Trash of the Count’s family - ตอนที่ 231.1
บทที่ 231 แต่ที่นี่จะสบายกว่ามั้ย? 5 (1)
เพื่อการเริ่มต้นที่ดียิ่งขึ้นคาร์ลจึงเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขามุ่งหน้าออกจากสวนหย่อมเล็กๆที่ตั้งอยู่ปากทางเข้าของโรงแรม หญิงชราที่พักอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงมองไปที่คาร์ลและโรงแรมเก่าๆแห่งนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“พ่อหนุ่ม..เจ้าเป็นคนซื้อโรงแรมแห่งนี้เหรอ?”
“ใช่แล้วท่านยาย”
หญิงชรามองชายหนุ่มผมแดงหน้าตาหล่อเหลาผู้นี้ด้วยความพอใจผสมไปกับความกังวล
“ที่ตั้งของโรงแรมแห่งนี้ถือเป็นทําเลที่ดีแต่สภาพของมันก็ถือว่าเก่ายิ่งนัก อ้อ!? พ่อหนุ่มรู้หรือเปล่าว่าทําไมที่นี่ถึงถูกทิ้งร้าง? เจ้าของคนเก่าชนะพนันได้เงินก้อนโต เขาก็เลยหอบเงินที่ได้ทั้งหมดย้ายไปอยู่เมืองอื่น”
“ข้าน้อยพอจะได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง”
ชายหนุ่มผมแดงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ําเสียงหนักแน่น
“แต่ถ้าข้าน้อยขยันทํางานอย่างหนักมันจะไม่ได้ผลดีกว่าการชนะพนันเพียงครั้งคราวหรือขอรับ? มีหลายคนที่ต้องการทํางานร่วมกับข้าน้อย พวกเราทั้งหมดตั้งใจที่จะขยันทํางานราวกับพวกเราได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กันอีกครั้ง ดังนั้นขอฝากเนื้อฝากตัวกับท่านยายด้วยนะขอรับ โปรดดูแลพวกเราราวกับเป็นบุตรหลายของท่านเอง”
“ไออิกู..พ่อหนุ่มเจ้านี่มันช่างพูดจริงๆ”
ท่าทางสุภาพและทัศนคติเชิงบวกของชายหนุ่มผมแดงทําให้หญิงชราเริ่มยิ้มและพยักหน้ารับ
“แน่นอน..เรามันบ้านใกล้เรือนเคียงกันอยู่แล้วมีอะไรก็ต้องดูแลและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สามีของข้าเปิดร้านขายขนมในซอยถัดไปนี่เอง ถ้าเมื่อไรที่เจ้าอยากทานขนมอร่อยๆก็แวะไปที่ร้านของเราได้เลย”
“อ่า..ขอบคุณท่านยายมากขอรับ”
เมื่อหญิงชราได้รับคําขอบคุณจากชายหนุ่มผมแดงที่อุ้มลุกแมวสองตัวไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว เธอก็มุ่งหน้าไปยังร้านขายขนมของตัวเองในซอยถัดไปทันที
“อ่า..วิเศษจริงๆที่มีชายหนุ่มนิสัยดีย้ายมาอยู่ใกล้ๆบ้านของเรา”
มันเป็นข่าวดีสําหรับหญิงชราไม่น้อย
ทันทีที่หญิงชราลับไปจากสายตา คาร์ลก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูของโรงแรมถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงของคนผู้หนึ่งดังขึ้น
“โรงแรมแห่งความหวังและรักผจญภัย! จะเป็นสถานที่ที่ให้พวกเราได้เล่นงานพวกคนเลวๆส่วนการผจญภัยของพวกเรานั้นคือการได้โยกย้ายสิ่งของของพวกเขามาอยู่ในกํามือของเรา..เข้าใจหรือไม่?!”
“…เราจะจดจํามันไว้ให้ลึกถึงกระดูกดําเลยล่ะขอรับ!”
“ใช่ๆ! ไม่ว่าท่านจะพูดอะไรพวกเราจะจํามันไว้ให้ขึ้นใจ!”
คาร์ลเริ่มขมวดคิ้วมั่น ทําให้อดีตหัวหน้าโจรที่โผล่หน้าออกมานอกประตูเมื่อครู่นี้สะดุ้งโหยง ร่างของเขาสั่นเทาเมื่อเห็นสายตาที่คาร์ลจ้องมา
“ไปบอกให้ทุกคนทํางานเงียบๆ อย่ามัวแต่พูดคุยกันอยู่! หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง เรื่องง่ายๆแค่นี้พวกเจ้าไม่รู้กันหรือไง!?”
“ทํา?…ขอ..ขอรับ!”
อดีตหัวหน้าโจรรีบเดินออกมาจนพ้นประตูก่อนจะรีบปิดประตูตามหลังอย่างรวดเร็ว เสียงพูดคุยที่อยู่ภายในโรงแรมค่อยๆเบาลงทันทีที่เขาทําเช่นนั้น
“เฮ้! เช็ดหน้าต่างบานนั้นให้สะอาดหน่อย!”
“อย่าให้มีฝุ่นเหลือแม้แต่จุดเดียว! อย่าให้มันหลุดติดถุงมือขึ้นมาเป็นอันขาด!”
เสียงข็งขังของสมุนโจรเลือนหายไปลงเหลือเพียงเสียงแผ่วๆอย่างคนไร้เรี่ยวแรงเท่านั้น ก่อนจะเดินทางมายังเมืองลีบอันกลุ่มโจรถูกทรมานเป็นเวลากว่าสามวันสามคืน จากนั้นคาร์ลก็คัดเลือกสมุนโจรที่ดูจะใช้ประโยชน์ได้มาห้าคนเพื่อนําพวกเขามาที่นี้ด้วย
นับเป็นเรื่องบังเอิญที่สมุนโจรทั้งห้าคนเป็นกลุ่มเดียวกับที่เคยขึ้นไปบนภูเขาเพื่อทํารูปปั้นให้กับอดีตหัวหน้าโจร ตอนนี้พวกเขาหันมาภักดีต่อบารอคและคาร์ล
สมุนโจรทั้งห้าจะกลายเป็นพนักงานกลุ่มแรกของโรงแรมแห่งความหวังและรักผจญภัย” ตอนนี้พวกเขามีงานที่ต้องรับผิดชอบและยังต้องทําตัวให้ถูกต้องตามกฎหมาย
คาร์ลปล่อยให้พนักงานคนอื่นๆเป็นคนดูแลความเรียบร้อยของโรงแรมก่อนจะรีบสาวเท้าไปทํางานในส่วนที่ตัวเองต้องรับผิดชอบอย่างรวดเร็ว
คาร์ลมองลงจากหลังคาของอาคารที่ทําให้เขาเห็นเมืองลีบอันแทบจะทั้งเมืองได้
“กลุ่มทหารรับจ้างและกลุ่มพ่อค้าเป็นสองกลุ่มที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในเมืองลับอันงั้นรึ?”
“เขาว่ากันเช่นนั้นขอรับ!”
อดีตหัวหน้าตอบเสียงดังฟังชัด
“เรียกได้ว่าตอนกลางวันเมืองลีบอันจะถูกควบคุมโดยกลุ่มทหารรับจ้างและกลุ่มพ่อค้า ส่วนตอนกลางคืนจะเป็นช่วงเวลาของกลุ่มมาเฟียในตลาดมืดขอรับ”
อดีตหัวหน้าโจรรีบรายงานข้อมูลให้คาร์ลทราบให้ได้มากที่สุด ก่อนจะกวาดสายตาไปมองรอบๆ ตอนนี้พวกเขาอยู่บนหลังคาสูงที่ชวนหวาดเสียวอยู่ไม่น้อย เขาไม่เข้าใจว่าทําไมพวกเขาต้องมาพูดคุยกันที่นี่แต่เขาก็ทําได้เพียงแค่มองคาร์ลและแมวสองตัวที่กําลังทานขนมกินเล่นกันอย่างเงียบๆ ไม่ไกลจากจุดที่เขาอยู่คือชายชราที่เขาตระหนักได้ว่าน่ากลัวที่สุดในกลุ่มรวมไปถึงชายผมทองเจือขาวที่ดูท่าแล้วคาร์ลจะเคารพเขาอยู่ไม่น้อย
อดีตหัวหน้าโจรตัดสินใจที่จะไม่คิดเรื่องอื่นในขณะที่กําลังอธิบายทุกอย่างที่เขารู้ให้กับคาร์ล
“หลังจากได้ดูประวัติความเป็นมาของเมืองลีบอันแล้วทําให้พอประเมินได้ว่ากลุ่มทหารรับจ้างและกลุ่มพ่อค้ามีอํานาจมากที่สุดในเมืองนี้ขอรับ”
“ประวัติ?”
“ขอรับ”
อดีตหัวหน้าโจรกระแอมไอเมื่อสะดุดเข้ากับสายตาคาดคั้นของคาร์ลที่กําลังเร่งให้เขาพูดต่อโดยด่วน
“ในอดีตสถานที่แห่งนี้ถูกระบุเอาไว้ว่าเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาด มันอาศัยอยู่ทั่วเมืองลับอันรวมไปถึงพื้นที่ใกล้เคียงโดยรอบแม้แต่ภูเขาลีบก็เป็นหนึ่งในนั้น”
คาร์ลย้ายสายตาไปยังอูฮาเบ็นทันที อูฮาเบ็นกําลังมองไปยังอดีตหัวหน้าโจรด้วยความสนใจ
สัตว์ประหลาด
มันคือเหตุผลที่เจ้าของพลังศิลาต้องตั้งเสาหินไว้ที่นี่
“เป็นเพราะสัตว์ประหลาดทําให้ไม่มีอาณาจักรหรือตระกูลขุนนางใดสามารถขยายขอบเขตการปกครองมายังที่นี่ได้”
“พวกทหารรับจ้างก็เลยมารวมตัวกันที่นี่แทน”
อดีตหัวหน้าโจรผงกศีรษะให้กับความเห็นของคาร์ล
“ขอรับ..หลังจากกลุ่มทหารรับจ้างก็ตามมาด้วยกลุ่มพ่อค้า ทั้งนักผจญภัยก็เดินทางมาที่นี่ไม่ขาดสายทําให้เมืองแห่งนี้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นไม่นานพวกสัตว์ประหลาดก็ค่อยๆลดจํานวนลง”
“สัตว์ประหลาดลดจํานวนลง?”
“ขอรับ พอสัตว์ประหลาดลดจํานวนลงอาณาจักรอื่นๆก็พยายามที่จะเข้ามาควบคุมเมืองลีบอันที่ได้กลายเป็น เมืองเสรีไปแล้ว แต่เป็นเพราะกลุ่มทหารรับจ้างและกลุ่มพ่อค้ามีอิทธิพลมาตั้งแต่ต้นทําให้ยากที่จะเข้ามาควบคุมได้ง่าย อีกอย่างนะขอรับแม้ว่าสัตว์ประหลาดจะลดจํานวนลงแต่ก็ยังมีสัตว์ประหลาดที่เพียงพอจะทําให้ผู้คน แตกตื่นได้ มันก็เลยทําให้เมืองแห่งนี้ยังคงเป็นเมืองเสรีที่ปกครองตัวเองอย่างเป็นอิสระต่อไป”
สัตว์ประหลาดลดจํานวนลง
สายตาของคาร์ลพุ่งไปที่รอน
“กระผมรู้ว่าเมืองลีบอันเป็นเมืองอิสระแต่ก็ไม่รู้เกี่ยวกับประวัติของเมืองลีบอันขอรับ”
รอนมีพื้นเพมาจากภาคตะวันออก มันไม่ใช่เรื่องจําเป็นที่เขาต้องมารู้รายละเอียดเกี่ยวกับเมืองอิสระเล็กๆที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปตะวันออกเช่นนี้
– มนุษย์ไมนุษย์! ทําไมสัตว์ประหลาดถึงลดลงล่ะ? เจ้ารู้หรือเปล่า? ข้าล่ะสงสัยจริงๆ
“นั่นสิ?”
คาร์ลเองก็อยากรู้เช่นกันว่าทําไมสัตว์ประหลาดในเมืองลับอันที่เจ้าของพลังศิลาสร้างเสาหินขึ้นมาเพื่อป้องกันพวกมันไม่ให้เข้าไปในทวีปตะวันตกถึงลดจํานวนลง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
อย่างไรก็ตามคาร์ลมีความเห็นอื่นแวบผ่านเข้ามา
“แล้วตําแหน่งท่านเจ้าเมืองล่ะ?”
ท่านเจ้าเมือง
อย่างน้อยก็ควรมีบุคคลที่ดํารงตําแหน่งนี้แม้จะเป็นเมืองที่ปกครองตนเองแบบอิสระก็ตาม
“อ้อ! ท่านเจ้าเมืองจะถูกดํารงตําแหน่งโดยตัวแทนของกลุ่มพ่อค้กับกลุ่มทหารรับจ้างผ่านการเลือกตั้งขอรับ”
“อย่างนั้นรึ?”
“ขอรับ นั่นคือเหตุผลหลักที่คนอื่นๆซึ่งไม่ได้สังกัดอยู่ในสองกลุ่มนี้ต่างมีข้อร้องเรียนมากมาย แต่พวกเขาจะทําอะไรได้ล่ะขอรับ? แม้แต่พวกมาเฟียก็ดูเหมือนจะเชื่อฟังทั้งกลุ่มพ่อค้ากับกลุ่มทหารรับจ้างไม่น้อย ไม่มีทางที่คนธรรมดาทั่วๆไปจะสามารถเอาชนะพวกเขาได้”
“จริงรึ? คนอื่นๆไม่คิดมีปากเสียงเลยหรือ?”
อดีตหัวหน้าโจรหยุดพูด เป็นเพราะเขาเห็นรอยยิ้มแปลกๆบนใบหน้าคาร์ล
อดีตหัวหน้าโจรผู้มีไหวพริบอดรู้สึกหนาวสั่นบนแผ่นหลังของตัวเองไม่ได้ เสียงพูดหลังจากนั้นก็เลยแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ
- ไม่เคยมีพลเมืองธรรมดาทั่วๆไปดํารงตําแหน่งท่านเจ้าเมืองมาก่อน มันก็คงเหมือนกุ้งที่ไม่สามารถเอาชนะวาฬได้นั่นล่ะขอรับ”
“แน่นอนว่ากุ้งธรรมดาๆไม่สามารถเอาชนะวาฬได้อยู่แล้ว”
อดีตหัวหน้าโจรสบตาเข้ากับคาร์ล
“แต่มันก็ยังมีกุ้งที่สามารถเอาชนะได้เช่นกัน ใช่มั้ยรอน?”
“นายน้อย กระผมไม่อยากเป็นกุ้งขอรับ”
“อื้ม..บารอคก็ทําอาหารเก่งใช้ได้เลยนะ”
รอนมองรอยยิ้มขี้เล่นของนายน้อยลูกสุนัขที่พยายามหลบสายตาของตน เขามั่นใจว่าคาร์ลกําลังวางแผนบางอย่างอยู่ในใจ ทุกคนต่างรู้สึกกังวลเล็กน้อยเนื่องจากคาร์ลมักทําสิ่งต่างๆตามที่ตัวเองต้องการโดยที่พวกเขาไม่สามารถห้ามปรามอะไรได้
แน่นอนว่าคาร์ลไม่ทราบสิ่งที่คนอื่นๆกําลังคิดเมื่อในหัวของเขาเต็มไปด้วยแผนการต่างๆมากมายก่อนที่จะเอ่ยถามอดีตหัวหน้าโจรต่อ
“กลุ่มพ่อค้าและกลุ่มทหารรับจ้างมีความเกี่ยวข้องกับพวกมาเฟียหรือเปล่า?”
“นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทําให้เมืองลีบอันถูกเรียกว่าเมืองแห่งความสุขและไร้ระเบียบ พวกเขาดูเหมือนจะทํางานร่วมกันบ่อยครั้งขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้นสองกลุ่มนี้ใครมีอิทธิพลต่อพวกมาเฟียมากที่สุด?”
“อืม..ดูเหมือนทั้งสองจะมีอิทธิพลพอๆกันขอรับ พวกเขาต่างแข็งแกร่งด้วยกันทั้งคู่”
อดีตหัวหน้าโจรนําแผนที่ออกจากกระเป๋าแล้วส่งมันไปให้กับคาร์ล คาร์ลจึงรีบเปิดมันออกทันที มันเป็นแผนที่ที่เน้นไปยังทิศตะวันออกของเมืองลีบอันโดยเฉพาะ รูปบนแผนที่ถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ
“ฝั่งหนึ่งเป็นพื้นที่ของกลุ่มมาเฟียที่สามารถควบคุมเมืองลีบอันได้นับตั้งแต่เมืองนี้ถูกก่อตั้งขึ้นมา กลุ่มนี้มีผู้นําชื่อมอสติว” พวกเขาค่อนข้างใกล้ชิดกับกลุ่มทหารรับจ้างขอรับ”
“อีกฝั่งหนึ่งคงเป็นพื้นที่ของพวกอาร์มสินะ”
“ขอรับ พวกเขาถือเป็นกลุ่มผู้อิทธิพลอีกกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนพวกเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับกลุ่มทหารรับจ้างสักเท่าไร
“แล้วกลุ่มพ่อค้าล่ะ?”
“พวกเขายังดูเป็นกลางขอรับ ไม่ได้มีท่าที่สนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ”