The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 134
บทที่ 134 ชื่อเสียงที่ไม่ดีของตระกูลจี้
“แม่กลับบ้านกันเถอะ!” เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่อยู่ในอ้อมแขนของแม่กระซิบขึ้น “เหยาเหยาหิว เหยาเหยาอยากกินแฮมเบอร์เกอร์!”
คนอื่นๆอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เด็กยังไงก็คือเด็ก ความสุขเพียงอย่างเดียวที่นึกถึงก็คือเรื่องกิน
เมื่อฉินซูเจี้ยและลูกสาวกําลังจะกลับ บรรดาผู้ปกครองคนอื่นๆที่ยืนมุงอยู่โดยรอบก็ต่างพากันหลีกทางให้ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันทําให้ทุกคนแน่ใจได้เลยว่าหญิงสาวแสนสวยคนนี้รักลูกของเธอมากเพียงใด และภูมิหลังของเธอก็ไม่ใช่ใครจะสามารถไปล้ําเส้นได้ง่ายๆ
แม้ว่าบางคนอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อจี้ช่าวเหลย แต่เมื่อคนข้างๆกระซิบบอก พวกเขาก็ถึงกับตัวสั่นด้วยความตกใจ เพราะแม้แต่ลูกชายของเลขาธิการคณะกรรมการพรรคเทศบาลนครเจียงโจวยังไม่รู้จัก จะไม่ให้พวกเขารู้สึกขายหน้าได้อย่างไร?
ฉินซูเจียเดินออกมาและพบกับจี้เฟิงที่ตอนนี้ยืนอยู่ด้านนอกฝูงชน เธอจึงกล่าวขอโทษ “คุณจี้ ฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆ เพราะเรื่องของลูกสาวของฉันเลยทําให้คุณต้องเสียเวลา”
“เรื่องของเด็กสําคัญกว่า!” จี้เฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ผมพอจะถามได้มั้ยครับว่า คุณวางแผนจะทําอย่างไรกับสองคนนั้น?”
“ฉันไม่อยากจะยุ่งกับพวกเขาอีก” ฉินซูเจียส่ายหัวเล็กน้อย “ฉันจึงส่งตัวสองคนนั้นให้กับพ่อของเหยาเหยา”
“สามีของคุณ?” จี้เฟิงผงะไปเล็กน้อยจากนั้นเขาก็พยักหน้า ก่อนหน้านี้เขาได้ยินที่หญิงสาวปากร้ายด่าเด็กน้อยเหยาเหยาว่าเด็กพันทาง มันจึงทําให้จี้เฟิงคิดไปเองว่าเหยาเหยานั้นมีชะตาชีวิตที่ไม่มีพ่อตั้งแต่เด็กๆเหมือนกันกับเขา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าหญิงสาวปากร้ายคนนั้นจะทําเกินไปมากจริงๆ ที่สาปแช่งเด็กน้อยเหยาเหยาทั้งๆที่ไม่รู้จักเธอเลยแบบนี้
หากไม่เป็นเช่นนั้นมันก็คงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้หญิงปากร้ายคนนั้นจะรู้จักต้นกําเนิดของเหยาเหยา แล้วยังจะกล้าทําเรื่องร้ายแรงอย่างอวดดีเหล่านั้นอีก
จี้เฟิงมองไปที่ฉินซูเจี้ยที่สวยและมีเสน่ห์ที่กําลังยืนอยู่ต่อหน้าเขา เธอไม่ทันได้สังเกตแววตาของจี้เฟิงที่เต็มไปด้วยความอิจฉาที่เขามีต่อพ่อของเหยาเหยา
ระหว่างทางกลับเฒ่าหวังยังคงรับหน้าที่เป็นคนขับรถเช่นเดิมโดยมีจี้เฟิงนั่งอยู่ข้างๆคนขับ ส่วนฉินซูเจียกําลังนั่งกอดลูกสาวของเธออยู่ที่เบาะผู้โดยสารด้านหลัง
“แม่คะ น้าคนนี้เป็นใคร?” เหยาเหยาถามขึ้นในขณะที่ซบไหล่แม่ของเธอ
ฉินซูเจียเหลือบมองไปที่จี้เฟิงที่นั่งอยู่ด้านหน้า เธอยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับด้านหลัง “นี่คือน้าจี้เฟิง สวัสดีคุณน้ารึยังคะ”
“สวัสดีค่ะคุณน้าจี้เฟิง!” เด็กหญิงตัวน้อยทักทายอย่างไร้เดียงสา
“ไง เหยาเหยาเ” จี้เฟิงยิ้ม
“เอ๋? คุณน้ารู้จักชื่อเหยาเหยาได้ยังไงคะ” เหยาเหยาดูเหมือนเด็กที่ไม่กลัวอะไรง่ายๆ เธอนั่งอยู่บนตักของแม่และถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “แม่ของเหยาเหยาเคยบอกกับน้าว่า เหยาเหยาเป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซน แถมยังเป็นเด็กอนุบาลที่เก่งที่สุดด้วย!”
ไม่ว่าใครหากได้เจอเด็กที่น่ารักช่างคุยแบบนี้ก็กลัวว่าที่จะอดแซวเธอไม่ได้
“แม่สอนว่าต้องถ่อมตัว” เหยาเหยาส่ายหัวทันที
จี้เฟิงถึงกับชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะทันที จี้เฟิงรู้สึกดีกับฉินซูเจี้ยมากขึ้น เพราะไม่ว่าเธอจะเป็นคนที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่เธอก็รู้จักสอนลูก มันไม่ใช่เรื่องง่ายของคนที่มีฐานะดีและมีอํานาจจะสามารถสั่งสอนให้ลูกเป็นคนรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนได้
คนที่ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีส่วนใหญ่โตขึ้นมาก็จะกลายเป็นคนกตัญญและเป็นคนที่มีคุณภาพต่อสังคม
จากการพูดคุยกันเล็กๆน้อยๆกับเหยาเหยา จี้เฟิงก็รู้ได้ว่าฉินซูเจี้ยเป็นคนที่รู้จักคิด และนอกจากนั้นเธอยังใส่ใจที่จะให้ความรู้และสั่งสอนลูกของเธอเป็นอย่างดีด้วย
สิ่งนี้ทําให้จี้เฟิงพยักหน้าชื่นชมให้กับฉินซูเจี้ยอยู่ในใจ คะแนนของฉินซูเจี้ยเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
จี้เฟิงเห็นด้วยกับประโยคหนึ่งเสมอ “บุคคลที่กตัญญูต่อพ่อแม่ไม่ว่าเขาจะแย่แค่ไหนเขาก็จะไม่กลายเป็นคนเลวเพราะอย่างน้อยเขาก็รู้จักกตัญญกับผู้ที่มีบุญคุณ” อย่างไรก็ตามคนที่ใจดีกับเด็กก็ใช่ว่าเขาจะเป็นคนดีเสมอไป แม้ว่าเสือจะร้ายแต่เสือก็ไม่กินลูกตัวเอง
มีอยู่สองวิธีที่คนส่วนใหญ่จะปฏิบัติกับเด็ก วิธีแรกคือการสปอยล์ สําหรับเด็กที่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยวิธีนี้ส่วนใหญ่พวกเขาจะกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจหรือไม่ซื่อสัตย์
วิธีที่สองคือแบบที่ฉินซูเจี้ยปฏิบัติกับลูกของเธอ สอนให้เด็กรู้จักความยากลําบากอ่อนน้อมถ่อมตนตั้งแต่เด็กๆ พวกเขาจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนดีและมีประโยชน์ต่อสังคมเป็นอย่างมาก
ความคิดเหล่านี้ฉายผ่านอยู่ในความคิดของจี้เฟิง สุดท้ายเขาก็ส่ายหัวและเลิกคิดเรื่องนี้
หลังจากที่บรรยากาศในรถเงียบไปครู่หนึ่ง จี้เฟิงก็ถามขึ้น “คุณฉิน จี้ช่าวเหลยที่คุณพูดถึงเมื่อครู่นี้ เขาเป็นบุคคลที่อันตรายมากเลยเหรอ?”
ฉินซูเจี้ยตกใจกับคําถามของจี้เฟิงเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ส่ายหัวทันทีแล้วกล่าวว่า “ก็ไม่ขนาดนั้น แต่เป็นคนที่แข็งแกร่งมาก…”
เหมือนเธออยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พบว่าขณะนี้พวกเขาได้มาถึงสหพันธ์มหาวิทยาลัยแล้ว
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ขอบคุณมากครับคุณฉิน”
ฉินซูเจียพยักหน้าตอบเล็กน้อย เมื่อเห็นจี้เฟิงลงจากรถ เธอก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “คุณจี้ เกี่ยวกับเรื่องของจี้ช่าวเหลย จะดีที่สุดถ้าคุณจะไม่ถามอะไรเกี่ยวกับเขาอีก มันเป็นเรื่องที่คุณไม่สามารถไปยุ่งเกี่ยวได้ในอนาคตถ้าคุณโตกว่านี้คุณก็จะรู้เองว่าเรื่องบางเรื่องเราก็ไม่ควรที่จะไปรู้หรือไปยุ่งเกี่ยวจะดีกว่า!”
“ครับ! ขอบคุณครับ” จี้เฟิงพยักหน้าอยู่นอกรถ เขารู้ดีว่าฉินซูเจี้ยเตือนเพราะหวังดีกับเขา
เมื่อเห็นจี้เฟิงเดินจากไปพร้อมกระเป๋าเดินทาง ฉินซูเจี้ยก็ถามขึ้นว่า “เฒ่าหวัง คุณคิดอย่างไรกับจี้เฟิงคนนี้”
คนขับรถหวังยังคงมีสีหน้าที่จริงจัง เขานิ่งคิดสักพักแล้วตอบว่า “คุณฉิน ผมคิดว่าผู้ชายคนนี้ค่อนข้างอันตรายนิดหน่อย!”
“หม?” ฉินซูเจี้ยรู้สึกแปลกใจกับคําตอบของเฒ่าหวัง ในบรรดาความคิดเห็นต่างๆที่เธอคิดไว้ เธอไม่ได้คิดถึงคําว่า “อันตราย” ไว้เลย แต่ในเมื่อเฒ่าหวังตอบมาแบบนี้ เธอจึงคิดว่าเขาคงมีเหตุผลของเขาที่คิดเห็นเช่นนี้
“อธิบายให้ฟังหน่อย เขาอันตรายยังไง?” ฉินซูเจี้ยถามอย่างสนใจ
“ผู้ชายคนนี้เขาดูสงบนิ่งเกินไป มันไม่ใช่สิ่งที่วัยรุ่นทั่วไปควรจะเป็น” คนขับรถหวังกล่าว
ฉินซูเจี้ยอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย มันน่าจะจริงอย่างที่เฒ่าหวังว่า จี้เฟิงต้องได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโรงเรียนอนุบาลแล้วแน่นอน แต่หลังจากที่เขาขึ้นรถมาแล้วเขากลับทําตัวเหมือนเดิมทุกประการโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ราวกับว่าเรื่องแบบนี้เป็นเพียงเรี่องธรรมดาในสายตาเขา
เพราะถ้าหากเป็นคนอื่นโดยเฉพาะคนหนุ่มสาวในวัยนักเรียนนักศึกษาพวกเขาจะต้องแสดงอาการประหม่า ประหลาดใจหรืออย่างน้อยๆก็ต้องแสดงความรู้สึกอะไรบางอย่างออกมา แต่จี้เฟิงยังคงสงบนิ่ง เขายังคงพูดคุยและทําตัวปกติได้อย่างหน้าตาเฉย เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้ยิ่งชวนให้รู้สึกฉงน
“นอกจากนี้ในตอนนี้คุณหนูบอกว่าคุณฉินสอนให้พูดจาถ่อมตัวแววตาของเขาแสดงให้เห็นถึงการยอมรับและเห็นชอบ” คนขับรถหวังพูดเสริม
ฉินซูเจียเข้าใจว่าเฒ่าหวังพูดถึงอะไร นักศึกษาคนหนึ่งรู้สึกชื่นชมเจ้าของบริษัท มันหมายความว่ายังไง?
“ช่างเป็นชายหนุ่มที่น่าสนใจ…” ฉินซูเจี้ยอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “เฒ่าหวัง ไปกันเถอะ”
จี้เฟิงไม่รู้ว่าฉินซูเจี้ยและคนขับรถหวังพูดอะไรเกี่ยวกับเขาหลังจากที่เขาลงจากรถไป ในเวลานี้ใบหน้าของจี้เฟิงดูตึงเครียด
ตั้งแต่มาถึงเจียงโจว จนตอนนี้เวลาเพิ่งจะผ่านไปเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ ไม่เพียงแต่จะได้ยินและได้เห็นคนอื่นๆพูดถึงตระกูลจี้ แต่เขายังได้เห็นพฤติกรรมของสองพี่น้อง จี้ช่าวหยินและจี้ช่าวเหลยด้วย
สําหรับจี้ช่าวเหลย จี้เฟิงยังไม่อยากจะสรุปความคิดเห็นเกี่ยวกับเขามากนัก แต่อย่างน้อยเขาก็ได้เห็นว่าจี้ช่าวเหลยไม่ได้สนับสนุนคนอวดดีอย่างโจวต้าหยง
แต่สําหรับจี้ช่าวหยินแล้วความประทับใจของจี้เฟิงที่มีต่อจี้ช่าวหยินนั้นแย่มาก นักเรียนมัธยมต้นคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในเจียงโจว มันช่างเป็นเรื่องตลกจริงๆ อย่างที่พอจะทราบ ผู้ที่อยู่ในแวดวงธุรกิจและเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในเจียงโจวไม่ได้มีเพียงตระกูลจี้เท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น จี้ช่าวหยินยังคงมีชื่อเสียงโด่งดัง นี่จึงพออธิบายได้ว่าจี้ช่าวหยินนั้นเป็นคนที่ชอบอวดเบ่งขนาดไหน!
“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องไปเยี่ยมอาสองของฉันจริงๆซักที!” จี้เฟิงพึมพํากับตัวเอง เดิมทีเขามีความคิดเห็นเกี่ยวกับจี้ช่าวหยินเพียงเล็กน้อย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าชื่อเสียงของตระกูลจในเจียงโจวจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ซึ่งมันทําให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าต้องทําอะไรสักอย่าง
ไม่ว่าชื่อเสียงที่ไม่ดีนี้จะถูกสร้างขึ้นจากผู้อื่นโดยเจตนาหรือเป็นเพราะการกระทําที่แท้จริงของคนในตระกูล ไม่ว่าสาเหตุจะมาจากอะไร คนในตระกูลควรจะพิจารณาถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง มิฉะนั้นผลที่ตามมามันอาจจะเลวร้ายมากกว่าที่คิด
อย่างไรก็ตามหลังจากที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จี้เฟิงก็ตัดสินใจที่จะเลื่อนการไปเยี่ยมอาสองของเขาออกไปก่อนสักพัก เขาต้องการที่จะจัดการเรื่องของตัวเองให้เรียบร้อยก่อน เพราะเกรงว่าเมื่อเขาไปที่นั่น ทุกการเคลื่อนไหวของเขาอาจจะต้องอยู่ในสายตาของอาสองของเขา ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่จี้เฟิงต้องการอย่างแน่นอน
จี้เฟิงมาถึงหอพักที่ว่างเปล่า แต่เขาไม่ได้ใส่ใจ
เพราะตั้งแต่เมื่อก่อน ที่เด็กคนอื่นๆไม่มีใครเต็มใจอยากจะเล่นกับเขา มันทําให้เขารู้สึกเหมือนต้องทนทุกข์ทรมานใช้ชีวิตอย่างเปล่าเปลี่ยวราวกับคนที่มีดวงตามืดบอด เขาเคยชินกับการอยู่คนเดียวมานานแล้ว
หลังจากที่จี้เฟิงอาบน้ําอย่างลวกๆเขาล้มตัวลงนอนไปบนเตียงและคิดถึงสิ่งที่จะทําต่อไป
อย่างไรก็ตามการนอนคิดและจินตนาการก็ไม่ต่างจากสร้างภาพลวงตาที่ไม่มีอยู่จริง มันแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรสําหรับการวางแผนในอนาคต
จี้เฟิงส่ายหัว เขาหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา และส่งข้อความไปหาถังเล่ยและจางเล่ย เพื่อบอกกับพวกเขาว่า ตัวเขานั้นไม่ได้อยู่ที่ค่ายทหารและกลับมาที่หอพักก่อนแล้ว จากนั้นจี้เฟิงก็ใช้โทรศัพท์มือถือของเขาเพื่อท่องอินเทอร์เน็ตและหาข้อมูลข่าวสารต่างๆ
จี้เฟิงค้นหาข่าวเกี่ยวกับเจียงโจวเป็นหลัก แต่หลังจากที่หาดูคร่าวๆแล้วไม่มีอะไรที่น่าสนใจมากนัก เขาจึงคิดที่จะปิดหน้าเว็บนั้นไป
ทันใดนั้นโฆษณาที่เด้งขึ้นมาก็ดึงดูดสายตาของจี้เฟิงทันที มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดนิทรรศการเครื่องประดับและหยก และมันก็ถูกจัดขึ้นในเจียงโจว จี้เฟิงนึกขึ้นได้ว่า ฉินซูเจี้ยหญิงสาวแสนสวยที่เขาพบในวันนี้เธอเป็นเจ้าของบริษัทจิวเวลรี่ไม่ใช่หรือ?
เขาเริ่มรู้สึกสนใจเล็กน้อยและเปิดอ่านอย่างคร่าวๆ
ปรากฏว่าอีกสามวันข้างหน้า ศูนย์จัดแสดงของเจียงโจวจะมีการจัดนิทรรศการหยก และนอกจากจะมีหยกที่ผ่านการเจียระไนอย่างสวยงามแล้วยังมีการจัดแสดงหินหยกหยาบอีกด้วย
จู่ๆจี้เฟิงก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง หินหยกหยาบ?
ดูเหมือนจี้เฟิงจะเคยได้ยินมาว่า หยกนั้นอยู่ในหินที่เรียกว่าหินหยกหยาบ ดังนั้นหากต้องการจะเห็นหยกที่อยู่ในหินก็สามารถใช้วิธีการตัดหินหยกหยาบเหล่านั้น เพื่อดูว่ามีหยกอยู่จริงหรือไม่ มันแทบจะเหมือนเป็นการเสี่ยงดวงอย่างหนึ่งเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามการเสี่ยงดวงกับหินหยกนั้นจะต้องอาศัยสายตาที่มีประสบการณ์และแน่นอนว่ามันจะต้องอาศัยดวงในการเสี่ยงโชคด้วย!
จบบทที่ 134