The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 133
บทที่ 133 ภูมิหลังที่ยอดเยี่ยม
ทันใดนั้นผู้หญิงปากร้ายก็หมดความอดทนเธอหันกลับมาแล้วตะคอกเสียงดัง “ทําไม? หรืออยากจะเสียเงินเพิ่ม!”
ฉินซูเจียส่ายหัวเล็กน้อยแล้วพูดเสียงเย็น “ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน ฉันแค่อยากจะบอกว่าลูกสาวของฉันไปข่วนลูกชายของคุณ ดังนั้นฉันจึงขอโทษและชดใช้ค่าเสียหายตามที่คุณพูด”
“ก็สมควรแล้วนี่ ใครใช้ให้เธอไม่อบรมสั่งสอนลูกให้ดีๆล่ะ” หญิงสาวปากร้ายกล่าวอย่างเหยียดหยาม
“ลูกสาวของฉันจะได้รับการอบรมสั่งสอนมาหรือไม่ ฉันไม่ต้องการให้คนอื่นมาเป็นห่วง”ใบหน้าของฉินซูเจี๋ยสงบนิ่งมาก แต่สิ่งที่เธอพูดต่อไปนี้มันทําให้ทุกคนต้องประหลาดใจ “เรื่องที่ลูกสาวของฉันข่วนลูกชายของคุณ ฉันได้จัดการแก้ไขอย่างถูกต้องตามที่คุณเรียกร้องเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นตอนนี้เรามาคุยเรื่องที่ลูกชายของคุณพูดจาไม่ดีกับลูกสาวของฉัน รวมถึงเรื่องที่คุณตบหน้าลูกสาวของฉันถึงสองครั้ง และตั้งแต่ที่ฉันมาถึงที่นี่จนถึงตอนนี้คุณได้พูดจาด่าลูกสาวของฉันอย่างหยาบคายไปสามประโยค เพราะฉะนั้นฉันก็จะขอคิดบัญชีในเรื่องนี้เช่นกัน!”
“นั่นไง!”
ทุกคนอุทานอยู่ในใจอย่างพร้อมเพียงกัน สาเหตุที่ก่อนหน้านี้ฉินซูเจี๋ยยอมทําตามคําเรียกร้องของอีกฝ่ายโดยไม่โต้แย้ง นั่นเป็นเพราะเธอมีวิธีจัดการในแบบของเธอ และมันก็สมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง ฉินซูเจี๋ย ผู้หญิงคนนี้นอกจากความสวยของเธอจะไม่ธรรมดาแล้ว ความฉลาดของเธอก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน
“ว่าไงนะ!” ผู้หญิงหน้าตาดีแต่ปากร้ายถามย้ําด้วยความโกรธ “เธอกล้ามาคิดบัญชีกับฉันนั้นเหรอ?”
“แล้วทําไมจะต้องไม่กล้าล่ะ” ฉินซูเจี๋ยพูดเบาๆ “ลูกชายของคุณพูดจาไม่ดีกับลูกสาวของฉัน และเขาต้องมาขอโทษลูกสาวของฉัน ส่วนเรื่องที่คุณตบลูกสาวของฉันสองครั้ง ฉันไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการชดเชยเป็นจํานวนเงินหนึ่งร้อยล้านหยวนต่อหนึ่งครั้ง และการตบสองครั้งเท่ากับเป็นเงินสองร้อยล้านหยวน คุณดุด่าลูกสาวของฉันทั้งหมดสามประโยค หนึ่งประโยคเท่ากับเงินหนึ่งร้อยล้านหยวนเช่นเดียวกัน รวมทั้งหมดเป็นเงินที่คุณจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับฉัน และลูกสาวคือห้าร้อยล้านหยวนและพวกคุณทั้งสองคนก็ต้องกล่าวคําขอโทษฉันและลูกสาวเช่นเดียวกัน!”
“เฮือก!”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจลึกๆอีกครั้ง ห้าร้อยล้าน! นี่มันเป็นการคํานวณค่าเสียหายแบบไหน?
ผู้หญิงปากร้ายแทบจะคลั่งด้วยความโกรธ เธอชี้หน้าของฉินซูเจียแล้วพูดอย่างเกรี้ยวกราด “นังสารเลวเธอบ้าไปแล้วรึไง? เงินห้าร้อยล้านเนี่ยนะ คิดว่าจะได้มันมาง่ายๆเหรอ คนอย่างเธอต่อให้ต้องขายเรือนร่างไปตลอดชีวิตก็คงไม่มีวันได้จับเงินมากขนาดนั้นหรอกย่ะ!”
“ถ้าคุณยังพูดจาหยาบคายและดูถูกฉันอีกครั้ง ฉันจะให้คุณชดเชยเป็นเงินหนึ่งพันล้านหยวน!” ฉินซูเจี๋ยพูดเบาๆแต่น้ําเสียงของเธอหนักแน่นและจริงจัง
ในขณะนี้ไม่เพียงแต่ผู้หญิงปากร้ายเท่านั้นที่โกรธจัด แม้แต่ผู้ชายที่เย่อหยิ่งพ่อของโจวเสียวกัง ที่ก่อนหน้านี้มองฉินซูเจี๋ยอย่างหื่นกามมาโดยตลอดก็โกรธมากเช่นกัน เงินหนึ่งพันล้าน แม้ว่าเขาจะทํางานตลอดชีวิตก็ไม่ใช่เงินที่เขาจะหามาได้ง่ายๆ
และถึงแม้ว่าเขาจะหาเงินมาได้จริงๆ เขาก็ไม่มีทางที่จะยอมจ่ายเงินมากขนาดนั้นให้กับฉินซูเจี๋ยอย่างแน่นอน นี่มันเป็นกแต่เขาไม่คิดว่าในตอนที่ขอใารปล้นกันชัดๆ!
ให้ฉินซูเจี๋ยชดใช้เงินจํานวนหนึ่งแสนหยวนโดยไม่มีเหตุผลนั้นก็ไม่ต่างกับการปล้นเช่นกัน
“เฒ่าหวัง โทรไปที่เบอร์นั้นแล้วควบคุมตัวพวกเขาไว้!”
ฉินซูเจี๋ยพูดอย่างแผ่วเบาจากนั้นเธอก็หันไปมองพ่อแม่ของโจวเสียวกัง “วันนี้ฉันเสียเวลากับพวกคุณมามากเกินพอแล้ว และฉันก็ไม่อยากจะเสียเวลาที่มีค่าของฉันไปกับคนอย่างพวกคุณอีก ฉันขอแนะนําอะไรพวกคุณหน่อยก็แล้วกัน ไม่ว่าพวกคุณจะเป็นใคร จะมีแบ็คดีขนาดไหน ฉันไม่สน ถ้าคุณไม่จ่ายเงินหนึ่งพันล้านหยวนเป็นค่าชดเชยให้กับฉัน คุณก็จะต้องจ่ายด้วยชีวิตของพวกคุณ!”
แม้เธอจะพูดอย่างแผ่วเบา แต่น้ําเสียงและประโยคเหล่านั้นเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นอย่างชัดเจน ผู้คนโดยรอบที่ได้ยินต่างอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นด้วยความกลัว มันทําให้พวกเขารู้ซึ้งเลยว่าผู้หญิงที่หน้าตาสวยงามคนนี้โกรธมากขนาดไหนที่ลูกสาวของเธอถูกตบตี
อย่างไรก็ตามจํานวนเงินที่เธอพูดออกมามันออกจะเกินจริงไปหน่อย หนึ่งพันล้าน! เกรงว่าแม้แต่กับตระกูลจี้ที่มีอํานาจอย่างมากในเจียงโจวก็คงไม่กล้าที่จะพูดมันออกมาได้ง่ายๆเช่นนี้
“เหอะ เธอคิดว่าเธอเป็นใคร?” หญิงสาวปากร้ายพูดอย่างดูถูก โดยไม่สนใจคําขู่ของฉินซูเจี๋ยเลยแม้แต่น้อย
แต่นั่นไม่ใช่กับสามีของเธอ เขารู้สึกเอะใจเล็กน้อย เพราะคนที่สามารถควักเงินหนึ่งแสนหยวนออกมาโดยไม่ลังเล ต้องมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา เขาจะประมาทผู้หญิงคนนี้ไม่ได้
“คุณผู้หญิง ที่คุณทํามันมากเกินไปหน่อยหรือเปล่า?” ชายที่เย่อหยิ่งกล่าวด้วยใบหน้าบึ้งตึง ยังไงฉันก็ขอแนะนําตัวก่อนแล้วกัน ฉันชื่อโจวต้าหยง เป็นผู้จัดการแผนกของเจียนอันกรุ๊ป และก็เป็นคนสนิทของจี้ช่าวเหลย ทางที่ดีฉันว่าเราน่าจะทําเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นจะดีกว่านะ หรือคุณว่าไง?”
จี้ช่าวเหลย?
จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อนี้ แน่นอนเขาต้องรู้ว่านี่เป็นชื่อของลูกชายคนรองของอาคนที่สองของเขา และน่าจะเป็นประธานบริษัทเจียนอันกรุ๊ป ว่ากันว่าเขาเป็นนักธุรกิจที่อายุน้อยอนาคตไกลคนหนึ่งและได้รับการยกย่องชื่นชมจากคนในตระกูล
ผู้ชายที่ชื่อโจวต้าหยงคนนี้เป็นคนของจี้ช่าวเหลย?
“เฮ้อ… ทั้งจี้ช่าวหยินและจี้ช่าวเหลย ต่างก็ถือหางคนของตัวเองทําแต่ละเรื่อง…” จี้เฟิงได้แต่ถอนหายใจและพูดกับตัวเองในใจ
“ต้าหยง คุณกําลังพูดอะไร ลูกชายของคุณถูกนั่งเด็กพันทางนี่ข่วนนะ คุณยังจะปล่อยพวกมันไปง่ายๆแบบนี้เหรอ?” หญิงสาวปากร้ายตะคอกอย่างไม่พอใจ
โจวต้าหยงรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิดเขาจึงตะโกนทันที “หุบปาก!”
ฉินซูเจี๋ยไม่ได้ตอบรับข้อเสนอของโจวต้าหยง เธอพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ถ้าจี้ช่าวเหลยต้องการที่จะช่วยเหลือคุณในเรื่องนี้ ก็บอกเขาให้นําเงินหนึ่งพันล้านหยวนมาให้ฉัน และบอกเขาไปว่าชื่อของฉันคือฉินซูเจี๋ย แต่ถ้าเขาไม่คิดที่จะช่วยเหลือคุณและฉันยังไม่เห็นเงินจํานวนหนึ่งพันล้านหยวนภายในวันพรุ่งนี้ เวลานี้ก็บอกให้เขาเตรียมคนมาเก็บศพของพวกคุณสองคนได้เลย!”
หลังจากที่ฉินซูเจี๋ยหยุดพูด โจวต้าหยงและภรรยาของเขาถึงกับตกตะลึง เพราะจากคําพูดของฉินซูเจี๋ยแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้กลัวจี้ช่าวเหลยเลยแม้แต่น้อย
โจวต้าหยงขมวดคิ้วเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ เขาถามอย่างไม่แน่ใจ “เธอ. คุณคือฉินซูเจีย เจ้าของบริษัทซูเหยาจิวเวลรี่?!”
“ใช่ ฉันเอง!” ฉินซูเจี๋ยตอบเสียงเรียบ
จู่ๆโจวต้าหยงก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าๆๆ – ฉินซูเจี๋ย ก็นึกอยู่ว่าจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนถึงได้ไม่กลัวตระกูลจี้ ที่แท้ก็เป็นแค่ผู้หญิงที่ถูกทิ้ง ฉินซูเจี๋ย เธอคิดว่าถ้าจี้ช่าวเหลยมาได้ยินที่เธอพูด เรื่องนี้มันจะจบลงด้วยดีอย่างนั้นเหรอ?”
ฉินซูเจี๋ยกล่าวเบาๆ “เรื่องจะจบลงด้วยดีหรือไม่ฉันไม่รู้ แต่อย่างน้อยฉันก็พอจะมีพรรคพวกอยู่บ้างในเจียงโจว และฉันก็คิดว่าฉันมีความสามารถมากพอที่จะฆ่าคุณ ฉันขอพูดอีกครั้ง จะชดใช้ด้วยเงินหนึ่งพันล้านหยวนหรือจะชดใช้ด้วยชีวิตก็เลือกเอา!”
“เธอไม่กลัวตระกูลจี้จะเอาคืนงั้นเหรอ?” ใบหน้าของโจวต้าหยงมืดลง เขารู้ดีว่าเขาจะยอมอ่อนข้อในเรื่องนี้ไม่ได้
“สําหรับลูกสาวของฉัน ฉันให้ได้แม้กระทั่งชีวิตของฉันเอง แล้วนับประสาอะไรที่ฉันจะต้องกลัวการแก้แค้นของคนอื่น!” ฉินซูเจี๋ยกล่าวอย่างหนักแน่น
ทันทีที่เธอพูดจบ จู่ๆก็มีรถหลายสิบคันมาจอดที่ประตูโรงเรียนอนุบาล หลังจากนั้นก็มีผู้ชายหลายสิบคนลงจากรถและวิ่งตรงเข้ามาภายในโรงเรียนตรงจุดที่พวกเขาอยู่
“พี่หวัง!” ผู้ชายคนหนึ่งวิ่งตรงมาทางคนขับรถหวังอย่างรวดเร็วและกล่าวด้วยความเคารพทันที “ใครกล้าหาเรื่องพี่หวังบอกผมมา ผมจะไปจัดการมันเดี๋ยวนี้!”
“ไปพาตัวเด็กคนนั้นมาให้ฉัน แล้วก็ผู้หญิงคนนั้นด้วย!” คนขับรถหวังพูดด้วยใบหน้าที่เย็นชา พร้อมกับชี้ไปที่ผู้หญิงปากร้ายและเด็กชายโจวเสียวกังที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับเขา
เมื่อเห็นคนที่เป็นหัวหน้าโบกมือ ชายหลายสิบคนก็วิ่งเข้าไปทันที
โจวต้าหยงร้องด้วยความตกใจและตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของหญิงสาวปากร้ายและเสียงร้องไห้ของโจวเสียวกัง
ฉินซูเจี๋ยปิดตาลูกสาวของเธอได้ทันเวลา และรีบอุ้มเธอไว้
โจวเสียวกังและแม่ของเขาถูกจับตัวไว้
และทันทีที่คนขับรถหวังโบกมือชายเหล่านั้นก็พาสองแม่ลูกออกจากโรงเรียนอนุบาล
“เดี๋ยวก่อน!” โจวต้าหยงลุกขึ้นจากพื้น ในตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือดสีหน้าและแววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตอนนี้เขารู้แล้วว่าฉินซูเจี๋ยคนนี้เธอเป็นผู้หญิงที่บ้าบิ่น เธอกล้าทําเรื่องนี้อย่างเปิดเผย ถึงแม้ฉินซูเจี๋ยพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้างในเจียงโจว แต่มันก็เทียบไม่ได้เลยกับจี้ชาวเหลย
อย่างไรก็ตามผู้หญิงคนนี้กล้าทําเรื่องรุนแรงเช่นนี้ในโรงเรียนอนุบาลที่มีพยานรู้เห็นนับสิบ เห็นได้ชัดว่าเธอนั้นไม่ต่างจากหมาจนตรอกที่กล้าแลกทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตเพื่อเป้าหมายที่ต้องการ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจที่กล้าไปท้าทายคนอย่างเธอ รนหาที่ตายแท้ๆ!
“เดี๋ยวก่อน เงิน! ฉันจะยอมชดใช้เป็นเงิน!” โจวต้าหยงขอร้อง “ฉันจะโทรหาคุณจี้ ได้โปรด คุณฉิน ฉันขอเวลาไม่นาน!”
“ได้” ฉินซูเจี๋ยตอบเสียงเย็น
โจวต้าหยงพยักหน้าเล็กน้อย เขาหยิบโทรศัพท์มือถือด้วยมือที่สั่นเทา และกดต่อสายไปยังจี้ช่าวเหลยทันที “คุณจี้ ผมชื่อโจวต้าหยง ผมมีเรื่องจะขอร้องคุณ…”
โจวต้าหยงเล่าเรื่องทั้งหมดโดยละเอียดเขาไม่กล้าปิดบังแม้แต่น้อย ในเวลานี้สีหน้าของเขาเหมือนกับนักโทษที่รอการพิพากษา เขากําลังรอคําตอบจากจี้ช่าวเหลย
มีเพียงความเงียบอยู่ที่ปลายสายแต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงดังขึ้น “ส่งโทรศัพท์ให้ฉินซูเจีย”
ฉินซูเจียรับโทรศัพท์ที่โจวต้าหยงส่งให้และพูดเบาๆ “ฉันฉินซูเจี๋ยพูด คุณมีอะไร?”
สีหน้าของฉินซูเจี๋ยดูจริงจังขึ้นมาทันทีเมื่อรับสายของจี้ช่าวเหลย เธอเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างย่อๆ “ในเมื่อคุณรู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วคุณจะจัดการอย่างไรกับโจวต้าหยงที่เป็นคนของคุณ?”
การสนทนาเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นปลายสายก็พูดอะไรบางอย่างออกมา
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินซูเจี๋ยก็ส่งโทรศัพท์คืนให้กับโจวต้าหยง หลังจากที่รับโทรศัพท์จากฉินซูเจี๋ย โจวต้าหยงก็เอาโทรศัพท์แนบหู ทันทีที่เสียงจากปลายสายพูดเพียงไม่กี่คํา โจวต้าหยงก็หน้าซีดและสั่นไปทั้งตัว เขาค่อยๆทรุดลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
ในเวลานี้ทุกคนต่างรู้ดีว่า คนที่โจวต้าหยงหวังพึ่งบารมีไม่คิดที่จะช่วยเหลือเขาอีกต่อไป ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่มีสีหน้าท่าทางเช่นนี้อย่างแน่นอน
จี้เฟิงที่ยืนปะปนอยู่กับฝูงชนในเวลานี้อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนว่าอํานาจที่ฉินซูเจี๋ยมีจะไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับจี้ช่าวเหลย แต่เธอก็สามารถทําให้จี้ช่าวเหลยลังเลที่จะช่วยเหลือโจวต้าหยงได้ หรือเป็นเพราะโจวต้าหยงนั้นไม่มีค่ามากพอที่จี้ช่าวเหลยต้องช่วยเหลือ
แต่ไม่ว่ายังไงการแสดงออกของจี้ช่าวเหลยในวันนี้ก็ทําให้จี้เฟิงประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เพราะตั้งแต่ที่เขารู้ว่าโจวต้าหยงเป็นผู้จัดการแผนกของเจียนอันกรุ๊ปที่มีจี้ช่าวเหลยเป็นประธาน จี้เฟิงก็ตัดสินใจไว้แล้วว่า ถ้าครั้งนี้จี้ช่าวเหลยยืนยันที่จะใช้อํานาจของตระกูลจี้จัดการกับฉินซูเจี๋ย เขาจะเข้าไปคุยกับจี้ช่าวเหลยโดยตรง
เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าลูกทั้งสามคนของอาคนที่สองของเขาจะอาละวาดในเจียงโจวได้มากขนาดไหน!
โชคดีที่ช่าวเหลยไม่ได้ออกตัวมาปกป้องโจวต้าหยง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามขอแค่เขาไม่ใช้อํานาจเพื่อมาปกป้องคนผิดก็เพียงพอแล้ว จี้เฟิงไม่รู้ว่าภูมิหลังของฉินซูเจี๋ยเป็นอย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างโจวต้าหยงและจี้ช่าวเหลยจะเป็นอย่างไร แต่จี้เฟิงนั้นรู้ว่าสิ่งที่โจวต้าหยงทําในวันนี้ได้กระตุ้นความโกรธของเขา โดยเฉพาะผู้หญิงปากร้ายคนนั้นที่พูดคําว่า “เด็กพันธ์ทาง” ออกมา มันยิ่งทําให้จี้เฟิงโกรธมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม จี้เฟิงแปลกใจเล็กน้อยที่พบว่าเบื้องหลังของฉินซูเจี๋ยและคนขับรถหวังดูเหมือนจะไม่ธรรมดา ทําไมถึงได้มีผู้ชายร่างกายกํายําหลายสิบคนโผล่มาทันทีหลังจากที่โทรศัพท์เพียงครั้งเดียวแถมพวกเขาก็ยังทําตัวกร่างพอสมควร
เห็นได้ชัดว่าจี้เฟิงจะยังไม่ได้รับคําตอบใดๆสําหรับคําถามนี้ในตอนนี้ แต่มันก็ทําให้จี้เฟิงรู้สึกสนใจที่มาที่ไปของฉินซูเจี๋ยมากขึ้น
โจวต้าหยงในเวลานี้มีใบหน้าซีดเซียวร่างกายที่อ่อนปวกเปียกอยู่ที่พื้นกําลังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ในตอนนี้แม้แต่ผู้หญิงปากร้ายที่เคยหยิ่งผยองที่อยู่ข้างๆเขาก็รู้ดีว่าวันนี้พวกเขาได้ทําเรื่องผิดพลาดอย่างมหันต์ พวกเขาดันไปยั่วโมโหคนที่ไม่สมควรไปยุ่งด้วยอย่างเด็ดขาด
เมื่อหญิงสาวปากร้ายรู้ชัดแล้วว่าพวกเธอกําลังจะมีชะตากรรมที่เลวร้าย สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป ร่างกายของเธอสั่นเทิ้มไปด้วยความกลัว แต่เพราะถูกผู้ชายเหล่านั้นจับตัวไว้เธอจึงไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ทรุดลงไปกับพื้น
หญิงสาวเอ่ยปากด้วยเสียงที่สั่นเคลือ “ที่รัก”
โจวต้าหยงส่ายหัวช้าๆ เขาค่อยๆลุกขึ้นและก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว คนขับรถหวังเดินมาขวางไว้ จากนั้นโจวต้าหยงจึงหยุดชะงักเขากัดฟันและคุกเข่าลงตรงหน้าคนขับรถหวัง เขาหันหน้าไปทางฉินซูเจี๋ยแล้วพูดขอร้อง “คุณผู้หญิง วันนี้พวกเราทําสิ่งที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ พวกเราสํานึกผิดแล้ว ได้โปรดปล่อยพวกเราไปเถอะ”
คราวนี้ ใบหน้าของเด็กน้อยโจวเสียวกังไม่มีความเย่อหยิ่งและความภาคภูมิใจที่เรียนรู้จากพ่อของเขาหลงเหลืออยู่บนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย เขาเห็นการกระทําของพ่อที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และในที่สุดเขาก็ร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว
ที่จริงเด็กสามสี่ขวบก็เพียงแค่เลียนแบบพฤติกรรมจากผู้ใหญ่ เราจึงไม่ควรทําสิ่งไม่ดีต่อหน้าเด็กๆ
เพราะสุดท้ายแล้วพฤติกรรมของเด็กจะออกมาในรูปแบบไหน ก็อยู่ที่แบบอย่างใกล้ตัวของพวกเขา
ฉินซูเจี๋ยมองไปที่โจวต้าหยงที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าคนขับรถหวังอย่างเย็นชา เธอไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆบนใบหน้าที่สวยงามของเธอเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์มาตั้งแต่แรกเหล่านั้นจะรู้สึกเห็นใจโจวต้าหยง แต่เมื่อนึกถึงการกระทําและใบหน้าที่เย่อหยิ่งของเขาก่อนหน้านี้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดูถูกและไม่คิดที่จะสงสารเขาอีก
ถ้ารู้ว่าผิดแล้วทําไมถึงทําอย่างนั้น?
ก่อนหน้านี้พวกเขากล้าด่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆว่าเป็นเด็กพันทาง แค่นั้นยังไม่พอ นอกจากพวกเขาจะให้เธอเป็นฝ่ายขอโทษแล้ว ยังจะคิดที่จะเอาเงินค่าชดเชยถึงหนึ่งแสนหยวนอีกด้วย และเมื่อมองไปที่ใบหน้าเล็กๆที่ยังคงมีรอยพิมพ์ของฝ่ามืออยู่ที่แก้มน้อยๆทั้งสองข้างของเด็กหญิง ก็ไม่มีใครอดใจที่จะไม่ก่นด่าสาปแช่งผู้หญิงคนนั้นและโจวต้าหยงได้ การกระทําที่เหมือนกับไม่ใช่มนุษย์ เพราะคงไม่มีมนุษย์จิตใจปกติที่ไหนสามารถทํากับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆเช่นนี้ได้
แม่ของเด็กหญิงสามารถชดเชยได้เท่าที่อีกฝ่ายเรียกร้อง รวมถึงกล่าวคําขอโทษจากปากของเธอและลูกสาว หลังจากนั้นเธอก็เริ่มคิดบัญชีในส่วนของเธอกลับ แต่โจวต้าหยงกลับใจไม่กล้าพอ
ในบรรดาผู้สังเกตการณ์บางคนที่พอจะมีสติสัมปชัญญะ ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวอย่างลับๆ
แม่ของเด็กหญิงที่ดูเหมือนน่าจะมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา เมื่อรู้ว่าลูกสาวถูกตบ ไม่เพียงไม่โกรธเท่านั้น แต่ถึงขนาดพาลูกสาวไปขอโทษ ราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทําร้ายลูกสาวเธอเลย หรือจริงๆแล้วเธอโกรธจนเลยขีดจํากัดไปแล้ว
ดูเหมือนว่าความเป็นไปได้น่าจะเป็นอย่างหลัง
ลูกสาวของเธอถูกตบตีแต่เธอก็ยังให้ลูกสาวและตัวเธอเองไปขอโทษรวมถึงการชดเชยค่าเสียหายตามคําเรียกร้องของอีกฝ่ายทั้งหมด และแน่นอนว่าตอนนี้ถึงเวลาที่เธอจะได้ระบายความโกรธแทนลูกสาวของเธออกมาทั้งหมด
ความคิดเช่นนี้เป็นเรื่องสมเหตุสมผลในสายตาของทุกคนสําหรับเรื่องที่เกิดขึ้น
คนส่วนใหญ่ต่างถามตัวเอง ว่าถ้าหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับลูกสาวของพวกเขา พวกเขาจะสามารถใจเย็นได้เหมือนกับแม่ของเด็กหญิงคนนี้หรือไม่? แน่นอนว่าคําตอบคือไม่!
จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ไม่ว่าแม่ของเด็กหญิงจะใช้วิธีไหนมาจัดการ มันจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
โดยเฉพาะในตอนที่พฤติกรรมของแม่ของเด็กหญิงตัวน้อยกําลังพูดว่า “สําหรับลูกสาวของฉัน ฉันสามารถสละชีวิตของฉันได้ เพราะฉะนั้นฉันไม่มีทางยอมให้ลูกสาวของฉันถูกคนเลวๆกระทําโดยไม่มีเหตุผล และพวกเขาจะต้องได้รับผลกรรมที่ทําไว้ด้วยชีวิต!”
ในตอนที่โจวเสียวกังและหญิงสาวปากร้ายถูกจับ พวกเขาตัวสั่นไปด้วยความกลัว แต่ดวงตาของพวกเขาก็ยังคงมีความหวัง พวกเขามองไปที่โจวต้าหยงที่เดินปวกเปียกและทรุดลงกับพื้น เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถช่วยพวกเขาสองแม่ลูกได้ในเวลานี้
อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นท่าทีของโจวต้าหยง สองแม่ลูกก็หันไปมองฉินซูเจี๋ย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้คือตัวการสําคัญที่กุมชะตาชีวิตของพวกเขาไว้ และในท้ายที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้แล้วว่าพวกเขานั้นได้ทําอะไรลงไป
“โจวต้าหยง ลูกชายของคุณพูดจาเลวร้ายกับลูกสาวของฉัน แต่ฉันจะไม่ถือสาเพราะเขายังเป็นเด็ก และอาจจะทําไปเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์”
ฉินซูเจี๋ยมองไปที่โจวต้าหยงที่นั่งกองกับพื้นอย่างคนไร้วิญญาณ เธอชี้ไปที่ผู้หญิงปากร้ายและพูดอย่างเย็นชา “ผู้หญิงคนนี้ตบลูกสาวของฉันถึงสองครั้ง แม้กระทั่งตัวคุณก็อย่าคิดว่าจะรอดไปได้ และยังจะให้ฉันปล่อยพวกคุณไป มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ?”
จากนั้นนินซูเจี๋ยหันหน้าไปทางคนขับรถหวังและพูดว่า “เฒ่าหวัง ปล่อยเด็กผู้ชาย และพาตัวสองคนนั้นไป!”
“ครับ!” คนขับรถหวังพยักหน้าอย่างนอบน้อม
ฉินซูเจี๋ยอุ้มลูกสาวขึ้นมา เธอจูบไปที่แก้มน้อยๆของเด็กหญิงและถามด้วยความรักความห่วงใยว่า “เหยาเหยา แก้มของหนูยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?”
“ไม่เจ็บอีกแล้ว แม่อยู่ที่นี่เหยาเหยาไม่เจ็บแล้ว!” เด็กหญิงตัวเล็กๆพูดตอบเสียงใส เธอยังเด็กเกินไปคําพูดจึงไม่ค่อยชัดเจน แต่น้ําเสียงที่สดใสเหมือนกระดิ่งสีเงินเป็นเสียงที่ฟังแล้วสบายใจมาก
“เอาพวกมันออกไป!” คนขับรถหวังโบกมือสั่งการ
ผู้ชายร่างกํายํารีบวิ่งไปจับผู้หญิงปากร้ายและโจวต้าหยง และจับพวกเขายัดเข้าไปในรถ ตอนนี้เหลือเพียงเด็กน้อยโจวเสียวกังคนเดียวที่กําลังยืนร้องไห้
ฉินซูเจี๋ยเห็นดังนั้น เธอจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยและหันไปพูดกับครูอนุบาลว่า “คุณครู รบกวนติดต่อครอบครัวคนอื่นๆของโจวเสียวกังด้วย และให้เขามารับเด็กกลับบ้าน หรือคุณต้องการจะโทรหาตํารวจให้เขามาจัดการเรื่องนี้ก็ได้”
ทันใดนั้นครูสาวรู้สึกตกใจ เธอรีบส่ายหัว พูดเป็นเล่น! คนที่โทรเพียงกริ้งเดียวก็มีผู้ชายร่างกายกํายําหลายสิบคนโผล่มาอย่างรวดเร็วได้แบบนี้ แม้แต่มองหน้าฉินซูเจี๋ยตรงๆเธอยังไม่กล้าแล้ว เธอจะกล้าโทรแจ้งตํารวจได้อย่างไร?
โดยไม่มีทางเลือกอื่นอีก ครูสาวจึงหยิบโทรศัพท์ที่บันทึกรายชื่อต่างๆของผู้ปกครองขึ้นมาและเลื่อนหาหมายเลขโทรศัพท์เพื่อติดต่อญาติคนอื่นๆของโจวเสียวกัง
จบบทที่ 133