Trash of the Count’s family - ตอนที่ 225.1
บทที่ 225 ไม่ต้องกังวล 6 (1)
อฮาเป็นก็สะดุ้งไม่ต่างกัน
“…จ่ายคืนให้เจ้าอย่างนั้นรึ?”
เขากวาดสายตาไปมองรอบๆด้วยความสับสน ซึ่งเชวฮันก็พยักหน้ารับด้วยสายตาระลึกถึง
“ท่านเข้าใจถูกแล้วขอรับ..เขาต้องได้จ่ายค่าอาหารคืนอย่างแน่นอน”
แมรี่ก็พยักหน้ารับเช่นกันในขณะที่ราอนตะโกนออกมาด้วยความดีใจพร้อมกับบินไปรอบๆร่างของอฮาเป็น
“เจ้าพูดถูก! เจ้าต้องจ่ายค่าอาหารที่เจ้ากินเข้าไป! บนโลกนี้ไม่มีอาหารให้กินฟรีๆหรอกนะ!ขนาดข้ายังต้องจ่ายค่าอาหารที่กินเข้าไปเลย! แต่ถ้าข้าทํางานได้ดีข้าก็จะได้ค่าแรงเป็นจํานวน 20 เหรียญเงิน!”
สีหน้าของอฮาเบ็นดูแย่ขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเขาก็ได้ยินคาร์ลพูดกับเพนดริกอีกครั้ง
“ข้ารู้ว่าเผ่าเอลฟ์ไม่ได้บูชาวัตถุนิยม..แต่ถ้าเจ้าตั้งใจทําความดีสักอย่าง..เจ้าจะไม่อยากได้สิ่งตอบแทนหน่อยหรือ?”
น้ําเสียงของคาร์ลฟังดูอ่อนโยนเป็นพิเศษ สิ่งที่เขาพูดไม่ได้ผิดไปเลยสักนิด
ในหัวของเขานึกถึงภาพที่เผ่าเอลฟ์ใช้ให้เขาทํางานอย่างหนักพร้อมทั้งคิดว่าจะให้เพนดริกและเอลฟ์คนอื่นๆทําอะไรตอบแทนให้กับเขาบ้าง
“หืม? ว่าอย่างไรเพนดริก? เจ้าไม่เห็นด้วยกับข้าหรือ?”
“..ข้าน้อยจะทํามันขอรับ!”
“ดี!”
ใบหน้าว่างเปล่าของเพนดริกมองไปที่คาร์ลซึ่งกําลังตบไหล่เขาเบาๆพร้อมแต้มรอยยิ้มสดใสเต็มใบหน้าเพนครึกนึกสงสัยว่าอะไรคือสิ่งทําให้เขาต้องวุ่นวายทันทีที่เดินทางมาถึงที่นี่ คาร์ลยนชุดนักบวชสีขาวไปให้เพนดริก มันเป็นชุดเดียวกับที่กลุ่มของคาร์ลเคยใส่เมื่อครั้งที่เข้าไปช่วยทหารของอาณาจักรวิปเปอร์พร้อมกับแจ็ค
“เอาล่ะ..ไปทํางานได้แล้ว”
“อะแฮ่ม..เป็นงานที่ดูหนักที่เดียว”
คาร์ลออกค่าส่งด้วยน้ําเสียงอ่อนโยน ในขณะที่อฮาเป็นแกลังกระแอมไอพร้อมทั้งถอยหลังกลับไปอย่างรวดเร็วเพนดริกยังคงจ้องไปที่ชุดนักบวชสีขาวก่อนจะค่อยๆรับมันมาจากมือคาร์ล
หนึ่งชั่วโมงต่อมา นักบวชที่มาพร้อมกับคาร์ลนั้นก็เริ่มปล่อยแสงศักดิ์สิทธิ์สีขาวไปทั่วบริเวณกําแพงปราสาททางทิศใต้
ณ สนามรบของปราสาทลีโอน่า แม้ว่าการต่อสู้จะสิ้นสุดลงแต่สิ่งที่ต้องดําเนินต่อจากนี้ก็ยังถือเป็นการต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง
“ไอก..หลังข้า! นี่คงถึงเวลาที่จําต้องเลิกเป็นทหารแล้วกระมัง”
“ท่านก็เป็นทหารมานานแล้วนี่นา..15 ปีได้แล้วกระมัง..หลังจากที่ท่านเกษียณตัวเองออกไปท่านจะเอาเงินบํานาญของท่านไปเปิดร้านอาหารใช่มั้ย?”
“อืม นั่นเป็นแผนที่ข้าคิดเอาไว้”
ทหารวัยกลางคนที่เริ่มประกอบอาชีพทหารตั้งแต่อายุ 20 ปีทุบหลังของตนเบาๆเพื่อคลายความปวดเมื่อยจากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งบนกองหิน ทหารหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆเขากวาดสายตาไปมองรอบๆปราสาทลีโอน่าและเอ่ยขึ้น
“ในที่สุดข้าก็เข้าใจสิ่งที่คนอื่นพูด..ว่าหลังจากสงครามสิ้นสุดลงสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็คือสงครามอีกครั้งหนึ่ง”
ปราสาทลีโอน่าและบริเวณชายฝั่งด้านหน้า
มีหลายคนที่กําลังวิ่งวุ่นกับการทํางานอย่างหนัก พวกเขาเร่งฟื้นฟูพื้นที่ที่เสียหายให้กลับคืนสู่สภาพปกติให้เหมือนก่อนที่จะเกิดสงครามขึ้น ทหารหนุ่มและทหารวัยกลางคนคือสองคนที่ได้รับมอบหมายให้ทําการฟื้นฟูบริเวณกําแพงปราสาท
“ข้าคิดว่าหลังจากที่การต่อสู้สิ้นสุดลง..เราจะได้พักผ่อนกันสัก2-3วันเสียอีก”
ทหารวัยกลางคนหันไปตะคอกทหารหนุ่มทันทีเมื่อได้ยินความคิดเห็นดังกล่าว
“เจ้าบ้าน! อย่าลืมว่าเราไม่ได้เป็นคนกําจัดพลังเวทย์แห่งความตายพวกนั้น..อย่างน้อยพวกเขาก็เลี้ยงอาหารพวกเราเป็นอย่างดี”
“มันก็ใช่อย่างที่ท่านว่า”
หลังจากได้รับชัยชนะอาณาจักรคาโรก็จัดงานเลี้ยงฉลองอย่างยิ่งใหญ่ให้กับทหารทุกนาย พวกเขาจัดหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ดื่มกันอีกด้วย ทหารวัยกลางคนกันไปพูดกับทหารหนุ่มเมื่อเห็นว่าเขารู้สึกผิดหวังกับความจริงที่แตกต่างจากสิ่งที่จินตนาการเอาไว้
“เป็นเพราะองค์ชายรัชทายาทเป็นผู้มองการณ์ไกล..พวกเราต้องทําเช่นนี้เพื่อป้องกันการโจมตีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและเพื่อให้เราสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติเมื่อสงครามสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ
เขาเชิดคางของตนไปยังหอคอยกลางพร้อมกับพูดต่อ
“แม้แต่คนที่มีตําแหน่งในระดับสูงๆก็ยังไม่ได้พักผ่อนในขณะนี้”
คิ้วของเขาเริ่มขมวดขึ้น
“มีทั้งคนที่ไม่สามารถขยับตัวได้เพราะพวกเขาได้รับบาดเจ็บ..เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเราจะสามารถหยุดพักได้อย่างไร?”
“…ไม่ใช่ว่าท่านผู้บัญชาการก็กําลังพักฟื้นร่างกายอยู่หรอกหรือ?”
“ใช่ นั่นคือสิ่งที่พวกเขาพูดกัน”
ทหารหนุ่มก็เริ่มขมวดคิ้วเช่นกัน
บุคคลที่ทหารทั้งสองกําลังพูดถึงคือใคร แน่นอนว่าไม่ใช่คนจากอาณาจักรคาโร
คาร์ล เฮนิตัส ผู้บัญชาการทหารของภาคตะวันออกเฉียงเหนือแห่งอาณาจักรโรมัน นั่นคือบุคคลที่ทหารทั้งสองกําลังกล่าวถึง
มีการกล่าวกันว่าท่านผบ.คาร์ลได้ใช้โล่เงินขนาดใหญ่ของเขาทําแบบเดียวกับที่เคยทําในอาณาจักรโรมันและตอนนี้เขากําลังฟื้นฟูร่างกายของเขาที่ได้รับความเสียหายอยู่
สายตาของทหารวัยกลางคนมุ่งลงไปที่ชายฝั่ง
เขามองไปที่กลุ่มดาร์กเอลฟ์ที่ในอดีตต่างร่ําลือกันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวและอันตรายที่สุดดาร์กเอลฟ์กลังใช้ธาตุประจํากายรวบรวมพลังเวทย์แห่งความตายที่ตกค้างอยู่ทั่วบริเวณ
พวกเขาทํางานกันหนักมาก ไม่คิดที่จะหยุดพักทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืนเพื่อชําระพลังเวทย์แห่งความตายให้ได้เร็วที่สุด
การดูพวกเขาทํางานหนักขนาดนั้นทําให้ทหารวัยกลางคนรู้สึกผิด
สิ่งที่เขาไม่มีทางรู้ก็คือดาร์กเอลฟ์มีความสุขมากเพียงใดที่ได้รวบรวมพลังเวทย์แห่งความตายจํานวนมากขนาดนี้พวกเขาไม่เคยเห็นพลังเวทย์ที่ล้ําค่าเป็นจํานวนมากๆเช่นนี้มาก่อน
“เฮ้..รวบรวมพวกมันให้หมด อย่าให้ตกหล่นแม้แต่หยดเดียว! พวกมันคือยาล้ําค่าสําหรับเรามันเป็นยาคุณภาพสูงยิ่งนัก!”
ทาช่าหันไปบอกกับกลุ่มดาร์กเอลฟ์ด้วยกัน เธอผ่อนเสียงให้เบาที่สุดเพื่อให้ได้ยินเฉพาะดาร์กเอลฟ์ด้วยกันเท่านั้นเธอกระตุ้นพวกเขาให้ทํางานโดยเร็วที่สุดและอย่าปล่อยให้พลังเวทย์แห่งความตายตกหล่นไปแม้แต่หยดเดียว อย่างไรก็ตามเธอไม่มีความจําเป็นที่จะต้องทําแบบนั้นเลยสักนิด
“เรารู้แล้วท่านหัวหน้า อย่าเพิ่งชวนเราคุยตอนนี้เลย เราต้องมุ่งความสนใจกับงานที่ทําอยู่เพื่อไม่ให้มันหล่นหายไปแม้แต่หยดเดียว”
ดาร์กเอลฟ์เต็มใจทํางานอย่างหนักด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า พวกเขาจะไม่ยอมเสียพลังเวทย์แห่งความตายไปแม้แต่หยดเดียวทั่วชายฝั่งได้รับการชําระล้างอย่างความรวดเร็วด้วยความพยายามทั้งหมดของพวกเขา
พลังเวทย์แห่งความตายจํานวนมากถูกสร้างขึ้นมาเพื่อดาร์กเอลฟ์โดยเฉพาะ นั่นทําให้พวกเขาไม่สามารถหยุดยิ้มได้แม้แต่วินาทีเดียว
ทหารที่ไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่างมองดาร์กเอลฟ์ที่ทํางานอย่างหนักด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง จากนั้นพวกเขาก็เพ่งมองไปยังหอคอยทิศใต้
พวกเขากําลังจ้องไปที่ประตูของหอคอยทิศใต้
คนของอาณาจักรโรมันถูกมองเห็นผ่านประตูที่ถูกเปิดเอาไว้
-
- ข้ารู้สึกถึงทุกครั้งที่มองเห็นแสงนั่น”
“ข้าก็ด้วย”
แสงสีขาวลอดออกมาจากอีกฝั่งหนึ่งของประตู
คนที่สัมผัสเข้ากับแสงสีขาวนั้นผุดลุกขึ้นและโค้งค่านับให้กับคนผู้หนึ่ง
“ขอบคุณท่านมากขอรับ!”
“ไม่เป็นไร”
รอยยิ้มอ่อนโยนของชายหนุ่มหน้าตาดีก็ดูน่าเลื่อมใสเช่นกัน
“ข้าได้ยินมาว่าคนผู้นั้นคือนักบวชที่ท่านผบ.คาร์ลเรียกมาช่วยพวกเรา”
“ใช่ ผบ.คาร์ลเรียกเขามาเพราะคิดว่าทหารชั้นผู้น้อยอย่างพวกเราจําเป็นต้องการใครสักคนเพื่อช่วยรักษาอาการบาดเจ็บ”
แทนที่นักบวชผู้มีรอยแผลเป็นรอบดวงตาจะดูน่ากลัวในสายตาของคนอื่นๆแต่นักบวชผู้นี้กลับเป็นคนที่ตั้งใจทํางานอย่างหนักเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของทหารประจําอาณาจักรคาโร นั่นทําให้พวกเขารู้สึกศรัทธานักบวชผู้นี้ยิ่งนัก
หมอผีก็ก่าลังเป็นลูกมือช่วยเหลือนักบวชผู้นี้เช่นกัน
นักบวชรูปหล่อแตะที่มุมปากของตนพร้อมกับกระซิบบางอย่างแก่แมรี่ก่อนที่ผู้ป่วยรายต่อไปจะเดินทางมาถึง
“แมรี่..คือ..เอ่อ..ข้าขอหยุดพักได้หรือไม่?
“ข้า..ก็ไม่แน่ใจนัก”
เพนดริกใช้อุปกรณ์เวทย์แปลงกายของทาช่าเพื่อให้ตนดูเหมือนกับมนุษย์มากที่สุด เขามองไปที่แมรี่ด้วยสายตาเว้าวอนแต่เธอก็ดูเข้มงวดเป็นอย่างมาก
“นายน้อยคาร์ลบอกว่า..ให้ท่านทําสิ่งที่คิดว่าเหมาะสมและคุ้มค่าพอที่จ่ายแทนมื้ออาหารของท่าน.. ข้าเอง..ก็รู้สึกมีความสุขที่ได้ทําสิ่งดีๆเช่นกัน”
แมรีแค่พูดความจริงและเลือกพูดตามความรู้สึกของเธอออกไป อย่างไรก็ตามเพนดริกกลับได้ยินเสียงยานๆของเธอต่างออกไป
ทั้งๆที่ท่านได้ทําสิ่งดีๆเช่นนี้..แต่ท่านกลับคิดว่าตัวเองทํางานหนักเกินไปงั้นหรือ?”
แม้ว่าแมรี่จะไม่ได้ตั้งใจสื่อออกมาแบบนั้นแต่มันก็ทําให้ใบหน้าของเพนดริกซีดลง เขารู้สึกว่าเสียงยานๆของแมรี่ดูเย็นชายิ่งนัก
– เจ้าเอลฟ์มาทํางานกันเถอะ! ช่วยคนอื่นเป็นเรื่องที่สนุกนะ! มาๆมาตั้งใจทํางานกันเถอะ!
ในหัวของเขาก็เต็มไปด้วยเสียงกระตือรือร้นของราอน มันดังไม่ยอมหยุดราวกับกําลังสะกดจิตของเขาอยู่
ราอนกําลังอยู่ข้างๆพวกเขาในสภาพล่องหน คาร์ลเป็นคนสั่งให้ราอนมาอยู่ที่นี่เพื่อคอยปกป้องพวกเขาอย่างใกล้ชิด
แน่นอนว่าที่ราอนเห็นด้วยกับคาร์ลเพราะเชวฮันและอฮาเป็นรับหน้าที่เป็นองครักษ์ของคาร์ลในขณะนี้
“ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆ—
เพนดริกนรอยยิ้มกลับมาอีกครั้งเมื่อเอ่ยทักทายผู้ป่วยรายใหม่ที่เดินเข้ามา แต่ปัญหาก็คือรอยยิ้มของเขานั้นดูเหมือนนักบวชที่ยินดีจะเห็นผู้ป่วยในสภาพดีๆและรีบหายเป็นปกติโดยเร็วที่สุดเสียมากกว่า
ทหารที่มองจากไกลๆไม่มีทางที่จะรู้เรื่องนี้ได้ พวกเขามองด้วยความชื่นชมจากนั้นก็นึกถึงคนผู้หนึ่ง
“นักบวชของอาณาจักรโรมันอยู่ที่นี่เพื่อคอยช่วยเหลือเรา..แต่หัวหน้านักบวชของเราเองกลับวิ่งหนีไปซะอย่างนั้น!”
“นี่! เจ้าเห็นตอนที่เขาวิ่งหนีไปหรือเปล่า? ข้าทันได้เห็นหลังพวกเขาไวๆตอนที่วิ่งหลบลูกธนูพวกนั้น..ทั้งๆที่มันเป็นลูกธนูแห่งแสงแต่นักบวชพวกนั้นกลับพากันวิ่งหนีตาย!..ข้าถึงกับหมดคําพูดกับคนที่บอกว่าตัวเองเป็นผู้รับใช้แสงสว่าง!”
ทหารสายศีรษะน้อยๆอย่างเหลือเชื่อ
“และไม่เพียงเท่านั้นนะ..พอการต่อสู้สิ้นสุดลง พวกเขาก็พากันออกมาและบอกว่าจะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้แต่พวกเขากลับเลือกที่จะช่วยรักษาเหล่าอัศวินและคนที่มีตําแหน่งสูงๆเท่านั้น..พวกเขาเพียงแค่ยื่นผ้าพันแผลให้กับทหารยศน้อยๆเช่นเราเท่านั้น!”
“ใช่! พวกเขาแค่ส่งผ้าพันแผลให้กับเราเท่านั้น..และก่อนหน้านี้พวกเขาก็ถกเถียงในประเด็นนี้กับองค์ชายรัชทายาทเช่นกัน!”
ทหารนายหนึ่งใช้จอบกระแทกไปบนพื้นดินด้วยความโกรธจัด
“ตอนที่ได้เงินบริจาคพวกเขาต่างรีบมารับอย่างไรแต่พอเกิดเรื่อง..พวกเขาก็พากันรีบหนีไปเร็วยิ่งกว่า! พวกสารเลวเอ้ย!”
“เบาๆหน่อย! อย่าใจร้อนเกินไป หากผู้ศรัทธามาได้ยินสิ่งที่เจ้าพูดจะโกรธเคืองเอาได้นะ”
ทหารนายนี้ยิ่งโกรธขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินสิ่งที่เพื่อนท้วง
“ข้านี่ล่ะคือหนึ่งในผู้ศรัทธาเหล่านั้น!”
เหตุผลที่เขาโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงก็เพราะเขาเป็นหนึ่งในผู้ศรัทธาต่อพระเจ้าแห่งแสงตะวัน
“ข้าอาสาเข้ามาเป็นทหารก็เพราะเชื่อในคําสอนของพระเจ้าแห่งเรา! พระเจ้าแห่งแสงตะวันบอกให้ข้าท่าเช่นนี้! พระองค์บอกให้ข้าก้าวเข้ามาเป็นแนวหน้าและกลายเป็นแสงสว่างเมื่อความมืดคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวเรา! มันคือเหตุผลที่ทําให้ข้าตัดสินใจเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพและทําให้พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวข้า!”
เพื่อนทหารไม่สามารถพูดอะไรที่จะทาให้เพื่อนของตนสงบสติอารมณ์ได้ สิ่งที่เขาทําได้คือตบไปที่ไหล่ของเพื่อนเบาๆเมื่อเขาเอนซบมาที่ไหล่ของตน
“เข้มแข็งเข้าไว้! ข้าเชื่อว่าการที่มีคนเช่นเจ้าอยู่ จะทําให้พระเจ้าแห่งแสงตะวันยังคงส่องแสงลงมาบนพื้นดิน”
“…ทั้งๆที่เจ้าไม่ได้เชื่อในตัวพระเจ้าแต่เจ้าก็ยังรู้ว่าควรปลอบใจข้าเช่นไร”
“มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนี่นา”
เมื่อได้ยินเพื่อนตอบเช่นนั้นทหารที่ศรัทธาต่อพระเจ้าแห่งแสงตะวันก็หัวเราะออกมาเบาๆ เขามองไปที่นักบวชซึ่งยังคงรักษาอาการบาดเจ็บของทหารคนแล้วคนเล่า
“…ว่าแต่นักบวชท่านนี้มาจากคริสตจักรใดกันนะ?”
“เอ๊ะ! เจ้าไม่เคยได้ยินหรอกหรือ?
“ได้ยินอะไร?”