The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 135
บทที่ 135 งานนิทรรศการ
“อีกสามวันนิทรรศการหยกจะถูกจัดขึ้น โดยสี่วันแรกจะเป็นการจัดแสดงเครื่องประดับหยกในรูปแบบต่างๆ จากนั้นอีกสองวันจะเป็นการจัดแสดงสินค้าที่เป็นหินหยกหยาบ รวมทั้งหมดของนิทรรศการหยกจะเป็นเวลาหกวันด้วยกัน”
ตั้งแต่จี้เฟิงได้เห็นข้อมูลจากเว็บไซต์ดังกล่าว มันก็ดึงดูดความสนใจของเขาในทันที “นิทรรศการหยกที่เป็นเครื่องประดับและหยกรูปพรรณต่างๆในสี่วันแรกไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับฉัน แต่ถ้าเป็นไปได้ฉันก็คงต้องเข้าร่วม อย่างน้อยมันน่าจะทําให้ฉันได้รู้ราคาหยกและข้อมูลเกี่ยวกับหยกได้มากขึ้น มันจะช่วยฉันได้มากในการแสดงสินค้าหินหยกหยาบในสองวันสุดท้าย”
จี้เฟิงคิดและพึมพํากับตัวเองขณะที่นอนอยู่บนเตียง
สาเหตุที่เขาสนใจเรื่องการแสดงสินค้าหินหยกหยาบนี้ เป็นเพราะว่าจู่ๆข่าวนี้ก็โผล่ขึ้นมาให้เขาเห็นราวกับว่างานนี้มันเกิดมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ!
“หินหยกหยาบ” เป็นการเรียกหยกที่เติบโตอยู่ในหิน จี้เฟิงเคยได้ยินคนอื่นๆพูดถึงเรื่องนี้มาบ้าง และเมื่อเขาได้รู้ข่าวเกี่ยวกับนิทรรศการแสดงหินหยก แผนบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขาทันที
ถ้าดวงตาของใครสักคนสามารถมองทะลุสิ่งกีดขวางบางๆได้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือแถบสีเงินที่ปกคลุมอยู่บนตั๋วลอตเตอรี่ แล้วถ้าเป็นหินที่มีหยกอยู่ภายในล่ะ? ถ้าดวงตาที่มีความสามารถพิเศษเช่นนั้นสามารถมองทะลุหินหยกหยาบได้ มันก็เพียงพอที่จะทํากําไรให้กับคนที่มีความสามารถพิเศษนั้นได้อย่างมหาศาลจนทําให้คนๆนั้นถึงกับบ้าคลั่งได้
“อย่าลนๆ ใจเย็นๆ!” จี้เฟิงบอกกับตัวเองให้สงบจิตสงบใจ
ในตอนนี้มีโอกาสงามๆอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว แต่มันก็เป็นเพียงโอกาสเท่านั้น เพราะจี้เฟิงยังไม่แน่ใจว่าความสามารถในการมองของเขาจะสามารถมองทะลุหินได้หรือไม่ และประการที่สอง จี้เฟิงไม่รู้ว่าจะต้องมีคุณสมบัติแบบใดถึงจะสามารถเข้าร่วมนิทรรศการหยกและการแสดงสินค้าหินหยกหยาบนี้ได้
แต่ถ้าอยากรู้ว่าความสามารถด้านมุมมองของเขาจะสามารถมองทะลุหินหยกได้หรือไม่นั้น มันสามารถหาคําตอบได้ง่ายๆโดยการหาก้อนหินสักก้อนแล้วมองดูมัน เพียงเท่านี้เขาก็หาคําตอบให้กับปัญหานี้ได้อย่างง่ายดาย
เพราะถ้าเขาไม่สามารถมองทะลุหินธรรมดาได้ เขาก็ไม่จําเป็นที่จะต้องไปงานแสดงสินค้าหินหยกหยาบ ไม่ว่ามันจะเป็นโอกาสที่ดีแค่ไหนมันก็ไร้ประโยชน์หากเขายังไม่มีความสามารถเพียงพอ
นี่คือเรื่องพื้นฐานที่สําคัญที่สุด
แต่นอกจากนี้ยังมีเรื่องคุณสมบัติของคนที่จะได้เข้าร่วมในงานนิทรรศการหินหยกนี้ที่เขาจะต้องหาคําตอบ
จี้เฟิงคิดว่าเขาน่าจะไม่สามารถไปเข้าร่วมงานแสดงสินค้าได้โดยตรง เพราะเขาเป็นเพียงนักศึกษาตัวเล็กๆคนหนึ่ง งานที่ใหญ่โตเช่นนี้ส่วนใหญ่จะถูกจัดโดยองค์กรหรือกลุ่มนักธุรกิจที่ร่ํารวยบางกลุ่ม หากต้องการเข้าร่วมเกรงว่าจะต้องเป็นบุคคลสําคัญหรือเป็นที่รู้จักในระดับหนึ่ง
ตรงจุดนี้ยังเป็นปัญหาที่จี้เฟิงยังแก้ไม่ตก
“ต้องเป็นคนที่ร่ํารวยหรือมีอิทธิพล” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น จู่ๆเขาจะกลายเป็นคนที่ร่ํารวยและมีอิทธิพลได้อย่างไร?
ดูเหมือนว่าปัญหาของจี้เฟิงในตอนนี้คือเขาไม่สามารถเข้าร่วมงานแสดงสินค้าหินหยกหยาบได้ด้วยตัวเอง และถึงแม้ว่าความสามารถด้านมุมมองของเขาจะสามารถมองทะลุหินได้ แต่หากเขาไม่สามารถเข้าร่วมงานได้ แผนการครั้งนี้ก็คงจะไม่สําเร็จ มีเพียงวิธีเดียวที่เขาพอจะนึกออกคือเขาต้องร่วมมือกับผู้อื่น!
แต่จี้เฟิงยังไม่มีผู้ร่วมงานในตอนนี้ และมันก็ยังไม่ใช่เวลาที่เขาต้องการคนมาร่วมงานด้วย!
เมื่อคิดได้ดังนั้นจี้เฟิงจึงตัดสินใจที่จะลองไปดูก่อน เขาลองหาข้อมูลเพิ่มเติมและพบว่างานนิทรรศการหยกและงานจัดแสดงสินค้าหินหยกหยาบครั้งก่อนๆนั้นไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น แต่การเข้าร่วมในฐานะผู้เยี่ยมชมทั่วไปอาจจะไม่สามารถเข้าไปในงานนิทรรศการแสดงหยกในครั้งนี้ได้คงต้องรอดูกันต่อไป!
หลังจากที่มีแผนคร่าวๆอยู่ในใจแล้ว จี้เฟิงก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขากดโทรออกไปที่หมายเลขโทรศัพท์ของถังเลย
“จี้เฟิง !”
น้ําเสียงที่ไพเราะแต่ชัดเจนของถงเล่ยดังมาจากอีกฝั่งที่อยู่ปลายสาย มันทําให้ใบหน้าของจี้เฟิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เล่ยเลย การฝึกอบรมเป็นยังไงบ้าง ถ้าเหนื่อยเกินไปก็กลับมานะ” จี้เฟิงถามด้วยความเป็นห่วง แฟนสาวแสนสวยของเขาเหมือนกับตุ๊กตาลายคราม การฝึกอบรมทางทหารมันจึงทําให้จี้เฟิงรู้สึกปวดใจจริงๆ
“นายอยากให้ฉันกลับไปเหรอ?” ถงเล่ยยิ้ม
แน่นอนว่าคําตอบของจี้เฟิงคือการพยักหน้า แต่เขาลืมไปว่านี่คือการคุยผ่านโทรศัพท์ ถังเลยไม่มีทางมองเห็นดังนั้นเขาจึงยิ้มแล้วพูดว่า “แน่นอน ฉันคิดว่าจางเล่ยคงจะฝึกได้อย่างสบายไม่มีปัญหา แต่เธอน่าจะต้องลําบากไม่น้อย เธอไม่จําเป็นต้องทนฝึกทหารอยู่ที่นั่นก็ได้นะ ถ้าเธออยากออกกําลังกายเพื่อความแข็งแรง เธอไปออกกําลังอย่างสบายๆที่อื่นมันก็ทําให้เธอสุขภาพดีได้เหมือนกัน!”
“ไม่ต้องเป็นห่วง เอาเป็นว่าถ้าเมื่อไหร่ที่ฉันไม่โอเคฉันจะโทรบอกนายทันที!” ถงเลยนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดเสริมว่า “แล้วอีกอย่างอยู่ที่นี่ฉันได้เจอเพื่อนสองสามคน ฉันคิดว่ามันสนุกแล้วมันก็ ดีทีเดียว!”
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็ตระหนักได้ว่า เมื่อตอนที่ถงเล่ยเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย เพื่อนคนอื่นๆต่างรู้ว่า เธอเป็นลูกสาวของเลขาธิการพรรคของหมางซื่อ ดังนั้นคนที่เข้าหาเธอส่วนใหญ่ต่างมีจุดประสงค์แฝงหรือต้องการผลประโยชน์บางอย่างจากเธอ หรือถึงแม้บางคนไม่ได้ต้องการที่จะคบหาเธอเพราะผลประโยชน์แต่พวกเขาก็ยังมีความเกรงใจและเกรงกลัวในอํานาจของครอบครัวเธอจนไม่สามารถคบหากับเธอได้อย่างเป็นธรรมชาติอยู่ดี แต่ตอนนี้ถงเลยเหมือนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ เธอสามารถมีเพื่อนที่คบหากับเธอได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“โอเค! แต่ไม่ว่ายังไงถ้าเธอไม่อยากจะฝึกต่อ เธอต้องโทรบอกฉันทันทีเลยนะรู้มั้ย?” จี้เฟิงยังคงรู้สึกเป็นกังวลและพูดกําชับอีกครั้ง
“อื้ม!”
กับจี้เฟิงถงเล่ยเป็นผู้หญิงที่เชื่อฟังและน่ารักมากถึงแม้เธอจะซุกซนบ้างเป็นบางครั้ง
จากนั้นทั้งสองก็คุยกันต่ออีกสักพัก แม้ว่าจี้เฟิงจะเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดจาหวานซึ้งเอาใจสาวๆ แต่เขาก็ดูแลเทคแคร์ถงเล่ยจากใจจริง ซึ่งทําให้ถงเลยสัมผัสได้และมันก็ทําให้เธอมีความสุขมาก การกระทําที่จริงใจมีประสิทธิภาพมากกว่าวาจาหวานซึ้งใดๆ
เมื่อฟังเสียงของถงเลยที่หัวเราะคิกคักผ่านทางโทรศัพท์ อารมณ์ของจี้เฟิงก็ผ่อนคลายลง
เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภายในพริบตางานนิทรรศการหยกและงานจัดแสดงสินค้าหินหยกหยาบของเจียงโจวก็ได้เปิดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อเวลาเก้าโมงเช้าของวันที่ 23 กันยายน
ในช่วงเวลาสามวันที่ผ่านมา จี้เฟิงทําเพียงสองสิ่งเท่านั้น
สิ่งแรกคือการหาหินเพื่อลองใช้ความสามารถด้านมุมมอง และมันก็พิสูจน์แล้วว่าเขาสามารถมองทะลุหินได้ และการมองทะลุหินก็ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรมากไปกว่านั้น
สิ่งที่สองคือการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต เขาอ่านทุกอย่างที่เกี่ยวกับหยกไม่ว่าจะเป็นประเภทพันธุ์และราคาของหยกหรือการแบ่งแยกเกรดต่างๆของหยกโดยละเอียด
เนื่องจากการศึกษาและอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับหยกในช่วงสองสามวันมานี้ มันทําให้จี้เฟิงแอบประหลาดใจอยู่ไม่น้อยว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาราคาของอัญมณีอย่างหยกได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการขุดหาแร่หยกมาเป็นระยะเวลานาน จึงทําให้หยกคุณภาพสูงเริ่มหาได้ยากขึ้น และแน่นอนว่าราคาก็พุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
หยกเกรดดีหรือที่เรียกว่าเจไดต์(Jadeite) ในตลาดที่พอจะหาได้ตอนนี้มีเพียงหยกเนื้อธรรมดา สําหรับหยกเนื้อน้ําแข็งหรือหยกเนื้อแก้วขั้นสูงนั้นหาดูได้ยากแล้ว
นอกจากนี้ราคาของหยกเจไดต์มีความผันผวนอย่างมาก แต่โดยรวมแล้วยังเรียกได้ว่ามีแนวโน้มราคาที่สูงขึ้น
สําหรับหยกชนิดเนไฟต์ (Nephrite) จี้เฟิงยังไม่แน่ใจเพราะทั้งสองชนิดนั้นมีความแตกต่างกัน จี้เฟิงยังไม่มีแผนเกี่ยวกับหยกเนไฟต์ดังนั้นเขาจึงได้แค่เปิดดูแบบผ่านๆ
เวลาสิบโมงเช้าในวันแรกของการจัดนิทรรศการ จี้เฟิงก็ได้มาถึงประตูของศูนย์แสดงสินค้า
ในเวลานี้ศูนย์แสดงสินค้าเต็มไปด้วยรถและจัตุรัสตรงทางเข้าก็แออัดไปด้วยผู้คนจํานวนมาก เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ทั้งหมดต่างมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมนิทรรศการในวันนี้
ในความเป็นจริงจี้เฟิงรู้ดีว่าคนที่ยืนอยู่ข้างนอกในตอนนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่มีฐานะและ สถานะที่ไม่เหมาะสมที่จะได้เข้าร่วมในพิธีเปิด เพราะเมื่อเทียบกับคนที่ได้เข้าร่วมในพิธีเปิดแล้ว พวกเขาส่วนใหญ่ก็แทบไม่ต่างจากปลาซิวปลาสร้อย
นี่คือสิ่งที่รู้ดีอยู่แก่ใจ เพราะตอนนี้เขาไม่ได้เป็นแม้แต่ปลาซิวปลาสร้อยด้วยซ้ํา เขายังเป็นเพียง แค่เด็กนักศึกษาคนหนึ่งที่ไร้ความสามารถ แต่อย่างน้อยหากเขาได้เข้าร่วมในนิทรรศการ เขาอาจ จะได้เป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่มีบทบาทสําคัญในอุตสาหกรรมอัญมณีและหยก แล้วบุคคลเช่นนี้จะไม่ก ลายเป็นผู้ที่มั่งคั่งได้อย่างไร?
จี้เฟิงในตอนนี้มีเงินฝากมากกว่า 100,000 หยวน ในจํานวนนั้นมีมากกว่า 60,000 หยวนถูกเก็บไว้ในบัญชีของเซียวหยูซวน
เมื่อคิดถึงเซียวหยูชวน ความรู้สึกโศกเศร้าก็ถาโถมเข้าสู่หัวใจของเขาอีกครั้ง ความงามที่ทําให้หัวใจของเขาไปไหนไม่ได้ ร่างที่เขาเห็นเพียงแวบเดียวในวิทยาเขตของสหพันธ์มหาวิทยาลัยในวันนั้นจะใช่เซียวหยูซวนหรือไม่?
เขาส่ายหัวเล็กน้อยเพื่อสลัดความคิดนี้ออกไป ขณะนี้จี้เฟิงที่ยืนอยู่ขอบด้านนอกหลังสุดของฝูงชนรอที่จะได้เข้าร่วมกับคนเหล่านี้ ในขณะเดียวกันเขาก็อยากฟังคนเหล่านี้พูดคุยกัน เพราะบางทีเขาอาจจะได้รับรู้ข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มเติมที่หาไม่ได้จากในอินเทอร์เน็ต
และแน่นอน จี้เฟิงได้ยินบทสนทนาที่ทําให้เขารู้สึกยิ้มไม่ออก ในวันแรกของนิทรรศการหยกนี้มีไว้สําหรับบุคคลสําคัญโดยเฉพาะหรือคนที่มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอัญมณีเท่านั้น และตั้งแต่วันที่สองเป็นต้นไปจนถึงวันสุดท้ายถึงจะเปิดให้ผู้คนและนักท่องเที่ยวทั่วไปเข้าชมนิทรรศกา
เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้จี้เฟิงก็ไม่มีความจําเป็นที่จะต้องมาเร็วนัก เพราะเขาก็สามารถเข้างานนิทรรศการในฐานะผู้เข้าชมทั่วไปได้ในวันพรุ่งนี้
แต่ในเมื่อตอนนี้เขาอุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว เขาจึงไม่อยากกลับไปทั้งๆแบบนี้ จี้เฟิงเลยตัดสินใจที่จะลองหาทางเข้าให้ได้ในภายหลัง
“พี่เขย ฉันจําได้ว่าธุรกิจอัญมณีของพี่เขยใหญ่มาก พี่จะได้เป็นแขกรับเชิญพิเศษคนหนึ่งในงานนิทรรศการหยกนี้หรือเปล่า?”
ในขณะที่จี้เฟิงฟังบทสนทนาของคนอื่นไปเรื่อย จู่ๆเขาก็เหมือนจะได้ยินเสียงที่คุ้นเคยแล้ว ทันใดนั้นแววตาของเขาก็ฉายแสงเย็นวาบพร้อมกับใบหน้าที่ตึงเครียดขึ้น!
เขาหันศีรษะเล็กน้อยและทันใดนั้นสายตาของเขาก็เห็นเข้ากับร่างงดงามยืนอยู่ตรงที่หนึ่งที่ห่างออกไปประมาณยี่สิบเมตร นั่นคือคนรู้จักเก่าของเขา ชื่อของเธอก็คือ ซูซูฮ่ย!
มีชายและหญิงอีกสองคนยืนอยู่ข้างๆฮซูฮุยและแน่นอนว่าจี้เฟิงก็รู้จักสองคนนี้ หนึ่งในนั้นเป็นผู้หญิงที่ดูมีจริตจะก้านเธอสวมเสื้อตัวเล็กที่ท่อนบนเผยให้เห็นผิวขาวเนียนทั้งเนินอกและหน้าท้องส่วนท่อนล่างเป็นกระโปรงสั้นรัดรูป เธอย้อมผมเป็นสีแดงทําตัวเหมือนผู้หญิงที่ยืนตามข้างถนน
ส่วนอีกคนเป็นผู้ชายที่มีใบหูขนาดใหญ่ที่ต่อให้แดดส่องจากด้านหลังก็ไม่ส่งผลกระทบกับเขา ตอนนี้เขามีเหงื่อออกท่วมไปหมด ดูเหมือนเขาจะอึดอัดมาก
สองคนนี้เป็นพี่สาวและพี่เขยของซูซูฮุยอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสามคน ดวงตาของจี้เฟิงก็หรี่เล็กลงอย่างน่ากลัว เขายังจําได้อย่างชัดเจนว่าในช่วงปิดเทอมฤดูหนาวของม.ปลายปีที่สาม ในตอนที่พวกเขาทั้งสามคนเห็นจี้เฟิงและแม่ของเขากําลังขายผักอยู่ริมถนน สามคนนั้นได้พูดจาดูถูกเหยียดหยามเขาอย่างร้ายกาจ
ก่อนหน้านั้นจี้เฟิงไม่เคยเกลียดฮซูฮุยเลย ถึงแม้เธอจะดูถูกจนทําให้เขารู้สึกโกรธมากก็ตาม แต่สิ่งที่เขาจะยอมไม่ได้เลยนั่นก็คือการที่ซูซูฮุยกับพี่สาวและพี่เขยของเธอนั้นพูดจาดูถูกแม่ของเขาด้วย
จี้เฟิงหันหน้ากลับ เขาไม่ต้องการให้ฮูซูฮุยกับพี่สาวและพี่เขยของเธอเห็นเขาในตอนนี้
ในตอนนั้นเองพี่สาวของซูซูฮุยก็พูดขึ้น “ใช่แล้วเสี่ยวฮุย บริษัทเครื่องประดับของพี่เขยของเธอมีชื่อเสียงมากในเจียงโจว เพราะฉะนั้นในงานแสดงเครื่องประดับนี้พี่เขยของเธอต้องได้ เป็นหนึ่งในบรรดาแขกคนสําคัญของงานนี้อย่างแน่นอน!”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกหน่า- เธอก็พูดเกินไป!” พี่เขยของซูซูฮุยโบกมือแต่ใบหน้าที่บานเป็นกระด้งของเขาไม่สามารถปกปิดความภาคภูมิใจได้
เมื่อจี้เฟิงได้ฟังที่สองคนผัวเมียอวยกันเองก็อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะ
นิทรรศการนี้ได้เริ่มเปิดพิธีตอนเก้าโมงและสิ้นสุดลงในเวลาสิบโมง คนที่ได้รับเชิญในพิธีเปิดคือแขกรับเชิญพิเศษและคนส่วนมากก็เป็นคนที่อยู่ในวงการโดยเฉพาะ และเป็นบุคคลสําคัญจริงๆเท่านั้น
แต่ผู้ชายคนนี้กล้าอวดโดยไม่กลัวเลยว่าคนอื่นจะมองตัวเองเป็นตัวตลก!
จบบทที่ 135