The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 132
บทที่ 132 เหตุการณ์ในโรงเรียนอนุบาล
ทันทีที่รถจอดฉินซูเจี๋ยก็รีบเปิดประตูและวิ่งลงจากรถอย่างรวดเร็วเพื่อเข้าไปในโรงเรียนอนุบาล เธอรีบจนไม่ทันได้บอกกล่าวอะไรกับจี้เฟิง
“คุณจได้โปรดรอในรถสักครู่” คนขับรถหวังไม่ลืมที่จะบอกกับจี้เฟิง เขากล่าวอย่างรวดเร็ว และวิ่งตามฉินซูเจี๋ยไปทันที
เมื่อไม่เหลือใครอยู่ในรถ และยังมีเรื่องเกิดขึ้นกับเด็ก ไม่ว่าเป็นใครก็คงจะนั่งรออยู่ในรถเฉยๆไม่ได้ จี้เฟิงจึงวางกระเป๋าและเปิดประตูรถเดินตามออกไป
มีกลุ่มคนจํานวนหนึ่งยืนอยู่ที่สนามเด็กเล่น มีทั้งเด็กอนุบาลและผู้ใหญ่ที่น่าจะเป็นผู้ปกครองของเด็กเหล่านั้น จี้เฟิงที่มองเห็นจากระยะไกลจึงพอจะเดาได้ว่าตรงนั้นน่าจะเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องที่เกิดขึ้น
จี้เฟิงลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็รีบเดินไปยังสนามเด็กเล่นที่มีกลุ่มคนมุงอยู่
“ไม่สําคัญว่าวันนี้ใครจะมาที่นี่ แต่คุณต้องมีคําอธิบายให้กับเรา ถ้าไม่อย่างนั้นก็อย่ามาโทษฉันแล้วกัน ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับโรงเรียนของคุณ!”
ทันทีที่จี้เฟิงเข้าใกล้ฝูงชน เขาก็ได้ยินเสียงที่แหลมบาดหูจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างใน มันทําให้หูของเขาแทบชา ผู้หญิงคนนี้ดูเป็นคนปากร้ายไม่เบา
จี้เฟิงรีบขยับเข้าไปใกล้ตรงใจกลางของกลุ่มคนที่กําลังมุงอยู่ เขาสามารถหาช่องทางเบียดแทรกเข้าไปได้อย่างเงียบเชียบ และฉากตรงหน้าก็ทําให้เขาถึงกับขมวดคิ้วทันที
ภาพที่เขาเห็นคือ คนขับรถของฉินซูเจี๋ยตอนนี้ยืนอยู่ตรงกลางมีฉินซูเจียกําลังดึงเด็กผู้หญิงอายุประมาณสามขวบที่กําลังร้องไห้ไปปลอบและลูบแก้มของเธอเบาๆอยู่ที่ด้านหลังของคนขับรถหวัง บนใบหน้าที่ไร้เดียงสาของเด็กหญิงมีร่องรอยของการถูกตบอยู่ที่แก้มทั้งสองข้างของเธออย่างชัดเจน
ถัดจากเด็กหญิงตัวน้อยก็มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งยืนอยู่เธอมีสีหน้าเศร้าหมอง ผู้หญิงคนนี้น่าจะมีอายุประมาณ 20 กลางๆดูเหมือนว่าเธอเพิ่งจบมหาวิทยาลัย และน่าจะเป็นครูที่อยู่ในโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้
คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับคนขับรถหวังมีผู้ชายรูปร่างกํายําสวมใส่สร้อยทองเส้นหนารอบคอและนิ้วมือที่เต็มไปด้วยแหวนทอง ชายคนนี้น่าจะอายุสามสิบเขามีสีหน้าหยิ่งผยองและอวดดีกําลังจ้องมองคนขับรถหวังอย่างดุร้าย
ข้างๆชายคนนี้มีผู้หญิงหน้าตาดีแต่ดูร้ายๆกับเด็กผู้ชายอายุประมาณสามหรือสี่ขวบ แต่สิ่งที่ทําให้จี้เฟิงรู้สึกมองบนเล็กน้อยคือสีหน้าท่าทางที่เย่อหยิ่งของเด็กผู้ชายซึ่งเหมือนกับผู้ชายคนนั้นทุกกระเบียดนิ้ว
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็คงจะพอทําให้จี้เฟิงเดาได้ไม่ยากว่าเด็กน้อยที่เป็นลูกสาวของฉินซูเจี๋ยนั้นมีความขัดแข้งกับเด็กผู้ชายที่หน้าตาเย่อหยิ่ง อย่างไรก็ตามรอยตบทั้งสองข้างบนแก้มของเด็กหญิงก็ทําให้จี้เฟิงขมวดคิ้วและมีสีหน้าที่ตึงเครียด
“คุณผู้ปกครองคะ ตอนนี้ดิฉันว่าใจเย็นๆก่อนดีกว่าค่ะ เพราะการที่พวกคุณทะเลาะกันที่นี่มันไม่ดีสําหรับเด็กๆ!” ครูอนุบาลสาวพูดด้วยสีหน้าลําบากใจ
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว จากที่มองเขาก็พอจะรู้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความมั่นใจในอิทธิพลของฝ่ายตัวเอง เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมจบเรื่องนี้ลงง่ายๆ
โดยเฉพาะฉินซูเจี๋ย จากท่าทางและสายตาที่ดูเป็นกังวล ในฐานะคนเป็นแม่ที่ลูกสาวถูกตบตี เธอไม่มีทางปล่อยให้เรื่องนี้จบลงง่ายๆอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามก่อนที่ฉินซูเจี๋ยจะทันได้เอ่ยปาก ผู้หญิงที่หน้าตาดูร้ายๆที่ตอนนี้ยืนประจันหน้ากับคนขับรถหวังก็ตะโกนด้วยเสียงที่แหลมเล็กบาดหู “ใจเย็น? ฝันไปเถอะ! ลูกชายของเราไม่ได้เป็นฝ่ายผิด ฉันเลี้ยงลูกมาอย่างทะนุถนอมไม่เคยตีเขาแม้แต่ครั้งเดียว แล้วอยู่ดีๆก็ถูกเด็กที่พ่อแม่ไม่สั่งสอนมาทําร้าย แล้วยังจะให้ฉันใจเย็นและยอมจบเรื่องนี้อีกงั้นเหรอ?!”
“คือ…” คุณครูสาวก็รู้สึกอับอายในความบกพร่องในหน้าที่ไม่น้อย เพราะอันที่จริงเรื่องนี้อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของเธอ แต่เธอเป็นเพียงแค่หญิงสาวที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยมาหมาดๆจึงไม่มีประสบการณ์และความสามารถพอที่จะจัดการกับเรื่องนี้ได้
คุณครูสาวรู้สึกวิตกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ เธอโทรหาครูใหญ่โรงเรียนอนุบาลนานเกินกว่าสิบนาทีแล้วแต่ครูใหญ่ก็ยังไม่มา แล้วฉันจะจัดการอย่างไรกับเรื่องนี้?!
“นังผู้หญิงไร้สมองเธอยังจะกล้าปกป้องเด็กนั่นทั้งๆที่มันทําผิดอีกงั้นเหรอ?” เมื่อเห็นว่าฉินซูเจี๋ยไม่ได้ตอบโต้ แต่กลับนั่งยองๆจับมือเล็กๆของลูกสาวและลูบแก้มของเธอเบาๆอย่างอ่อนโยน โดยไม่ได้สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย ผู้หญิงปากร้ายก็โมโหและพูดจาเหน็บแนมอย่างหยาบคาย “นังเด็กไม่มีพ่อ ลูกของเธอมันมาข่วนลูกชายฉัน ให้มันมาขอโทษลูกฉันเดี๋ยวนี้!”
“คุณผู้หญิงถ้าคุณหยาบคายอีกครั้งอย่าหาว่าผมไม่เตือน!” เมื่อคนขับรถหวังเห็นผู้หญิงปากร้ายคนนั้นก่นด่าอย่างหยาบคายซ้ําแล้วซ้ําเล่า จึงกล่าวเตือนด้วยใบหน้าถมึงทึง
“ว่าไงนะ?!”
ชายร่างกํายําข้างๆหญิงสาวปากร้ายถามกลับด้วยน้ําเสียงเย็นชา “ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนอย่างคุณจะทําอะไรได้? หรือเก่งแต่ปาก!”
คนขับรถหวังขมวดคิ้วเขาหันไปมองที่ฉินซูเจี๋ยและพบว่าเธอยังคงนั่งยองๆเพื่อปลอบโยนลูกสาวของเธอ เขาจึงทําได้แค่เพียงกัดฟันอดทนและไม่ได้โต้ตอบอะไรออกไป อย่างไรก็ตามสีหน้าของเขาในเวลานี้กลับน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว
เมื่อเห็นว่าคนขับรถหวังไม่กล้าเถียง ผู้หญิงปากร้ายก็ได้ใจมากขึ้นเธอตะโกน “นี่! นังผู้หญิงสารเลว อย่ามัวแต่หลบอยู่ข้างหลังแสร้งทําตัวหน้าสงสาร และรีบพาอีเด็กพันทางนั่นมาขอโทษลูกชายของฉัน และชดใช้ค่าเสียหายเดี๋ยวนี้!”
จี้เฟิงเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ไม่ไกลอย่างเงียบๆ เขาไม่ได้พูดและไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆออกมา อย่างไรก็ตามหากมีคนที่คุ้นเคยสนิทสนมกับเขาอยู่ที่นี่ด้วยจะรู้ได้ในทันทีว่าจี้เฟิงในเวลานี้เต็มไปด้วยความโกรธ
“ไอ้เด็กพันทาง!”
คําๆนี้เป็นคําที่อี้เฟิงคุ้นเคยเป็นอย่างดี มันอยู่กับเขามาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต เพียงเพื่อกําจัดคํานี้ ไม่รู้ว่าเขาต้องต่อสู้กับคนอื่นมากี่ครั้ง จนเมื่อเวลาผ่านไปพร้อมกับเขาที่เติบโตขึ้น คําๆนี้มันก็ค่อยๆจางหายไป
แต่ตอนนี้เขากลับต้องมาได้ยินมันอีกครั้ง แม้ว่าคนที่พูดจะไม่ได้หมายถึงเขาก็ตาม แต่มันก็เพียงพอที่จะกระตุ้นความโกรธที่อยู่ในใจของเขาขึ้นมาอีกครั้ง คําว่าไอ้เด็กพันทางถือว่าเป็นความอัปยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสําหรับเขา!
จี้เฟิงยืนกําหมัดแน่นอย่างเงียบๆพยายามข่มใจที่จะไม่ยุ่งกับเรื่องที่เขาไม่ได้เกี่ยวข้อง เขาได้แต่เพียงสงสัยว่าฉินซูเจี๋ยจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร แม้ว่าพ่อของเด็กผู้ชายคนนั้นดูจะเป็นคนที่พอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง แต่จี้เฟิงก็มั่นใจในระดับหนึ่งว่าภูมิหลังของฉินซูเจี๋ยก็ไม่น่าจะด้อยไปกว่าผู้ชายที่เย่อหยิ่งคนนั้นแน่นอน
ฉินซูเจี๋ยปลอบโยนลูกสาวของเธออย่างนุ่มนวลจนกระทั่งลูกสาวของเธอหยุดร้องไห้ ฉินซูเจี๋ยจึงยืนขึ้นและค่อยๆหันหน้ากลับมาและจูงมือเล็กๆของเด็กหญิงไปที่ด้านหน้าของคนขับรถหวัง และส่งให้คนขับรถหวังอุ้มเธอไว้
จากนั้นเธอก็มองไปที่พ่อแม่ของเด็กชายตัวน้อยด้วยสายตาที่เย็นชาอยู่ครู่หนึ่งและหันไปมองครูสาวและถามอย่างใจเย็น “วันนี้เกิดอะไรขึ้น?”
ครูสาวไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นสบตากับการจ้องมองของฉินซูเจี๋ย แต่หลังจากที่ครูสาวเหลือบมองไปที่เด็กหญิงเธอก็เปิดปากพูดออกมาเบาๆว่า “เรื่องมันเกิดขึ้นในตอนที่ผู้ปกครองท่านอื่นๆกําลังมารับลูกๆของพวกเขา แต่ฉินหยุนเหยายังไม่มีใครมารับ โจวเสี่ยงกังจึงบอกกับฉินหยุนเหยาว่าเธอเป็นเด็กที่ไม่มีใครรัก เลยไม่มีใครมารับเธอ”
ทันใดนั้นสายตาของฉินซูเจี๋ยก็เย็นลงและเธอก็ถามว่า “แล้วยังไงต่อ?”
“จากนั้นฉินหยุนเหยาก็จ้องมองโจวเสียวกังและปรากฏว่า…” ครูสาวเหลือบมองไปที่พ่อแม่ของเด็กน้อยโจวเสียวกังและพูดอย่างกล้าๆกลัวๆ” จากนั้นแม่ของโจวเสียวกังก็ดุฉินหยุนเหยาว่าเป็นเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน ฉินหยุนเหยาจึงโกรธและข่วนโจวเสียวกัง แล้ว…. แม่ของโจวเสี่ยงกังก็เข้ามาตบฉินหยุนเหยาสองครั้ง คุณฉิน ฉันขอโทษจริงๆ ฉันขอโทษที่ไม่สามารถหยุดเรื่องนี้ได้ทัน!”
ฉินซูเจี๋ยพยักหน้าและพูดว่า “ฉันเข้าใจ ฉันคงว่าอะไรคุณไม่ได้ถ้าคุณได้พยายามทําอย่างเต็มที่แล้ว”
ครูสาวถอนหายใจเบาๆด้วยความโล่งอก
หลังจากที่รับฟังเรื่องราวทั้งหมดฉินซูเจี๋ยก็หันไปทางพ่อแม่ของโจวเสียวกัง แล้วถามอย่างใจเย็น “สําหรับเรื่องทั้งหมดนี้ คุณมีอะไรจะพูดมั้ย?”
แม้ว่าน้ําเสียงของเธอจะสงบ แต่ทุกคนที่มุงดูอยู่ต่างรับรู้ได้ว่าภายใต้น้ําเสียงที่สงบนั้นแฝงไปด้วยความโกรธที่อาจจะระเบิดออกมาได้ทุกเวลา เพราะไม่ว่าจะเป็นใครหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับลูกของตนเองที่ถูกคนอื่นดุด่าและตบตี คนเป็นพ่อแม่จะไม่มีวันยอมทนรับเรื่องนี้ได้ง่ายๆอย่างแน่นอน แล้วนับประสาอะไรกับฉินซูเจี๋ยที่เป็นถึงเจ้าของบริษัทจิวเวลรี่
“มีสิ ก็ลูกของเธอข่วนลูกชายของฉัน เธอก็ต้องรับผิดชอบให้ลูกสาวของเธอมาขอโทษลูกชายของฉัน พร้อมกับเธอต้องชดใช้ค่าเสียหายทางจิตใจและร่างกายของลูกชายฉันด้วย!” หญิงสาวปากร้ายพูดขึ้นทันที
แต่ดวงตาของผู้ชายร่างกํายําที่ยืนข้างๆเธอสว่างขึ้นเมื่อมองไปที่เรือนร่างที่งดงามอย่างไม่มีใครเทียบได้ของฉินซูเจี๋ย ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความโลภและตื่นกระหายจนแทบจะกลืนกินนินซูเจี๋ยได้ในคําเดียว
จู่ๆพ่อแม่ของเด็กๆในโรงเรียนอนุบาลต่างก็เริ่มพูดคุยซิบซิบกัน ทุกคนได้ยินสิ่งที่ครูสาวเล่าว่า ผู้หญิงที่หน้าตาดีแต่ปากร้ายคนนี้ดุด่าลูกคนอื่นและยังตบตีเด็กหญิงตัวน้อยที่ชื่อฉินหยุนเหยาอีกด้วย แต่พวกเธอกลับต้องการคําขอโทษและเงินชดเชย นี่มันมันมากเกินไป
อย่างไรก็ตามไม่มีใครกล้าพูดออกมาดังๆ เพราะเมื่อแวบแรกที่มองชายร่างกายกํายําที่สวมใส่ทองคนนี้พวกเขาก็พอจะเดาได้ว่าผู้ชายคนนี้คงมีอิทธิพลหรืออํานาจมากพอที่อาจจะทําให้พวกเขาเดือดร้อนได้ถ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของพวกเขา
ดังนั้นทุกคนจึงทําแค่แอบกระซิบกระซาบและแอบมองไปที่ฉินซูเจี๋ยว่าเธอจะมีปฏิกิริยา
อย่างไรก็ตามเธอกลับทําในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่พวกเขาคิดไว้ว่าเธอจะทําอย่างสิ้นเชิง ฉินซูเจียมีทีท่าไม่แยแสกับเรื่องนี้ เธอพยักหน้าและพูดว่า “ลูกสาวของฉันทําร้ายลูกชายของคุณจริง ดังนั้นพวกเราควรขอโทษและชดเชยความเสียหายอย่างเหมาะสม คุณต้องการให้ฉันชดใช้เงินเป็นจํานวนเท่าไหร่?”
หญิงสาวปากร้ายตาโตและรู้สึกตื่นเต้นทันทีเมื่อได้ยิน เธอตะโกนเสียงดังว่า “หนึ่งแสน! เงินจํานวนหนึ่งแสนหยวนเป็นค่าทําขวัญที่ลูกของเธอทํากับลูกชายอันแสนมีค่าของฉัน และถ้าขาดไปแม้แต่หยวนเดียวเรื่องนี้จะต้องไม่จบง่ายๆแน่!”
“ตกลง ฉันจะจ่ายเงินจํานวนหนึ่งแสนตามที่คุณเรียกร้องมา!” ฉินซูเจี๋ยพยักหน้าทันทีและพูดกับคนขับรถหวังที่อยู่ข้างๆเธอ “เฒ่าหวัง รบกวนไปหยิบกระเป๋าของฉันที่รถมาให้หน่อยได้มั้ยคะ”
แม้ว่าคนขับรถหวังจะยังรู้สึกงงงวย แต่เขาก็พยักหน้าและทําตามคําสั่งทันที
จี้เฟิงที่เฝ้าดูอยู่เงียบๆ เขารู้ดีว่าฉินซูเจี๋ยจะไม่มีทางยอมแพ้ให้กับเรื่องนี้ง่ายๆอย่างแน่นอน เธอจะต้องมีแผนการอะไรบางอย่าง เพียงแค่ว่าตอนนี้ยังไม่มีใครเห็นเงินจํานวนหนึ่งแสนหยวนจริงๆ จึงไม่มีใครรู้ว่าฉินซูเจี๋ยต้องการจะทําอะไรกันแน่
หลังจากนั้นไม่นานคนขับรถหวังก็เดินกลับมาพร้อมกระเป๋าใบหนึ่ง เขาส่งให้ฉินซูเจี๋ย
“คุณบอกว่าคุณต้องการให้ฉันชดใช้ให้เป็นจํานวนเงินหนึ่งแสนหยวนใช่มั้ย?” ฉินซูเจี๋ยถามเบาๆหลังจากรับกระเป๋าจากคนขับรถหวัง
“ถูกต้อง ลูกชายของฉันเป็นคนบอบบางมาก คุณจะจ่ายน้อยกว่าหนึ่งแสนหยวนไม่ได้หรอกนะ!” หญิงสาวปากร้ายกล่าวอย่างเหยียดหยาม
“คุณแน่ใจใช่มั้ยว่าค่าชดเชยในเรื่องนี้คือเงินจํานวนหนึ่งแสนหยวน!” ฉินซูเจี๋ยถามย้ําอีกครั้ง
“เอ๊ะ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง! ฉันบอกว่าหนึ่งแสนก็หนึ่งแสนสิ ยืดเยื้อเพราะไม่มีปัญญาจะจ่ายก็พูดมาตรงๆ!” หญิงสาวปากร้ายตะคอกอย่างดูถูก
“โอเค หนึ่งแสนหยวน ไม่มีปัญหา!” ฉินซูเจี๋ยหยิบเช็คจากกระเป๋าของเธอและเขียนตัวเลขจํานวนหนึ่งแสนและยื่นให้คนขับรถหวังนําไปส่งให้กับผู้หญิงปากร้ายคนนั้น “นี่คือเช็คเงินสดจํานวนหนึ่งแสนหยวน คุณสามารถนําไปขึ้นเงินได้ตลอดเวลา”
“เฮือก!”
ฝูงชนที่มุงอยู่โดยรอบต่างอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ สําหรับครอบครัวทั่วไปเงินจํานวนนี้เป็นเงินจํานวนที่เยอะมาก ไม่มีใครคาดคิดว่าผู้หญิงแสนสวยคนนี้จะจ่ายเงินหนึ่งแสนหยวนโดยไม่ลังเล ราวกับว่าเธอกําลังจ่ายเงินเพียงแค่สิบหยวนเท่านั้น
ผู้หญิงปากร้ายเมื่อได้รับเช็คเงินสดจํานวนหนึ่งแสนหยวนแล้วใบหน้าของเธอก็แสดงความภาคภูมิใจมากขึ้นกว่าเดิม แต่เมื่อหันไปเห็นสามีของเธอที่กําลังมองฉินซูเจี๋ยด้วยแววตาตื่นกระหาย ความโกรธก็มาแทนที่ความภาคภูมิใจเมื่อครู่ของเธอทันที แต่เธอก็รู้ดีว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาดุด่าสามี เธอจึงทําได้แค่เพียงมองไปที่ฉินซูเจี๋ยด้วยแววตาที่แทบจะลุกเป็นไฟ
“จ่ายเงินแล้วก็จริง แต่เธอลืมอะไรไปหรือเปล่า? เธอยังไม่ได้กล่าวขอโทษฉันกับลูก!” หญิงสาวปากร้ายพูดด้วยน้ําเสียงไม่ค่อยพอใจ
ฉินซูเจี๋ยพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ก้มลงไปกอดลูกสาวของเธอและกระซิบเบาๆ “เหยา เหยา หนูข่วนเพื่อนใช่มั้ยคะ เพราะฉะนั้นหนูต้องขอโทษเพื่อนกับคุณแม่ของเขา หนูรู้ใช่มั้ยคะ?”
เด็กหญิงตัวเล็กๆพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “คุณน้าหนูทําให้คุณน้าโกรธ หนูขอโทษ อย่าโกรธหนูเลยนะคะ”
จากนั้นเด็กหญิงก็หันไปพูดกับโจวเสียวกัง “โจวเสียวกังฉันขอโทษ”
“ฉันขอโทษ!” ฉินซูเจี๋ยก็พูดขอโทษเช่นกัน
“เหอะ!”
หญิงสาวปากร้ายตะคอกอย่างเย่อหยิ่ง “สั่งสอนลูกสาวของเธอให้ดีๆหน่อยก็แล้วกัน ไม่งั้นคนอื่นเขาจะคิดว่าเด็กคนนี้ไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอน!”
หลังจากพูดจบ หญิงสาวปากร้ายก็จับแขนสามีของเธอและจูงมือโจวเสี่ยงกังลูกชายของเธอด้วยมืออีกข้างก่อนที่จะสะบัดหน้าพร้อมกับหมุนตัวเพื่อเดินออกไป
ในขณะนั้นเองเสียงของฉินซูเจี๋ยก็ดังขึ้น “เดี๋ยวก่อน!”
จบบทที่ 132