การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 170
ตอนที่ 170
เหล่ามังกรปรึกษาหารือกันว่าควรลงโทษคาร์เน่เยี่ยงไรดี..
ความผิดของคาร์เน่หลักๆคือกล่าววาจาลบหลู่ดูหมิ่นมังกรแดง ซึ่งเป็นผู้เสียสละชีวิตให้เผ่าพันธุ์มังกรดํารงอยู่ต่อไป แต่กระนั้นคาร์เน่เองก็อุทิศตัวปกปักรักษาเผ่าพันธุ์มังกรมาหลายพันปี คุณงามความดีที่เขาก่อไว้ไม่อาจปฏิเสธได้ ดังนั้นมังกรหลายตัวจึงไม่เห็นด้วยกับการสําเร็จโทษประหารชีวิต
ถึงแม้คุณงามความดีของคาร์เน่จะใหญ่หลวงเพียงใด ก็ไม่อาจหลีกหนีบทลงโทษพันเช่นกัน
“ห้าหมื่นปี”เมื่อได้ตัดสินใจได้แล้วว่าบทลงโทษของคาร์เน่คืออะไร บล็องก็รีบไปพบซูฮยอนเพื่อแจ้งให้ ทรา
“คาร์เน่ต้องชดใช้ความผิด ด้วยโทษจําคุกห้าหมื่นปี”
“ห้าหมื่นปีงั้นเหรอ….”
“เจ้าอาจแปลกใจและคิดว่าห้าหมื่นปีมันเพียงพอแล้วเหรอ ข้าจะบอกอะไรให้ฟัง โดยปกติแล้วอายุขัยของมังกรและมนุษย์มีความแตกต่างกันอย่างมาก มังกรมีอายุขัยได้นานถึงหนึ่งแสนปี แต่มนุษย์มีอายุขัยได้เพียงหนึ่งร้อยปีเท่านั้น เผลอๆอาจไม่ถึงด้วยซ้ํา โทษจําคุกห้าหมื่นปี แทบจะไม่ต่างอะไรกับการใช้ชีวิตที่เหลือ อยู่ในห้องขัง
ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน แต่การถูกคุมขังในคุกเป็นเวลาห้าหมื่นปี ไม่ใช่ระยะเวลาน้อยๆ ครึ่งหนึ่งของอายุขัยมังกรต้องเสียเปล่าไป ภายในกรอบสี่เหลี่ยมแคบๆ
สรุปจากมุมมองของมนุษย์ โทษจําคุกห้าหมื่นปีสําหรับมังกร ก็คือโทษจําคุกห้าสิบปีของมนุษย์นั่นเอง
ประเด็นที่ซูฮยอนให้ความสําคัญไม่หมดแค่นี้….
“มังกรรุ่นหลังที่เกิดขึ้นในอนาคต จะไม่ล่วงรู้เรื่องราวของคาร์เน่ใช่ไหมครับ?”ซูฮยอนถาม
“ถูกต้อง ต่อให้มังกรรุ่นหลังได้ยินเรื่องราวของคาร์เน่ พวกเขาคงไม่คิดอะไรมาก ในสายตาของมังกรรุ่นหลัง คาร์เน่เป็นได้แค่นักโทษก่อความผิด”
พฤติการณ์ของคาร์เน่สมควรได้รับโทษ เพราะคาร์เน่พยายามตั้งตัวเป็นผู้นําคนต่อไปของเผ่าพันธุ์และใส่ร้ายมังกรแดง จากเดิมที่ควรเป็นวีรชน ต้องกลายเป็นผู้ทรยศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ผลลัพธ์สุดท้าย ผู้นําสูงสุดของเผ่าพันธุ์และเป็นผู้อาวุโสที่เหล่ามังกรให้ความเคารพนับถือ กลับกลายมาเป็นนักโทษเสียเอง
บล็องก์ชม้ายตามองซูฮยอนและเอ่ยปากถาม “เจ้าพอใจกับการตัดสินใจของพวกเราหรือไม่?”
“ผู้อาวุโสกําลังหมายถึงอะไร?”
“อย่ามาทําเป็นไขสือ เจ้าพึ่งเตือนพวกเราไปหยกๆว่า หากพวกเราไม่ลงโทษคาร์เน่อย่างเหมาะสม เจ้าจะลงมือสังหารคาร์เน่ด้วยตัวเอง”
“อืม…บอกตรงๆว่าเป็นบทลงโทษที่ไม่แย่ ผมค่อนข้างพอใจเลยทีเดียว”
“ถ้อยคําที่เจ้ากล่าวเมื่อตอนนั้น เจ้าเอาจริง?”
ซูฮยอนพยักหน้าให้กับคําพูดบล็องก์ เพราะความโกรธซูฮยอนเลยเผลอพูดแบบนั้นออกไป และแน่นอนว่าเขาเป็นคนรักษาคําพูด หากบทลงโทษไม่เป็นที่พอใจ เขาจะลงมือสังหารคาร์เน่ด้วยตัวเองแน่นอน
“ตอนแรกข้าอดสงสัยไม่ได้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่กล้าอ้างตัววเป็นพ่อแม่ของมังกรแดง มีความแข็งแกร่งขนาดไหน หลังข้าได้ประจักษ์ความสามารถของเจ้าด้วยสายตาตัวเอง เจ้ามีคุณสมบัติครบถ้วน
หลังจากสถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติ ไม่มีมังกรตัวไหนกล้าพูดจาดูถูกซูฮยอนว่าเป็น [มนุษย์] ธรรมดาอีกต่อไป พวกเขากระจ่างแจ้งถึงความแข็งแกร่งของซูฮยอนและไม่ติดใจเรื่องที่ทําไมมังกรแดงถึงยอมเชื่อฟังคําสั่งของมนุษย์
ซูฮยอนเป็นมนุษย์ที่มีความแข็งแกร่งและมีคุณสมบัติเพียบพร้อม ในการเป็นผู้ปกครองของมังกรแดง
เมื่อเห็นบล็องก์นิ่งเงียบไป ซูฮยอนจึงเป็นฝ่ายถามบ้าง “ผู้อาวุโส ผมอยากรู้ว่าหลังจากวันนี้ ฐานะของมิรุจะเป็นอย่างไรต่อไปครับ?”
ฐานะของมิรในเผ่าพันธุ์มังกรต่อจากนี้ เป็นเรื่องที่ซูฮยอนให้ความสําคัญมากเป็นพิเศษ
<< ฉันไม่สามารถมีชีวิตอยู่กับมิรุได้ตลอดไป สักวันหนึ่งพวกเราต้องแยกจากกัน >>
ถ้าเลือกได้ซูฮยอนอยากอยู่เคียงมังกรแดงชั่วฟ้าดินสลาย แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ ซูฮยอนเป็นมนุษย์ ส่วนมิรุเป็นมังกร อายุขัยของทั้ง 2 เผ่าพันธุ์แตกต่างกันอักโข มนุษย์มีอายุขัยที่สั้น ในขณะที่มังกรนั้นมีอายุขัยยืนยาว
จึงเป็นเหตุผลที่ทําให้ซูฮยอนต้องคํานึงถึงอนาคตของมิรุตั้งแต่เนิ่น ๆ เขาอยากตามหาครอบครัวที่แท้จริงสําหรับมังกรแดง เพื่อให้มิรุมีที่พึ่งพิง ยามที่เขาจากไป
เพราะฉะนั้น ฐานะของมิรุในเผ่าพันธุ์มังกรจึงมีความสําคัญมาก
“เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น รอเวลาอีกสองถึงสามพันปี มิรุของเจ้า จะกลายเป็นผู้นําเผ่าพันธุ์มังกรรุ่นต่อไป”บลองก์กล่าวพลางเลื่อนสายตามองมิรุที่กําลังนอนกรนเสียงดัง แสงแดดอันอบอุ่นลอดผ่านช่องหน้าต่างต้องกระทบลงบนร่างมังกรแดงตัวน้อย
“มิรุไม่ใช่ทายาทของผู้ทรยศ แต่เป็นทายาทของวีรชน”
“ทายาทของวีรชนเหรอ….”
[ทายาทของวีรชน]
เป็นคําที่ซูฮยอนไม่ชอบใจเอาซะเลย
แต่อย่างน้อยคําว่า [วีรชน] ก็เสนาะหูกว่าคําว่า [ทรยศ] เมื่อทราบว่ามิรุที่เขาห่วงใยได้รับความเคารพรักจากมังกรตัวอื่นในฐานะ [วีรชน] ซูฮยอนรู้สึกพึงพอใจและคลายความกังวลไปได้อีกหนึ่งเปลาะ
<< ค่อยโล่งใจขึ้นหน่อย ถึงไม่มีฉันอยู่ มิรุก็ไม่เหงาและไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว >>
มังกรแดงมีความสามารถในการข้ามมิติ หมายความว่ามิรุที่เป็นสายพันธุ์มังกรแดงสามารถกลับมายังโลกใบนี้ได้ตลอดเวลา
<< แต่ฉันไม่รู้ว่า โลกใบนี้เป็นของจริงหรือของปลอมกันแน่ >>
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ซูฮยอนก็ยังหาคําตอบไม่ได้ โลกที่พบเจอบนหอคอยแห่งการทดสอบคือของจริง หรือเป็นเพียงภาพลวงตาที่สร้างขึ้นจากระบบ ในหัวของเขามีข้อสมมติฐานเต็มไปหมด แต่ก็ยังไม่กล้าฟันธง..
ซูฮยอนไม่มั่นใจเลยว่ามิรุจะสามารถกลับมาหาเผ่าพันธุ์ของมันอีกครั้งได้หรือไม่
<< ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากให้โลกใบนี้เป็นของจริง >>
จะดีมากหากมิรุเลือกอาศัยอยู่กับเผ่าพันธุ์มังกร แทนที่จะอยู่กับเขา บอกตรงๆว่าซูฮยอนไม่อยากให้มิรุคลุกคลีกับวิถีของโลกมนุษย์มากเกินไป
“เจ้าคิดจะทําอะไรต่อไปงั้นรึ?” บล็องก์ถาม ซูฮยอนพยักหน้าตอบกลับโดยไม่ลังเล
“ก่อนหน้านี้ผมทําอะไรไป ก็คงทําอย่างนั้นต่อแหละครับ”
“ฟังจากคําพูดของเจ้า หมายความว่าเจ้ายังจะช่วยพวกเราจัดการกับสัตว์อสูรเหมือนเดิม?”
“ใช่ครับ”
“ตอนที่เจ้ามาถึงที่เมืองและบอกว่าจะช่วยเหลือพวกเรา พูดด้วยความสัตย์จริง ในตอนนั้นข้ารู้สึกแปลกใจมาก จนอดคิดไม่ได้ว่ามนุษย์ตัวคนเดียวจะช่วยเหลือพวกเราได้ยังไง? และยิ่งไปกว่านั้น ข้าคาดไม่ถึงจริงๆว่า มนุษย์จะสามารถเอาชนะคาร์เน่ได้”
บล็องก์ยิ้มมุมปาก เพราะยังจําภาพเหตุการณ์ในวันนั้นได้ขึ้นใจ ซูฮยอนคลี่รอยยิ้ม รู้สึกกระดากกระเดื่องเล็กน้อย เขาก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าตัวเองต้องมาต่อสู้คาร์เน่
อย่างไรก็ตาม หลังจากคาร์เน่พ่ายแพ้ให้แก่ซูฮยอน สายตาที่เหล่ามังกรมองมาที่เขาก็เปลี่ยนไป
<< ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า รู้สึกว่าบล็องก์จะไม่กล้ามองหน้าฉันตรงๆเหมือนอย่างที่ผ่านๆมา >>
ความพ่ายแพ้ของคาร์เน่และความแข็งแกร่งของซูฮยอน ทําให้เหล่ามังกรเกิดความครั่นคร้าม
<< ไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้น แม้แต่สายตาที่พวกเขามองมายังมิรุก็เปลี่ยนไป >>
หลังจาก [ความเข้าใจผิด ถูกปรับเปลี่ยนแก้ไข สายตาที่มังกรมองมายังมิรุ ไม่เหมือนเดิม บางครั้งซูฮยอนก็รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน
มังกรบางตัวเห็นมรุเดินผ่านหน้ารีบก้มหัวทําความเคารพ บางตัวก็ปรี่เข้ามาร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียใจกับพฤติ กรรมในอดีตที่พวกเขาเคยมีอคติต่อมังกรแดง
แน่นอนว่าภาพรวมตอนนี้ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก แต่มิรุยังปรับตัวให้ชินกับการตอบสนองของเหล่ามังกรที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือไม่ได้ เมื่อใดก็ตามที่มีมังกรแปลกหน้าเดินเข้ามา มิรุมักหลบอยู่ด้านหลังของซูฮยอนตลอด..
“การที่ข้าและเจ้าร่วมมือกัน ทําให้ข้ามีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น จินดามณีที่หายสาบสูญไป กลับมาอยู่ในมือของเผ่าพันธุ์มังกรอีกครา ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานสงครามที่ยืดเยื้อจะสิ้นสุดลง
เมื่อคิดว่าอีกไม่นานเผ่าพันธุ์มังกรจะช่วงชิงดินแดนบ้านเกิดกลับมาได้อีกครั้ง บล็องก์แย้มยิ้มออกมาอย่างเบิกบานใจ
ซูฮยอนทําสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเปิดปากถามเรื่องที่ตัวเองสงสัย
“สัตว์อสูรโจมตีเมืองแห่งนี้บ่อยหรือป่าวครับ?”
บล็องก์พยักหน้าให้กับคําถามซูฮยอนและตอบกลับไป..
“ก็บ่อยอยู่ แต่ข้าไม่สามารถระบุได้ว่าพวกสัตว์อสรจะมาโจมตีเมืองเวลาใด”
“พวกมันโผล่ออกมาจากส่วนไหน?”
“อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดที่จะจัดการสัตว์อสูรด้วยตัวคนเดียวอีกแล้ว?”
ซูฮยอนยักไหล่และเอ่ยปากถามต่อ “ผู้อาวุโสพอจะมีแผนที่ให้ดูไหมครับ?
“แผนที่?”
บล็องก์เอียงหัวไปทางหนึ่ง เผยสีหน้าสงสัย เมื่อหยิบแผนที่ออกมาคลี่ ซูฮยอนเริ่มอธิบายแผนการให้ฟัง
หลังจากที่คาร์เน่ถูกคุมขังอยู่ในคุก มังกรส่วนใหญ่แต่งตั้งให้บล็องก์เป็นผู้นําเผ่าพันธุ์ชั่วคราว แม้สายเลือดของบล็องก์จะมีระดับที่ไม่สูง แต่ในบรรดามังกรด้วยกัน บล็องก์มีอายุมากที่สุด
ดังนั้นบล็องก์จึงเป็นตัวเลือกแรกที่พวกเขาลงความเห็นให้เป็นผู้นําเผ่าพันธุ์มังกรชั่วคราว รอจนกว่ามิรุจะเติบโตเพียงพอ ค่อยสละตําแหน่งให้มิรุรับช่วงต่อ
ในเมื่อตอนนี้บล็องก์เป็นผู้นําของเผ่าพันธุ์มังกร เขาก็จะพยายามเต็มความสามารถ ให้สมกับตําแหน่งหน้าที่นี้
“อีกไม่นาน พวกเราจะเริ่มทําสงครามครั้งสุดท้ายกับสัตว์อสูรและมอนสเตอร์”
มังกรทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ที่ลานกว้าง โดยมีบล็องก์และมิรุยืนอยู่ตรงกลางแถวหน้า
การที่มิรครอบครองจินดามณีทําให้ความแข็งแกร่งยกระดับขึ้น นอกจากนี้จินดามณียังมีคุณสมบัติพิเศษ นั่นก็คือการเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่มังกรที่ยืนอยู่ใกลรัศมีของมังกรแดง
“ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะกอบกู้โลกใบนี้ กลับคืนจากเงื้อมมือของสัตว์อสูร
บล็องก์ตะโกนเสียงดังอยู่ด้านหน้า…
มิรุที่ยืนอยู่ข้างๆ อ้าปากหาวหวอด แค่ปรายตามองแวบเดียวก็ทราบได้ทันทีว่ามังกรแดงกําลังเบื่อหน่าย
บล็องก์สังเกตห้วงอารมณ์ของมิรุ ไม่มีทางเลือกอื่น รีบตัดคําพูดไม่จําเป็นออก…
“แล้วด้วยเหตุนี้ จุดหมายแรกที่พวกเราต้องไปคือ ป่าจินดามณี”
“เต่าไททันตายไปแล้วจริงๆรึ?”
“จากคําบอกเล่าของมนุษย์ เต่าไททันตายจากโลกนี้ไปแล้ว”
“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย…”
“หากมนุษย์ผู้นั้นเป็นคนบอกเอง มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่องจริง..”
“เจ้าคิดอย่างงั้นรึ?”
“ถ้าจําไม่ผิดมนุษย์ผู้นั้นพกดาบติดตัว แสดงว่าเขาเป็นนักดาบ เขาแตกต่างจากพวกเราที่เอาแต่พึ่งพาพลังเวทในการโจมตี
“เป็นเรื่องที่น่าตกใจจริงๆ มนุษย์ผู้นั้นมีความแข็งแกร่งมากขนาดไหนกันแน่…”
ลานกว้างใจกลางเมืองเต็มไปด้วยเสียงคยจ้อกแจ้ก
การตายของเต่าไททัน เรื่องดังกล่าวสร้างความตกใจให้แก่เหล่ามังกรทั่วหน้าและยากที่จะเปิดใจเชื่อ โดยเฉพาะเหล่ามังกรที่เคยมีประสบการณ์เผชิญหน้ากับเต่าไททันมาก่อนในป่าจินดามณี
การเจาะทะลุกระดองเต่าไททันเป็นอะไรที่ยากมาก ขนาดเหล่ามังกรระดมพลังเวทโจมตีพร้อมกัน ก็ยังไม่สามารถสร้างรอยขีดขวนบนกระดองได้ เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น เพราะกระดองเต่าไททันมีความสามารถในการต้านทานพลังเวทที่สูงส่ง แถมยังมีความว่องไว ไม่สมกับขนาดตัวที่ใหญ่เทอะทะ ต่อให้มังกรอาศัยความได้เปรียบ โจมตีจากบนท้องฟ้า แต่เต่าไททันก็มีวิธีสารพัดในการฉีกกระชากร่างกายของมังกร
<< ตอนที่ข้าได้ยินครั้งแรก ข้าก็แสดงใบหน้าตกใจเหมือนกับพวกเขาเช่นกัน >>
บล็องก์ส่ายหัวระบายลมหายใจพลางกล่าวกับมังกรที่กําลังแสดงอาการสับสน “ข้าได้ทําการตรวจสอบเรื่องที่พวกเจ้ากําลังสงสัยแล้ว ซากศพของเต่าไททันนอนเสียชีวิตอยู่กลางป่าจินดามณี กระดองที่แข็งแกร่งของเต่าไททันแตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆ”
“ถ้าเป็นอย่างที่ผู้อาวุโสกล่าว พวกเราอาจยึดป่าจินดามณีกลับมาได้!!”
“อย่าพึ่งเอะอะ เงียบและฟังข้า เต่าไททันตายไปแล้ว หมายความว่าภายในป่าจินดามณี ไม่มีอะไรที่พวกเราต้องกลัวอีก พวกเราจะไล่ล่าสังหารมอนสเตอร์และสัตว์อสูรที่อาศัยอยู่ในป่าทั้งหมด จากนั้นจึงค่อยๆฟื้นฟูดินแดนบ้านเกิดของพวกเรา”
ทันทีที่บล็องก์กล่าวจบ มีมังกรตัวหนึ่งโพล่งถามด้วยความอยากรู้ “ผู้อาวุโส มนุษย์ที่ตัวติดกับมังกรแดงหายไปไหนหรือขอรับ?”
บล็องก์ลูบคางทําท่าครุ่นคิด ก่อนจะเปิดปากตอบไปว่า “ไม่รู้สิ เขาบอกแค่ว่าเดินทางไปคนเดียวสะดวกกว่า”
“หืม?”
“เขาถามข้าว่าจะหามอนสเตอร์ที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าเต่าไททันได้ที่ไหน…”บล็องก์ถอนหายใจยาว
“หลังได้คําตอบจากข้า เขาไม่รอช้า รีบออกจากเมืองด้วยสีหน้าดีเนื้อดีใจ”
เป็นอย่างที่บล็องก์กล่าว ซูฮยอนบ่งออกไปจากเมืองพร้อมใบหน้าที่เอิบอาบไปด้วยความอิ่มเอมเปรมใจ
[ได้รับคะแนนความสําเร็จ 128 คะแนน
[ได้รับคะแนนความสําเร็จ 88 คะแนน
[ได้รับคะแนนความสําเร็จ 160 คะแนน]
ข้อความพร้อมเสียงสังเคราะห์ดังแจ้งเตือนในหัวอย่างต่อเนื่อง แต่ซูฮยอนเพิกเฉยข้อความที่แจ้งเตือนทั้ง หมดและตั้งหน้าตั้งตา [ออกล่า] มอนสเตอร์ต่อไป..
<< เกือบจะจบแล้วล่ะมั้ง >>
กี้! !!
บนพื้นเต็มไปด้วยซากศพมดยักษ์นอนตายเรี่ยราย แววตาแหลมคมของซูฮยอนจับจ้องไปยังมดที่มีขนาดตัวใหญ่มหึมาและมีลักษณะภายนอกเด่นสะดุดตา ซึ่งมดตัวที่ว่ากําลังได้รับการอารักขาจากเหล่าทหารมดที่ยังรอ ดชีวิต
<< นั่นคงเป็นราชินีมดสินะ >>
ราชินีมดตรงหน้าคือผู้ให้กําเนิดเหล่าทหารมดทุกตัว ซูฮยอนเคยต่อสู้กับราชินีมดมาก่อนในฐานะบอสดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงิน เขาคาดไม่ถึงจริงๆว่าจะได้เผชิญหน้ากับราชินีมดอีกครั้งในป่าแห่งนี้
ทหารมดที่กําลังอารักขาราชินีมด จัดว่าเป็นมอนสเตอร์ที่จัดการได้ยาก ร่างกายของพวกมันใหญ่โตยิ่งกว่าเสือโคร่งโตเต็มวัยถึง 2 เท่า แถมยังมีปีกอยู่บนหลังอีก พวกมันจึงเปี่ยมด้วยความคล่องแคล่วว่องไว
แม้สถานการณ์เหมือนจะซูฮยอนตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวเลย กลับกันเขารู้สึกดีใจมากกว่าเสียด้วยซ้ํา
กองทัพมดหลายพันตัว แม้จะเป็นจํานวนที่ไม่เยอะ แต่ถ้าซูฮยอนสามารถสังหารพวกมันทั้งหมดได้ เขาจะกอบโกยคะแนนความสําเร็จไม่น้อยเลยทีเดียว
<< ฉันมีแผนอยู่ในใจแล้ว ว่าจะเอาคะแนนความสําเร็จไปใช้ทําอะไร >>
ซูฮยอนยังต้องการคะแนนความสําเร็จอีกมาก ดังนั้นการทดสอบครั้งนี้ จึงเหมาะแก่การเก็บเกี่ยวเป็นอย่างยิ่ง
[กระโดด] [กระโดด] [กระโดด]
ซูฮยอนเปิดใช้งานสกิล [กระโดด] 3 ครั้งติดต่อกัน ร่างกายลอยสูงอยู่บนอากาศ
สายตาของซูฮยอนกวาดมองสํารวจกองทัพมดที่อยู่ด้านล่าง มดส่วนใหญ่ที่ยังรอดชีวิต รวมตัวเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน เพื่อปกป้องราชินีของพวกมัน
<< จัดการให้จบม้วนเดียวเลยแล้วกัน >>
หมับ!!
ซูฮยอนเอื้อมมือไปหยิบหอกที่ผูกติดไว้บนแผ่นหลังออกมา..
[หอกปราบมังกร]
ร่างกายของเขาโน้มตัวไปด้านหลังเหมือนคันธน นับเลขภายในใจ ก่อนจะโน้นตัวไปด้านหน้าและขว้างหอกออกไปสุดกําลังแขน
วุป!!
[เพลิงพิโรธ
เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ควบแน่นรอบหอก หลังลอยกินลมไปได้ระยะหนึ่ง จากหอกหนึ่งเล่ม แตกตัวแยกออกกันเป็นหอกเล่มเล็กๆนับพัน
หอกที่กําลังลุกโชติช่วงด้วยเปลวเพลิงหนาแน่นสร้างความตราตรึงใจให้สรวงสวรรค์และปกคลุมท้องฟ้าจนมิด คล้ายห่าฝนเปลวเพลิงที่ไม่รู้จักจบสิ้น
ทันทีที่คมหอกสัมผัสผิวพื้นดินด้านล่าง
!! !!
กองทัพทหารมดที่รวมตัวปกป้องราชินีมด โดนคมหอกฉีกกระชากร่างแหลกเป็นชิ้นๆ อีกทั้งยังโดนเปลวเพลิงที่โคจรอยู่รอบหอกแผดเผาเนื้อไหม้เกรียม
[ได้รับคะแนนความสําเร็จ 55 คะแนน)
[ได้รับคะแนนความสําเร็จ 145 คะแนน
[ได้รับคะแนนความสําเร็จ 105 คะแนน
[…]
[ได้รับคะแนนความสําเร็จ 20,000 คะแนน
ข้อความนับไม่ถ้วนเด้งแจ้งเตือนในหัวรัวๆ ซูฮยอนตรวจสอบคะแนนความสําเร็จที่ได้รับมาทั้งหมด มุมปากหยักโค้งขึ้น
<< ได้เยอะกว่าที่คิดอีกแฮะ >>
มอนสเตอร์และสัตว์อสูรที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ ส่วนใหญ่โดนซูฮยอนไล่ล่ากวาดล้างเกือบหมด
แสดงว่าอีกไม่นานการทดสอบชั้นที่ 40 ก็จะยุติลง ซูฮยอนรู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะการทดสอบชั้น ที่ 40 เหมาะแก่การเก็บเกี่ยวคะแนนความสําเร็จอย่างยิ่ง
[ เอฟเฟกต์บัฟของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ถูกเปิดใช้งาน ]
[ได้รับคะแนนความสําเร็จ 15 คะแนน
[ เอฟเฟกต์บัฟของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ถูกเปิดใช้งาน ]
[ได้รับคะแนนความสําเร็จ 12 คะแนน]
[…]
ขณะกําลังยืนคิดอะไรเพลินๆ ทันใดนั้นมีข้อความเด้งแจ้งเตือนในหัวอีกครั้ง…
ข้อความที่ซูฮยอนได้ยิน หมายความว่าในอีกฟากหนึ่ง เหล่ามังกรคงกําลังออกสังหารมอนสเตอร์พร้อมกับมิรุอยู่เป็นแน่ เขามีเรื่องที่เคลือบแคลงมาได้สักใหญ่ๆ หากมิรุไม่ไอยู่ไกลตัวผู้เป็นนาย คะแนนความสําเร็จที่มิรูได้รับจะตกมาถึงมือผู้เป็นนายหรือไม่ หลังจากยืนยันความจริงเรื่องที่ตัวเองเคลือบแคลงสงสัยได้กระจ่างแจ้ง ซูฮยอนกระโดดโลดเต้นอย่างอิ่มเอมใจ
<< อย่างที่ฉันเคยคาดเดาไว้ จินดามณีส่งผลให้เอฟเฟกต์บัฟของมิรุทรงพลังขึ้น >>
มิรุเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ขึ้นตรงต่อซูฮยอน ทุกครั้งที่มังกรแดงสังหารมอนสเตอร์ คะแนนความสําเร็จที่ได้จะตกมาอยู่ในมือเขา
แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่า มิรุและซูฮยอนต้องอยู่ใกล้กันเท่านั้นถึงจะได้คะแนนความสําเร็จ กระนั้นเอฟเฟกต์บัฟของมิรุทําให้เงื่อนไขที่ว่าถูกทําลายลง ทว่าคะแนนความสําเร็จที่ได้จะลดลงครึ่งหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้มิรุกระจายเอฟเฟกต์บัฟให้กับมังกรอีกหลายร้อยตัวผ่านจินดามณี
คะแนนความสําเร็จที่ได้จึงต้องแบ่งสันปันส่วนให้กับมังกรตัวอื่นด้วย เป็นเหตุให้ซูฮยอนได้คะแนนความสําเร็จเฉลี่ยอยู่ที่ 10 ถึง 20 คะแนน ไม่เคยกระดิกแตะเลข 30 เลยสักครั้ง
ถึงจะได้คะแนนความสําเร็จน้อย แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ขณะนี้มิรุและเหล่ามังกรกําลังออกล่ามอนสเตอร์อยู่
<< ถ้าสถานการณ์ยังราบรื่นแบบนี้ อีกไม่นานคะแนนความสําเร็จของฉันคงแตะถึง 5,000,000 คะแนน >>
แม้จะเป็นตัวเลขที่เยอะ แต่สําหรับซูฮยอนมันยังไม่เพียงพอ
<< ก่อนที่การทดสอบจะจบลง ฉันควรขัดเกลาร่างกายของตัวเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น >>
มัวแต่มุ่งเน้นการเพิ่มระดับเวทและปัจจัยเวทเพียงอย่างเดียว จะส่งผลเสียมากกว่าผลดี หากหวังพึ่งค่าสเตตัสเพียง 2 อย่างนี้ ซูฮยอนคงหมดโอกาสต่อกรกับฟาฟเนียร์
เพราะฉะนั้น ซูฮยอนจําเป็นต้องหาลู่ทางยกระดับค่าสเตตัสอย่างอื่นควบคู่ไป