Tranxending Vision – เนตรเนรมิตร - ตอนที่ 344
Tranxending Vision TXV – 344 คงสภาพกว่าร้อยปี !
ในโลงศพหยกมีผู้หญิงคนหนึ่งนอนโดยใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นจนแทบจะเรียกว่าเปลือย กายเลยก็ว่าได้ผิวของเธอขาวราวกับหิมะ ร่างกายของเธอดูคล้ายกับคนไม่มีเลือดอยู่ในตัวลักษณะคล้ายกับรูปปั้นน้ําแข็งแต่แม้ว่าร่างกายของเธอจะมีรูปร่างผอมแต่ก็ไม่ได้แห้งเหี่ยวจนเห็นกระดูก โดยรวมแล้วแม้ว่าจะขาวซีดจนเกินไปแต่เธอในตอนนี้ก็ถือว่าเซ็กซี่อย่างมาก เธอดูเหมือนคนที่นอนหลับเฉยๆเท่านั้น ถ้าไม่บอกว่าตายไปแล้วคงจะดูไม่ออกเลย
เซี่ยเหล่ยตกใจมากกับสิ่งที่เห็น เขาพูดกับตัวเองว่า “เจ้าหญิงหยงเหม่ยดูเหมือนว่า เธอจะมีอายุแค่ 20 ปี นี่เธอต้องตายแล้วงั้นเหรอ?”
ในหนังสือโบราณที่เซี่ยเหล่ยได้อ่านในตอนที่อยู่ในชนเผ่าเฮปตาไลท์ มันไม่มีบันทึก เกี่ยวกับเรื่องราวของเจ้าหญิงหยงเหม่ยที่แน่ชัดรวมถึงประวัติความเป็นมาอื่นๆด้วย ดังนั้นจึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าเธอตายแล้วหรือไม่ นั่นก็เพราะอาจจะมีเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้นกับเธอก็เป็นได้
สายตาของเซี่ยเหล่ยมองไปที่คอของเจ้าหญิงหยงเหม่ย เธอสวมสร้อยคอที่ไม่ใช่ สร้อยทองคําทั้งหมดแต่มันเป็นกลไกอะไรบางอย่างโดยที่รอบตัวของมันจะประดับไปด้วยเพชร และอัญมณีเม็ดใหญ่ รอบๆตัวของเจ้าหญิงหยงเหม่ยมีเครื่องประดับล้ําค่าอีกมากมายแต่น่าเสียดายที่เขาไม่เห็นโลหะสีเขียวหรือแม้แต่อะไรก็ตามที่มีความเกี่ยวข้องกับ “AE” ที่เขากําลังตามหาอยู่เลย
“ไม่มีร่องรอยโบราณอย่างที่หนิงจิงเคยบอกไว้ มันไม่มีแม้แต่ตําราโบราณสําริดที่เคย กล่าวมันมีแต่เข็มนําทางเท่านั้น มันเป็นแบบนี้ได้อย่างไร? หรือว่าจะซุกซ่อนเอาไว้ที่อื่น” ด้วยความสงสัยเซี่ยเหล่ยก็เปิดฝาโรงออก
เมื่อเปิดฝาโลงออกแล้ว เซี่ยเหล่ยก็เห็นเธอโดยตรงอย่างชัดเจนโดยที่ไม่มีสิ่งใดมา ขวางกั้นเมื่อเห็นเธอในครั้งนี้เขาก็ต้องตะลึกอีกครั้งเพราะผิวของเธอนั้นเรียบเนียนและดูอ่อนโยนกว่าที่เขาคิด ด้วยความสงสัยเขาจึงลองใช้นิ้วจิ้มไปที่ต้นขาของเธอ ส่วนที่โดนจิ้มยุบลงไปตามแรงที่เขาออก หลังจากนั้นเขาก็หดมือกลับ ในทันทีที่หดมือกลับ ผิวหนังของเจ้าหญิงหยงเหม่ยก็คืนตัวอย่างรวดเร็ว มันกลับคืนสู่สภาพเดิมเหมือนกับว่าไม่เคยมีอะไรจิ้มลงไป
“ไม่น่าเชื่อ มันสามารถคืนตัวได้งั้นเหรอ?” เซี่ยเหล่ยพูดพร้อมความรู้สึกประหลาดใจ
แต่แล้วหางตาของเซี่ยเหล่ยก็สังเกตเห็นที่เปลือกตาของเธอมีการขยับเหมือนกับว่าเธอกําลังจะลืมตาด้วยสิ่งนี้ทําให้เขาตกตะลึงมากขึ้นไปอีก เขากระโดดถอยหลังออกไปหนึ่งก้าวเนื่องจากกลัวว่าเธอจะตื่นขึ้นมาแล้วเอามือของเธอบีบคอตัวเองเหมือนอย่างในภาพยนตร์
แต่อย่างไรก็ตามเจ้าหญิงหยงเหม่ยไม่ได้ขยับแต่อย่างใดและดูเหมือนการขยับเปลือกตาของเธอก็อาจจะเป็นเขาที่ตาฝาดไปเอง
เซี่ยเหล่ยใช้เวลาสังเกตเจ้าหญิงหยงเหม่ยอยู่พักหนึ่งเพื่อให้แน่ใจหลังจากไม่พบ สิ่ผิดปกติใดๆ เขาก็รีบเดินกลับเข้าไปและปลดสร้อยที่คอของเจ้าหญิงออก พร้อมกับเก็บใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็วนั่นก็เพราะว่า เข็มนําทางจะเป็นสิ่งสําคัญในการหาสมบัติชิ้นถัดไปที่ซ่อนอยู่
หลังจากนั้นเซี่ยเหล่ยยังได้หยิบเอาของมีค่าต่างๆมากมายที่อยู่ภายในโรงศพใส่ใน กระเป๋าอีกด้วยเพราะมันสามารถทําเงินให้เขาได้เหมือนกับเป็นค่าเสียเวลาให้กับตัวเองที่ต้องมาทําภารกิจพิเศษอยู่ที่นี่ และเขาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครรู้ว่าเขานําของมีค่าเหล่านี้ไป เนื่องจากที่นี่มีแค่เขาเพียงคนเดียว
หลังจากหยิบสิ่งของมีค่าไปแล้ว เขาก็กลับมามองที่ร่างของเจ้าหญิงหยงเหม่ยอีกครั้ง ดูเหมืองครั้งนี้เขาจะชินกับสภาพของเธอแล้วทําให้เขาไม่ค่อยจะตกใจเหมือนในครั้งแรกที่เห็นเธอ
แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ตกใจเหมือนกับครั้งแรกที่เห็นแล้วแต่ข้อสงสัยในตัวเธอก็ยังไม่จางหายไป เขาพูดกับตัวเองด้วยความสงสัยว่า “ถ้าเธอตายไปจริงๆแล้ว ร่างกายของเจ้าหญิงหยงเหม่ยจะคงอยู่สภาพเดิมได้อย่างไรกัน เพราะในความเป็นจริงเธอเป็นคนที่ควรจะตายไปแล้วสองถึงสามร้อยปีก่อน ซึ่งถ้าเป็นจริงดังว่าร่างของเธอก็ควรจะเน่าเปื่อยไปตั้งนานแล้ว …หรือว่า ในร่างกายของเธอจะมีอะไรบางอย่างผสมอยู่จึงทําให้ร่างของเธอไม่เน่าเปื่อยงั้นเหรอ?”
ความเป็นไปได้ที่มากที่สุดก็คือการใส่สารฆ่าจุลินทรีย์ในร่างกายของเธอ มันสามารถป้องกันไม่ให้ผิวหนังสลายตัวไปได้ซึ่งวิธีแบบนี้ในสมัยก่อนก็มีการใช้ทํามัมมี่ของประเทศอียิปต์
ด้วยความสงสัยทําให้เซี่ยเหล่ยกระตุกตาซ้ายทันทีพร้อมกับมองไปยังร่างกายของเจ้า หญิงหยงเหม่ย หลังจากสํารวจอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่พบถึงตัวยาใดๆที่จะสามารถช่วยให้ร่างกายของเธอไม่เน่าเปื่อยได้ในขณะที่เขาเกือบจะถอดใจและยกเลิกการใช้ความสามารถ สายตาของเขาก็หันไปดูที่ศีรษะของเธอจู่ๆเขาก็ตกใจแบบสุดขีด!
ภายในปากของเจ้าหญิงมีโลหะอันลอยด์สีเขียวเต็มไปหมด เมื่อมองดูให้ดีแล้วมันก็คือ โลหะโบราณที่หนิงจิงเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้
“เจ้าหญิง ผมขอโทษ ผมไม่ได้ต้องการทําแบบนี้หรอกนะ ถ้าจะโทษใครซักคนจริงๆ แล้วควรจะเป็นผู้บริหารฉือซะมากกว่า เขาเป็นคนให้ผมทําแบบนี้…” เซี่ยเหล่ยเปิดปากของเธอหลังจากนั้นก็หยิบโลหะโบราณออกจากปากของเธอ
หลังจากที่หยิบเอาโลหะโบราณออกจากปากของเธอแล้วริมฝีปากของเธอก็เริ่มแห้งอ ย่างรวดเร็ว!
“นี่มัน…” เซี่ยเหล่ยตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมากจนไม่สามารถพูดอะไรต่อได้เลย
ไม่ได้เป็นแค่เพียงริมฝีปากของเธอเท่านั้น ผิวหน้าของเจ้าหญิงหยงเหม่ยที่เคยเรียบ เนียนและขาวราวกับหิมะได้เปลี่ยนเป็นสีเทาและกลายเป็นสีดําในที่สุด ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงนี้สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า!
ใช่ มันคือการระเหย
สิ่งแรกที่เริ่มเปลี่ยนแปลงคือคือริมฝีปากของเธอถัดไปก็เป็นจมูก ใบหน้า หน้าอกและ ไปที่เท้าในที่สุดจนสุดท้ายแล้วผิวหนังของเธอก็ได้หายไปอย่างสิ้นเชิงเหลือไว้แต่โครงกระดูกเท่านั้น!
กระบวนการนี้ใช้เวลาเพียงแค่ห้านาทีเท่านั้นแต่มันยังไม่สิ้นสุดเพียงแค่นั้น เพราะ หลังจากนั้นอีกไม่นานกระดูกของเธอก็ได้สลายกลายเป็นขี้เถ้าสีเทาอมดํา!
ตลอดกระบวนการทั้งหมดเซี่ยเหลี่ยมองดูอยู่นิ่งๆด้วยความรู้สึกตะลึงอย่างสุดขีด ใบ หน้าและหน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อของความตื่นเต้นและตกตะลึง
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้แม้แต่นักชีววิทยาหรือนักโบราณคดีที่เก่งและฉลาดที่สุดในโลกก็ไม่สา มารถอธิบายมันได้!
“การที่ร่างกายของเจ้าหญิงหยงเหม่ยสามารถรักษาสภาพร่างกายไว้เหมือนกับว่ายั งมีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปี มันจะเกี่ยวข้องกับอันลอยด์โบราณนี้หรือไม่นะ?” ดวงตาของเซี่ยเหล่ย ในตอนนี้ได้เปลี่ยนจากดวงตาที่ประสบความสําเร็จกลายเป็นดวงตาที่มีแต่ความตกใจและความกลัว
ไม่มีพระเจ้าอยู่ในโลกใบนี้ แต่เซี่ยเหล่ยก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันแน่ถึงได้เกิดเรื่องมหัศ จรรย์แบบนี้ขึ้นได้
และไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร จู่ๆเซี่ยเหล่ยก็มองกลับไปที่อันลอยด์โบราณอีกครั้ง ก็ยัง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่หลังจากนั้นเขาก็มองกลับไปเป็นครั้งที่สองพร้อมกับความสามารถตาซ้าย เกิดสิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับเซี่ยเหลียอีกครั้ง ตาซ้ายของเขาก็รู้สึกเจ็บปวดเหมือนกับมีไฟเผาไหม้อยู่ภายในดวงตา แต่ก็โชคดีที่มันเป็นแค่ความรู้สึกเพียงแค่นั้นหลังจากนั้นการมองเห็นของเขาก็กลับเป็นสภาพปกติอย่างอัตโนมัติ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!” เซี่ยเหล่ยคิดขึ้นในหัวพร้อมกับความรู้สึกที่จะไม่พยายามมอง ทะลุมันอีกครั้งหลังจากนั้นเขาก็มองมันด้วยดวงตาที่ไม่ใช้ความสามารถใดๆอย่างละเอียด
อัลลอยด์โบราณนี้มีลักษณะภาพรวมคล้ายกับที่หนิงจิงเคยพูดเอาไว้ มันมีน้ําหนักเบา มากแต่ก็รู้สึกได้ถึงความแข็งของมันแม้ว่ามันจะยังไม่ผ่านการศึกษาและทดสอบที่แน่ชัดแต่เซี่ยเหล่ยก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านโลหะมาไม่น้อยด้วยประสบการณ์ของเขาจึงสามารถบอกได้ในทันที
ด้วยความแข็งของมันเป็นที่แน่ชัดแล้วว่ามันเหมาะที่จะเป็นวัสดุสําหรับทําเครื่องบิน
หลังจากรู้ว่ามองต่อไปก็ไม่ได้อะไรเพิ่มเติม เขาก็ยอมแพ้และใส่มันเข้าไปในกระเป๋า เพื่อเตรียมศึกษาในเวลาต่อมา
หลังจากเก็บใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เซี่ยเหล่ยก็เดินไปยังกล่องต่างๆที่ตั้งอยู่บริเวณ อื่นเมื่อเข้าไปใกล้ๆแล้วก็พบว่าตัวกล่องถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี มันถูกชุบด้วยน้ํามันและเคลือบด้วยขี้ผึ้งทําให้ยังเห็นถึงลายไม้อย่างชัดเจนและที่ตัวกล่องไม่มีกุญแจล็อคใดๆ ซึ่งเป็นเรื่องง่ายมากที่จะเปิดดูสิ่งที่อยู่ภายใน
ภายในกล่องเต็มไปด้วยเหรียญทองแม้ว่ามันจะมีความบริสุทธิ์เทียบไม่ได้กับทองคําในปัจจุบันแต่สีของมันก็ใกล้เคียงจนน่าตื่นเต้นไม่น้อย
เซี่ยเหล่ยก็ยังคงเดินไปดูกล่องอื่นๆด้วยเช่นกัน มันก็ยังคงมีเหรียญทองอยู่เต็มไปหมด ทุกกล่องและก็มีอยู่กล่องหนึ่งที่มีเสื้อผ้าใส่เอาไว้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเสื้อผ้าของเจ้าหญิงหยงเหม่ยที่ใส่ในพิธีศพแต่ด้วยระยะเวลาที่ผ่านมาหลายร้อยปี สภาพของมันก็เปื่อยไปบ้างตามกาลเวลา
เซี่ยเหล่ยยิ้มและพูดว่า “เหรียญทองสองกล่องนี้เอาไว้ให้แคนลามี่ ส่วนอัญมณีที่อยู่ ภายในโรงเก็บไว้เอง อันลอยด์โบราณก็จะมอบให้พวกเขาเพื่อจะได้ไม่ต้องมีอะไรติดค้างกันอีก”
นี่ถือเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสําหรับทุกฝ่าย
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาก็เตรียมเดินกลับออกไปด้วยเส้นทางที่ปลอด ภัยอย่างที่เคยเดินในตอนเข้ามา
เนื่องจากเส้นทางที่ปลอดภัยจะต้องผ่านโรงศพหยกของเจ้าหญิงหยงเหม่ย เขาแวะไปที่โรงศพจากนั้นก็โค้งคํานับหนึ่งครั้งด้วยความรู้สึกผิดนั่นก็เพราะว่าถ้าเขาไม่ได้มา ณ ที่แห่งนี้และ หยิบอัลลอยด์โบราณออกจากร่างของเธอ ร่างของเธอก็คงจะไม่สลายหายไปจนเหลือแต่ขี้เถ้าแบบนี้แน่
จี๊ด จี๊ด
ภายในอุโมงค์ จู่ๆเซี่ยเหล่ยก็ได้ยินเสียงค้างคาวร้องอย่างแตกตื่น
เซี่ยเหล่ยตกใจและรีบหันไปทางประตูทางเข้าอย่างรวดเร็วหลังจากนั้นก็พยายามฟัง เสียงอย่างระมัดระวัง หลังจากได้ยินเสียงเพียงไม่นานก็มีค้างคาวจํานวนมากบินเข้ามาภายในห้องพวกมันตรงมายังเซี่ยเหล่ยแต่ครั้งนี้ไม่ได้ทําร้ายเขา พวกมันกลับบินไปตรงบริเวณใกล้ๆ กับโรงศพหยก
เซี่ยเหล่ยมองตามพวกมันไปทําให้พบว่าบริเวณนั้นมีช่องระบายอากาศอยู่จริงๆ มันมีขนาดพอที่จะให้ค้างคาวบินผ่านไปได้แน่นอนว่าที่นี่มีช่องระบายอากาศและดูเหมือนว่าจะมีมากกว่าหนึ่งช่องที่อยู่ตรงหน้าเขา แต่ในความเป็นจริงเขาก็ไม่ได้สนใจที่จะค้นหาช่องระบายอากาศที่เหลือเพราะมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย
หลังจากค้างคาวบินหนีไปจนหมดแล้วเซี่ยเหล่ยก็เดินกลับออกไปทางประตู หลังจาก ออกนอกห้องไปแล้ว เขาก็เดินกลับขึ้นไปทางอุโมงค์ที่เคยเดินมาแต่ได้ระยะทางเพียงแค่ยี่สิบเมตรเท่านั้นเขาก็ต้องหยุดเดินอย่างกระทันหัน
ห่างจากตัวเขาไปอีกยี่สิบเมตร มีผู้หญิงคนหนึ่งสวมหมวกและเสื้อผ้าหนังสีดํากําลัง ถือปืนและชี้ไปที่เขา ดวงตาของเธอกําลังสวมอุปกรณ์อินฟาเรดสําหรับมองภาพในตอนกลางคืนซึ่งความสามารถในการมองเห็นของเธอในตอนนี้ดีเทียบเท่าดวงตาของเซี่ยเหลียที่สามารถมองในอุโมงค์เลยก็ว่าได้
“ส่งกระเป๋าของคุณมาให้ฉันแล้วก็รีบไปซะ” ผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้นในขณะที่กําลัง เล็งปืนไปที่เซี่ยเหล่ย น้ําเสียงของเธอสื่อให้เห็นว่าเป็นภัยคุกคามอย่างมากกับตัวเขา
ในตอนนี้เซี่ยเหล่ยรู้สึกแย่มากที่ตัวเองคิดเรื่องนี้ไม่ได้ เขาน่าจะรู้ตัวตั้งแต่ตอนที่ค้าง คาวบินหนีกันแล้วแต่เขาก็ไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้าด้วยเพราะเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆอย่างเช่นเสียงเท้าในการเดินในอุโมงค์ที่มีแต่ความเงียบเลย…..
ด้วยความสงสัยสายตาของเซี่ยเหล่ยก็หันไปมองที่เท้าของผู้หญิงคนนั้น เขาพบว่าเธอไม่ได้ใส่รองเท้า เธอสวมแค่เพียงถุงเท้าและใช้ผ้าฝ้ายบางๆพันรอบเท้าเท่านั้น
นี่ถือเป็นวิธีที่ฉลาดมากในการลดเสียงการเดินในขณะนี้คิดได้อย่างเดียวว่าเธอเตรียม ตัวมาเป็นอย่างดี
“คุณไม่ได้ยินงั้นเหรอ? ฉันบอกให้ส่งกระเป๋ามาเดี๋ยวนี้!” ผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้นอีกครั้ง
ติดตามตอนต่อไป…