทีหนึ่ง พานหมิ่นปิดปากสนิทอย่างรู้การควรไม่ควร
โดยไม่ได้นัดหมาย ทุกคนต่างพูดเรื่องอื่น เหยาหลันไม่เสียทีที่ดูแลครอบครัวมาหลายปี คิดอะไรฉับไว เพียงชั่วครู่เดียวก็กำหนดเรื่องใหญ่ร่วมกับนายหญิงใหญ่ออกมา
สี่จู๋ฝนหมึกปูกระดาษถือพู่กันรออยู่นานแล้ว ที่ทำให้หลวนอวิ๋นชูประหลาดใจก็คืออย่าเห็นว่าพานหมิ่นศึกษาเล่าเรียนมาน้อย แต่กลับมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเครื่องลายคราม เครื่องเรือน เครื่องหยก เพชรพลอยไข่มุกเป็นอย่างดี นายหญิงใหญ่ทางด้านนี้เพิ่งบอกต้องการคทาหยก* คู่หนึ่ง คนอื่นยังคิดอยู่ ทางด้านโน้นพานหมิ่นก็พูดออกมาเป็นก่ายกอง อะไรคือคทาหยกสีเขียว อะไรคือคทาหยกสีขาว…บอกกระทั่งแหล่งผลิต ราคา ลวดลายบนตัวหยกจุดเด่นต่างๆ ออกมาอย่างละเอียด ทั้งยังบอกว่าหยกขาวเป็นของชั้นหนึ่งในบรรดาหยกอย่างแน่นอน
ฟังตัวเลขราคาที่สูงลิ่วนี้แล้ว หลวนอวิ๋นชูก็ปาดเหงื่อ ไม่รู้ครั้งนี้จวนกั๋วกงจะล้มละลายเพราะแต่งบุตรสาวหรือไม่
ทุกคนยิ่งนัยน์ตาเขียว** ไปหมดแล้ว แต่ก็รู้ว่านายหญิงใหญ่รักต่งซู ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าพูดคำว่า ‘ไม่’ ออกมาก่อน ต่างมองไปทางนายหญิงใหญ่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชมด้วยความคึกคักสนุกสนาน
นายหญิงใหญ่เองก็ลำบากใจขึ้นมา นางรักต่งซูเป็นเรื่องจริง แต่จวนกั๋วกงไม่เหมือนสกุลพานที่ร่ำรวยเทียบท้องพระคลัง จะอย่างไรกำลังทรัพย์ก็มีจำกัด ตามความคิดของนาง ของล้ำค่าแห่งยุคมีเพียงชิ้นสองชิ้นก็พอ ฟังพานหมิ่นพูดไม่หยุด เดิมคิดจะตัดบทนาง แต่เห็นต่งซูฟังอย่างออกรสออกชาติ คำว่า ‘ไม่’ จึงพูดไม่ออก
บรรยากาศพลันดูแปลกประหลาดขึ้นมา
ในห้องเพียงได้ยินพานหมิ่นที่ไม่มีตาส่งเสียงพูดเจื้อยแจ้ว แต่กลับไม่มีใครเออออด้วย
“เอาล่ะๆ น้องหมิ่น” เหยาหลันยื่นน้ำชาให้พานหมิ่นถ้วยหนึ่งแล้วพูดกึ่งหยอกล้อ “เจ้าเข้าใจว่าที่นี่คือบ้านสกุลพานของพวกเจ้าหรือ ที่แต่งบุตรสาวคนก็ต้องมอบที่นาชั้นหนึ่ง* พันหมู่** สินเดิมยาวร้อยหลี่!”
ที่นาชั้นหนึ่งพันหมู่ สินเดิมยาวร้อยหลี่
คำพูดนี้แปลกใหม่ หลวนอวิ๋นชูเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก อดมองพานหมิ่นด้วยความฉงนไม่ได้ สี่จวี๋จึงกระซิบบอก
“สะใภ้สี่คงจำไม่ได้แล้ว ตอนนั้นสะใภ้สามแต่งเข้ามา สินเดิมเจ้าสาวที่บ้านสกุลพานส่งมา ให้คนสองมือประคองมาเป็นชิ้นๆ ส่งมาให้ถึงจวนกั๋วกง คนถือของเหล่านั้นเรียงเป็นแถวยาวเกือบร้อยหลี่ แม้จะพูดเกินเลยไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ต่างจากความเป็นจริงสักเท่าไร นอกจากของเหล่านี้แล้ว นายท่านพานยังมอบการค้าให้อีกหลายแห่ง ที่นาชั้นหนึ่งพันหมู่ ตอนนั้นฮือฮาไปทั้งเมืองหลวนเฉิง ได้ยินว่าแต่งฮองเฮาก็ประมาณนี้…”
มิน่านายหญิงใหญ่ถึงยอมแต่งหญิงปากร้ายเช่นนี้เข้าจวน ที่แท้ก็เห็นแก่สินเดิมของผู้อื่น หลวนอวิ๋นชูยิ้มพลางนึกไปถึงลู่เซวียนที่พุ่งเป้ามายังญาติเกี่ยวดองผู้นี้ของจวนกั๋วกง ขอความช่วยเหลือเรื่องรวบรวมเสบียงอาหารครั้งแล้วครั้งเล่า หลวนอวิ๋นชูฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้จึงฉวยโอกาสนี้กล่าวขึ้น
“ตามความคิดของสะใภ้ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเช่นนั้น ท่านป้าคิดจะสร้างความพึงพอใจให้ท่านแม่ทัพใหญ่จริง เพียงทำเรื่องเดียวก็ได้แล้ว”
คำพูดประโยคเดียวของหลวนอวิ๋นชูได้สลายความคิดที่จะทำให้จวนกั๋วกงล้มละลายของพานหมิ่นไปอย่างสบายๆ นายหญิงใหญ่นัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นมาทันที
“เรื่องอะไรหรือ อวิ๋นชูพูดมาให้ฟังซิ”
“สะใภ้ได้ยินท่านพ่อพูดอยู่เสมอ ทหารและม้ายังไม่เคลื่อนไหว เสบียงอาหารและหญ้าต้องจัดเตรียมก่อน เวลานี้แม่ทัพใหญ่จะยกทัพไปตะวันออก ก่อนอื่นก็ต้องรวบรวมเสบียงอาหาร ถ้านายท่านสามารถรวบรวมเสบียงอาหารให้กองทัพจำนวนหนึ่งมอบให้แม่ทัพใหญ่ ไม่เพียงแม่ทัพใหญ่จะดีใจ ฝ่าบาทเองก็จะทรงมองนายท่านต่างไปจากเดิม”
“ที่พูดมาก็มีเหตุผล” แววตาของนายหญิงใหญ่เป็นประกายวิบวับ จากนั้นก็หม่นขรึมลง “เพียงแต่อวิ๋นชูคงไม่รู้ ตั้งแต่เริ่มต้นนายท่านก็คัดค้านการยกทัพไปตะวันออก บอกนี่เป็นหลุมพรางของแคว้นหลี เคยยื่นหนังสือกราบทูลทัดทานไม่ใช่เพียงแค่ครั้งเดียว เพื่อเรื่องนี้แล้วยัง…เฮ้อ นายท่านจะยอมลงแรงเพื่อเรื่องนี้อีกได้อย่างไร”
นายหญิงใหญ่มองเหยาหลันแวบหนึ่ง ลังเลอยู่ชั่วขณะแล้วกล่าวต่อ
“พวกเจ้าคงไม่รู้ หลายวันมานี้อัครเสนาบดีเหยาก็ส่งคนมาโน้มน้าวนายท่านครั้งแล้วครั้งเล่า จะให้เขาออกหน้าช่วยรวบรวมเสบียงอาหารให้แม่ทัพสวินที่ยกทัพไปตะวันออก นายท่านล้วนอ้างเหตุหลบเลี่ยงไป เรื่องนี้ คิดว่าคงใช้ไม่ได้”
บังเอิญเพียงนี้ อัครเสนาบดีเหยาเพิ่งส่งคนมาโน้มน้าว หลวนอวิ๋นชูก็มาสนับสนุนนายหญิงใหญ่ นางรู้ได้อย่างไรว่าทัพที่จะมุ่งไปทางตะวันออกยังขาดเสบียง ทั้งยังพูดได้ทันการณ์เช่นนี้ หลวนอวิ๋นชูเป็นแม่ม่ายอยู่แต่ในเรือน ไม่รู้ว่านางไปได้ยินข่าวนี้มาจากที่ใด ส่วนลึกในดวงตาเหยาหลันมีประกายดุดันมุ่งร้ายผุดขึ้นจางๆ มองมาทางหลวนอวิ๋นชูอย่างรู้เท่าทัน
ท่านพ่อส่งใครมารวบรวมเสบียง ประเดี๋ยวต้องไปตรวจสอบให้แน่ชัด
“เมื่อก่อนน้องอวิ๋นชูก็คัดค้านการยกทัพไปตะวันออกอย่างที่สุด” เหยาหลันพลันนึกอะไรขึ้นได้ “บอกเมื่อไม่มีปากฟันย่อมหนาวเหน็บ แคว้นชื่อสูญสิ้นแล้ว ถัดไปก็คือแคว้นหลวน บัณฑิตถังยังถูกปลดจากขุนนางเพราะเรื่องนี้ เพิ่งผ่านไปเพียงไม่นาน น้องอวิ๋นชูถึงกับสนับสนุนการยกทัพไปตะวันออก ช่วยรวบรวมเสบียงแล้วหรือ”
ในดวงตาที่ยิ้มกริ่มของเหยาหลันมีประกายคุกคามคนเจืออยู่ขุมหนึ่ง หลวนอวิ๋นชูสะดุ้งเฮือก
เสนอให้ช่วยรวบรวมเสบียงล้วนเป็นความคิดที่หลวนอวิ๋นชูนึกขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน ด้วยความรู้สึกที่อยู่ในใจทั้งในชาตินี้และชาติก่อน ทำให้นางไม่อาจทนเห็นลู่เซวียนวิ่งเต้นจนขาแทบหลุดก็ไม่พบหนทาง ถึงกับลืมไปว่าข้างกายยังมีเหยาหลันที่ฉลาดเฉียบแหลมและมีสายตากว้างไกลนั่งอยู่ บิดาของเหยาหลันคืออัครเสนาบดี กับลู่เซวียนก็มีความสัมพันธ์ที่โยงใยถึงกัน เพียงมองปราดเดียวก็เห็นได้ถึงสายสนกลใน
หลวนอวิ๋นชูสะบัดผ้าเช็ดหน้าปักในมือ เช็ดเหงื่อที่กลางฝ่ามืออย่างไม่มีใครสังเกตเห็น มองเหยาหลันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ถึงตอนนี้ข้าก็ยังคัดค้านการยกทัพไปตะวันออก แต่ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยเด็ดขาดแล้ว ในฐานะขุนนาง นอกจากปฏิบัติตามพระบัญชาแล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก หรือพี่สะใภ้ใหญ่ลืมหลักปฏิบัติข้อที่ว่าขุนนางยึดถือกษัตริย์ไปแล้ว”
“น้องอวิ๋นชูพูดถูก” เหยาหลันตกตะลึงไปชั่วขณะ แล้วยิ้มอย่างกลืนไม่เข้า คายไม่ออก “ข้าเลอะเลือนแล้ว”
“สุภาษิตว่าไว้ สองทัพรบกัน ที่รบคือเงินและเสบียงอาหาร ถ้าแม่ทัพใหญ่ยกทัพไปครั้งนี้ เสบียงอาหารและหญ้ามีเพียงพอ เช่นนั้นโอกาสที่จะได้รับชัยชนะย่อมมีมาก และจะได้ไม่…” หลวนอวิ๋นชูจงใจลากเสียงยาว พลางมองต่งซูแวบหนึ่ง “เรื่องใหญ่ของบ้านเมืองเหล่านี้ เดิมทีไม่ใช่เรื่องที่อิสตรีจะเป็นห่วง แต่นี่เป็นเพราะสะใภ้เห็นท่านป้าเป็นทุกข์ และคิดว่าจะอย่างไรก็จะผูกสัมพันธ์เกี่ยวดองกับจวนแม่ทัพ จึงได้เกิดความคิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ใช้ไม่ได้ก็แล้วไป ท่านป้าเพียงคิดเสียว่าสะใภ้ไม่ได้พูดก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ใจสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บ หลวนอวิ๋นชูเหยียบถูกจุดอ่อนของนางเข้าพอดี!
ผูกญาติกับจวนแม่ทัพ สิ่งที่นางเป็นห่วงที่สุดก็คือเรื่องนี้ หนึ่งกลัวแม่ทัพใหญ่ทำศึกพ่ายแพ้ สองกลัวสวินเหลียนตายในสนามรบ ต่งซูต้องมาเป็นม่าย
นายหญิงใหญ่มองต่งซูแล้วครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
มุมปากเหยาหลันมีประกายเย้ยหยันพาดผ่านจางๆ เห็นนายหญิงใหญ่หวั่นไหวก็ยิ้มแล้วบอก
“ดีที่น้องอวิ๋นชูมีความรอบรู้ ก่อนน้องอวิ๋นชูจะออกเรือน นายท่านกับนายหญิงใหญ่ก็พูดอยู่เสมอ ถ้าเจ้าเป็นบุรุษ ลำพังความรอบรู้ด้านอักษรและการประพันธ์ก็สามารถเป็นขุนนางเป็นเสนาบดีได้แน่นอน เพียงแต่น่าเสียดาย…” แล้วหันไปทางนายหญิงใหญ่ “ตามความเห็นของสะใภ้ นายหญิงใหญ่ไม่สู้ลองดูเถิด ก่อนหน้านี้นายท่านคัดค้านการยกทัพไปตะวันออก จึงไม่ยินดีช่วยเหลือ มาบัดนี้สองครอบครัวจะเกี่ยวดองกันแล้ว ยกทัพไปตะวันออกก็เป็นการตัดสินพระทัยของฝ่าบาท ไม่ว่าจะด้วยเหตุด้วยผลอันใด นายท่านก็ควรลงมือช่วย”
คำพูดคำเดียวทำให้นายหญิงใหญ่ตาสว่าง นางผงกศีรษะน้อยๆ ด้วยจิตใต้สำนึก
“ค่อยว่ากันเถิด สินเดิมของซูเอ๋อร์ที่ควรจัดเตรียมยังคงต้องจัดเตรียม”
หัวข้อสนทนาวกกลับมาที่เรื่องสินเดิม ต่งซูถือโอกาสเอ่ยขึ้น
“ที่พี่สะใภ้สามพูดเมื่อครู่ ลูกเพียงฟังเอาสนุก หาได้ชอบจริงจังแต่อย่างใด มารดาอย่าได้จัดลำดับไปตามนั้นเด็ดขาด ลูกไม่ได้ใช้หรอกเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ลอบระบายลมหายใจ แต่ปากกลับบอกว่า
“สตรีเรามีชีวิตหนึ่งเพียงครั้งเดียว ข้าจะต้องให้เจ้าแต่งออกไปอย่างมีหน้ามีตา ที่เขียนอยู่นี้ถ้ามีสิ่งที่ซูเอ๋อร์ชอบ ขอเพียงบอกมา ไม่ต้องกลัวสิ้นเปลืองเงิน”
ทุกคนคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง ช่วยกันร่างรายละเอียดคนละปากคนละคำ หลวนอวิ๋นชูไม่มีความรู้ในเรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย นางเพียงนั่งอย่างภูมิฐานมองดูอยู่ที่นั่น ทุกคนเข้าใจว่านางเป็นแม่ม่ายใหม่ ไม่อาจเข้าร่วมความคึกคักเช่นนี้จึงไม่ได้ใส่ใจ
ร่างรายละเอียดออกมาและปรับเปลี่ยนอีกหลายครั้ง สุดท้ายสี่จู๋ก็คัดลอกใหม่แล้วส่งขึ้นไป นายหญิงใหญ่ดูแล้วพยักหน้าด้วยความพอใจ ส่งให้เหยาหลัน
“ประจวบเหมาะพอดี วันนี้อยู่กันครบ” รับร่างรายละเอียดมา เหยาหลันเอามือลูบกระดาษก่อนเอ่ยว่า “นายหญิงใหญ่ไม่สู้แบ่งงานเย็บปักถักร้อยไปทีเดียวเลย”
“อืม…หลันเอ๋อร์พูดถูก”
นายหญิงใหญ่พยักหน้า แล้วเหลือบไปเห็นสาวใช้รุ่นเล็กคนหนึ่งกำลังชะโงกหน้าอยู่หลังฉากบังลม สีหน้าพลันเคร่งขรึม
“มีอะไร นับวันยิ่งไม่มีกฎระเบียบแล้ว!”
สาวใช้รุ่นเล็กตกใจเนื้อตัวสั่นเทา รีบก้าวออกมาพลางชี้แจง
“เรียนนายหญิงใหญ่ พ่อบ้านเฮ่อมีเรื่องจะรายงาน รอมาเกือบจะหนึ่งชั่วยามแล้ว จึงให้บ่าวมาดูว่าที่นี่คุยกันเสร็จหรือยังเจ้าค่ะ”
พ่อบ้านเฮ่อมาแล้ว! คงไม่ใช่เพราะเรื่องเฉิงชิงเสวี่ยกระมัง
พอได้ยินคำพูดนี้หลวนอวิ๋นชูที่เดิมนั่งอย่างท้อแท้หงอยเหงาก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที มองไปที่นายหญิงใหญ่ด้วยท่าทางตื่นเต้น
นายหญิงใหญ่จิตใจพะวงอยู่กับเรื่องสินเดิม จึงไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางตกตะลึงที่ผุดขึ้นมาแวบหนึ่งแล้วเลือนหายไปของหลวนอวิ๋นชู เพียงย่นหัวคิ้วแล้วบอกอย่างติดรำคาญ
“บอกเขาว่าวันนี้ไม่ว่าง มีเรื่องอะไรพรุ่งนี้ค่อยมารายงาน”
สาวใช้รับคำแล้วรีบออกไป
เหยาหลันขยับริมฝีปากคิดจะยับยั้งไว้ แต่เห็นสีหน้าของนายหญิงใหญ่แล้วก็ไม่ได้พูด แค่ชี้ไปยังร่างรายละเอียดที่เพิ่งแบ่งออกมาในมือ
“ฉากผ้าม่าน มุ้ง หมวกแพร รองเท้า ถุงเท้า งานถักงานปักล้วนอยู่ที่นี่แล้ว นายหญิงใหญ่ท่านดู ฉวยโอกาสที่ทุกคนต่างอยู่ที่นี่ ที่แบ่งสันได้ก็แบ่งสันไปก่อน ที่เหลือสะใภ้จะเอาออกไปหาร้านปักอีกที”
หัวใจของหลวนอวิ๋นชูลอยขึ้นมาทันที
สวรรค์โปรดคุ้มครอง ข้าอะไรก็ทำไม่เป็น อย่ามอบหมายมาให้ข้าเป็นอันขาด!
ไหนเลยจะรู้ กลัวอะไรสิ่งนั้นก็มา
พอได้ยินว่าจะแบ่งงาน ต่งฮว่าก็คึกคักตื่นเต้นขึ้นมาทันที ตบมือร้องขึ้น
“ดีจริงๆ ข้าจะอยู่กลุ่มเดียวกับพี่สะใภ้สี่” แล้วเอ่ยเสริมขึ้นอีก “งานเย็บปักถักร้อยของพี่สะใภ้สี่ในเมืองหลวนเฉิงเป็นหนึ่งไม่มีสอง ข้าจะถือโอกาสเรียนรู้”
คำพูดพอออกจากปาก หลวนอวิ๋นชูมือเท้าพลันเย็นเฉียบ ขวัญกระเจิง ตอนเช้าเพราะคำคุยโวยกย่องของหลี่หวา นางยังหนักใจเรื่องนี้อยู่เชียว ไม่คิดว่าจะมาถึงตัวแล้ว
หลังคารั่วกลับมาเจอฝนตกทั้งคืน* ทางด้านนี้ขวัญกล้าของหลวนอวิ๋นชูยังไม่กลับเข้าร่าง ก็ได้ยินต่งซูพูดด้วยแววตาระยิบระยับ
“น้องฮว่าไม่พูดข้าเองก็คงลืมแล้ว ฝีมือเย็บปักถักร้อยของพี่สะใภ้สี่เทียบได้กับของในรั้วในวัง หญิงสาวในเมืองหลวนเฉิงล้วนเห็นการได้งานปักสักชิ้นของท่านมาเป็นสินเดิมเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจ พี่สะใภ้สี่จะต้องปักงานที่เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครให้ข้าสักชิ้น จะได้ช่วงชิงหน้าตาที่จวนแม่ทัพ”
“ข้า…”
“เมื่อก่อนพี่สะใภ้สี่เคยรับปากไว้ บอกรอข้าออกเรือนจะต้องปักฉากบังลมปักลายสองหน้าให้ข้าฉากหนึ่ง หน้าหนึ่งเป็นสกุณาส่งเสียงร้องบุปผาส่งกลิ่นหอม อีกหน้าเป็นภูเขาเซียนทะเลเมฆ ยังจะแต่งบทกวีด้วยตนเอง ข้าไม่ต้องการสิ่งอื่นใด เพียงต้องการสิ่งนี้!”
ต่งซูไม่ใช่ไม่ชอบนางหรือ เหตุใดจึงเรียก ‘พี่สะใภ้สี่’ ทุกคำอย่างสนิทสนมเช่นนั้น
หญิงสาวในจวนกั๋วกงแห่งนี้แต่ละคนล้วนแปลกประหลาด พานหมิ่นไม่ชอบนาง แต่เวลารับของขวัญกลับไม่แม้แต่จะกะพริบตาปฏิเสธสักนิด ตอนนี้ก็ต่งซูก็อีกคน ทำตัวเป็นคนไม่เอ่ยเรื่องเป็นอริ เพียงเอ่ยถึงผลประโยชน์เท่านั้น เรื่องเหล่านี้ใครเป็นคนอบรมสั่งสอนกัน
ฟังคำพูดของต่งซูแล้ว ความรู้สึกหลวนอวิ๋นชูพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง
นางเย็บปักถักร้อยเป็นที่ไหน
ใบหน้าซีดเผือดลงเล็กน้อย ถ้าไม่ใช่มีลำคอขวางอยู่ พริบตาถัดมาหัวใจของนางคงกระโดดออกมาเต้นระบำละตินต่อหน้าผู้คนแล้ว
พยายามคิดหาหนทางต่างๆ นานา ในที่สุดหลวนอวิ๋นชูก็ตัดสินใจเด็ดขาด สุภาษิตกล่าวไว้ดี ชัยชนะเล็กอาศัยความเฉลียวฉลาด ชัยชนะใหญ่อาศัยคุณธรรม ทำไม่ได้ก็คือทำไม่ได้ เล่นเล่ห์เหลี่ยมเล็กๆ น้อยๆ ย่อมไม่ยาวนาน ยังคงสารภาพไปตามตรงดีกว่า บอกนายหญิงใหญ่ไปตามความเป็นจริง เพราะสูญเสียความทรงจำ นางจึงลืมเรื่องการปักไปแล้ว ตัดสินใจเด็ดขาด หลวนอวิ๋นชูกำลังจะเอ่ยปาก ก็เห็นพานหมิ่นพูดแทรกขึ้นมา
“ถุย! ถุย! น้องซูอย่าพูดเช่นนี้เด็ดขาด นี่ไม่ใช่เรื่องอื่น แต่เป็นสินเดิมเจ้าสาว ทุกขั้นตอนล้วนเน้นความเป็นสิริมงคล ก่อให้เกิดความโชคดี โดยเฉพาะสิ่งของในห้องหอ ไม่ว่าอะไรก็ต้องเป็นคู่ๆ ต้องให้คนที่มีความเป็นคนนำโชคเป็นคนทำจึงจะดี หาไม่…”
พูดถึงเรื่องความเป็นสิริมงคล คนอื่นยังพอว่า นายหญิงใหญ่ในใจก็ใส่ใจเรื่องนี้อยู่แล้ว เวลานี้ยิ่งถือสาแต่พูดไม่ออก เบนสายตามองไปที่หลวนอวิ๋นชู เห็นนางสีหน้าซีดขาว คิดว่าคงสะเทือนใจ จึงอดรู้สึกสงสารไม่ได้ แต่เมื่อนึกถึงว่าบุตรสาวของตนจะเป็นเช่นนาง แต่งงานได้ไม่กี่วันก็เป็นม่าย หัวใจพลันเจ็บหนึบขึ้นมา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง กดข่มความปวดร้าวในใจเอาไว้ มองหลวนอวิ๋นชูด้วยความรักและเมตตาแล้วว่า
“อวิ๋นชูไว้ทุกข์ให้อ้ายเอ๋อร์ก็ลำบากมากแล้ว ดูเจ้าสิ ผอมจนแทบจะดูไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว ข้าเห็นแล้วก็ปวดใจ ช่วงนี้เจ้าก็พักผ่อนบำรุงร่างกายให้ดี สินเดิมของซูเอ๋อร์เจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว” แล้วหันไปทางเหยาหลัน “หลันเอ๋อร์รับหน้าที่จัดการเรื่องใหญ่ ส่วนเรื่องเย็บปักถักร้อยก็ไม่ต้องลงมือด้วยตนเองแล้ว ถ้าเห็นว่าทำไม่ทันจริงก็จ้างคนเย็บปักให้มากหน่อย”
ไม่ว่าใครวันๆ ดื่มน้ำชาใสกินอาหารจืดชืดก็ต้องผอมด้วยกันทั้งนั้น ไม่เชื่อเจ้าก็ลองกินดู! ฟังคำพูดที่เหมือนปวดใจแต่ความจริงแล้วถือสาของนายหญิงใหญ่ หลวนอวิ๋นชูจึงตอบกลับไปอยู่ในใจ
แม้จะแก้ไขเรื่องคับขันตรงหน้าไปได้แล้ว แต่ในใจของหลวนอวิ๋นชูยังคงรู้สึกห่อเหี่ยว เป็นความห่อเหี่ยวที่ไม่มีคนรักใคร่เอ็นดู คำพูดของพานหมิ่นนางไม่ถือสา แต่คำพูดอ้อมค้อมของนายหญิงใหญ่กลับคล้ายเข็มที่ปักลงบนหัวใจเช่นนั้น…
* คทาหยก ภาษาจีนเรียกว่า ‘อวี้หรูอี้’ หรือ ‘หรูอี้’ เป็นเครื่องหยกชนิดหนึ่ง รูปทรงเป็นแท่งแบนโค้งงอ ส่วนหัวมีลักษณะเป็นแป้นกลม สลักลายงดงามตลอดอัน โดยคำว่าหรูอี้มีความหมายว่าสมปรารถนา ชาวจีนจึงใช้เป็นสิ่งเสริมสิริมงคลและเป็นเครื่องแสดงฐานะของชนชั้นสูง
** นัยน์ตาเขียว หมายถึงนัยน์ตาหมาป่า เป็นสำนวน หมายถึงอยากได้มาครอบครอง
* นาชั้นหนึ่ง หมายถึงนาที่ดินอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก ส่วนที่นาชั้นรอง ที่นาชั้นเลวก็ลดหลั่นไปตามลำดับ
** หมู่ หรือไร่จีน เป็นหน่วยวัดพื้นที่ของจีนในสมัยโบราณ เทียบได้ประมาณ 666.67 ตารางเซนติเมตร
* หลังคารั่วกลับมาเจอฝนตกทั้งคืน เป็นสำนวน หมายถึงโชคร้ายซ้ำซ้อน