The simple life of the emperor - ตอนที่ 118
เรื่องราวที่สำนักอัคคีถูกเผาต่างถูกพูดถึงในโลกวรยุทธอย่างกว้างขวาง เพียงแค่วันเดียวข่าวของสำนักอัคคีที่ถูกเผาโดยคนๆเดียวก็ถูกประกาศออกไปทั่วอย่างรวดเร็ว
เหล่าสำนักใหญ่ต่างตื่นตระหนกและหวาดกลัวคนที่สามารถเผาสำนักอัคคีได้ด้วยตัวคนเดียว ต้องรู้ก่อนว่าแม้สำนักอัคคีจะเป็นเพียงสำนักย่อยของหนึ่งในสำนักโบราณแต่ถึงอย่างงั้นสำนักอัคคีก็ใช่ว่าจะอ่อนแอ พวกเขานั้นมีศิษย์หลายพันคนและแต่ละคนนั้นก็ต่างเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยาก
ไม่ต้องพูดถึงเหล่าอาจารย์ภายในสำนักที่ต่างมีการบ่มเพาะสูงส่ง แต่เมื่อวานสำนักของพวกเขากลับถูกเผาทำลายโดยที่พวกเขายังไม่ทันจะได้ตอบโต้ด้วยซ้ำ แทบข่าวยังบอกด้วยอีกว่าคลังสมบัติของพวกเขายังถูกปล้นไปอีกด้วย
ในตอนแรกพวกเขาต่างไม่เชื่อในข่าวเหล่านี้เพราะมันเป็นการยากมากที่จะสามารถโจมตีสำนักใหญ่สักแห่ง ไม่ต้องพูดถึงการสูญเสียอย่างมากของทั้งสองฝ่ายหากเกิดการต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ เพียงแค่เรื่องที่สำนักอัคคีนั้นเป็นสำนักย่อยของสำนักโบราณนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้สำนักอื่นๆไม่กล้าที่จะขัดใจพวกเขาแล้ว
แต่เมื่อพวกเขานั้นได้รับการยืนยันมาจากหนึ่งในศิษย์ของสำนักอัคคีที่รอดชีวิตพวกเขาก็ต้องเชื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่ศิษย์คนนั้นเล่ามามีเรื่องอยู่ว่าเมื่อวานนั้นหลังจากที่เขากำลังทำการฝึกเหมือนอย่างในทุกๆวันนั้นก็ได้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาทำลายประตูของสำนัก เด็กหนุ่มคนนั้นไม่มีการพูดพร่ำทำเพลงใดๆเขาได้จุดเปลวเพลิงสีทองขึ้นมาและทำให้มันพุ่งเข้าเผาอาคารบ้านเรือนต่างๆในสำนักทันที
เหล่าศิษย์ที่เห็นว่าอาคารต่างๆกำลังถูกเผาพวกเขาก็พยายามที่จะดับมันแต่เมื่อพวกเขาได้สัมผัสเข้ากับเปลวเพลิงสีทองนั้นร่างกายของเขาก็ลุกไหม้ขึ้นมาและกลายเป็นเถ้าถ่านในทันทีไม่เว้นแม้แต่เหล่าอาจารย์ในสำนัก ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปดับไฟที่กำลังลุกไหม้อาคารต่างๆเลย ทำได้เพียงฉีดน้ำจากสายยางในระยะไกลเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะฉีดน้ำใส่ไปเท่าไหร่เพลิงสีทองนั้นก็ไม่มีท่าทีที่จะดับลงเลยมีแต่จะลุกโหมหนักขึ้นเท่านั้น
ไม่นานหลังจากนั้นสำนักของพวกเขาก็กลายเป็นเถ้าถ่านและเปลวเพลิงสีทองก็หายไปหลังจากที่อาคารหลังสุดท้ายกลายเป็นขี้เถ้า
คนของสำนักอัคคีนั้นต่างเคียดแค้นเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นอย่างมากพวกเขาต่างรวบรวมทรัพยากรทั้งหมดเพื่อตามหาเด็กหนุ่มคนนั้นเพื่อที่จะให้เขาชดใช้ในสิ่งที่ทำ แต่ศิษย์คนนั้นกลับคิดว่าต่อให้หาเจอก็ไม่มีทางทำอะไรเด็กหนุ่มคนนั้นได้อย่างแน่นอนเพราะก่อนหน้านี้ที่เด็กหนุ่มได้ปล้นหอสมบัติของพวกเขา เขาได้รู้มาว่าตอนที่เด็กหนุ่มออกมาได้เจอกับเหล่าอาจารย์และศิษย์พี่ในสำนัก แต่ถึงอย่างงั้นก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้ แถมเด็กหนุ่มคนนั้นยังหนีไปได้อย่างง่ายดายอีกต่างหาก เพียงแค่จับเด็กหนุ่มคนเดียวยังทำไม่ได้จะไปมีปัญญาให้เขาชดใช้ในเรื่องนี้ได้ยังไง
เรื่องราวที่ศิษย์คนนั้นได้เล่าออกมาได้ไปถึงหูของเหล่าผู้นำสำนักน้อยใหญ่ต่างๆในยุทธภพ แน่นอนว่ามีหลายคนที่รู้สึกสะใจกับการกระทำของเด็กหนุ่ม เพราะสำนักอัคคีนั้นได้ใช้สถานะที่สำนักของตนเองนั้นมีสำนักโบราณหนุนหลังอยู่ทำการกดขี่เหล่าสำนักน้อยใหญ่จำนวนมาก ดังนั้นหลายคนจึงเบือนหน้าหนีเมื่อเหล่าสำนักอัคคีคิดขอความช่วยเหลือ
ทางด้านหลินจินทงที่เป็นถึงผู้อาวุโสของสำนักจิตมังกรเมื่อได้ยินข่าวนี้เขาก็พอจะรู้ว่าใครที่เป็นคนก่อเรื่องเหล่านี้เขาถอนหายใจออกมาทันที
”เจ้าเทียนหลางนั่นก่อเรื่องทันทีอีกแล้วงั้นเหรอ…”
แต่แม้จะบ่นออกมาแบบนั้นแต่หลินจินทงก็ไม่คิดจะออกหน้าให้กับเทียนหลางแต่อย่างใด เพราะเขานั้นรู้ว่าตัวตนของเทียนหลางนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหนต่อให้คนของสำนักโบราณมาก็ไม่มีทางจะทำอะไรเขาได้ แล้วเหตุใดเขาจะต้องไปกังวลเกี่ยวกับเด็กคนนั้นด้วย
ทางด้านหลินเสวี่ยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของหลินจินทงก็เอ่ยออกมาด้วยท่าทีสงสัย
”คุณปู่จะไม่ช่วยเขาหน่อยเหรอคะ คุณปู่เป็นถึงผู้อาวุโสของสำนักใหญ่นี่หน่า ?”
เนื่องด้วยหลินเสวี่ยนั้นเป็นหลายหัวแก้วหัวแหวนของหลินจินทงดังนั้นเธอจึงรู้ว่านอกจากสถานะของผู้นำตระกูลหลินและนักธุรกิจหมื่นล้านแล้วหลินจินทงยังมีสถานะเป็นผู้อาวุโสของสำนักจิตมังกรด้วย แน่นอนว่าในเมื่อเธอนั้นเป็นหลานของหลินจินทงดังนั้นหลินเสวี่ยจึงได้รับการสั่งสอนเรื่องวรยุทธจากหลินจินทงมาบ้างเพื่อให้เธอใช้ป้องกันตัวแต่ถึงอย่างงั้นเธอก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากมายนัก อย่างมากก็อยู่ในเขตแดนแปรเปลี่ยนเท่านั้น
หลินจินทงที่ได้ยินความสงสัยของหลานสาวเขาก็ยิ้มออกมาก่อนจะพูดว่า
”ดูท่าหลานจะเป็นห่วงเทียนหลางมากเลยสินะถึงขนาดอยากจะให้ปู่ออกหน้าให้เขาแบบนี้ ?”
เมื่อหลินเสวี่ยได้ยินคำพูดของผู้เป็นปู่เธอก็ถึงกับก้มหน้าหนีด้วยใบหน้าแดงก่ำ หลินจินทงที่เห็นแบบนั้นก็หัวเราะออกมาทันที
”หลายไม่จำเป็นจะต้องเป็นห่วงเขาไปหรอกนะ เขานั้นไม่เป็นไรหรอก”
”แน่เหรอคะ ?”
หลินเสวี่ยถามเพื่อความแน่ใจ หลินจินทงที่ได้เห็นแบบนั้นก็ยิ้มพร้อมกับถามกลับว่า
”ปู่เคยโกหกหลานงั้นเหรอ ?”
หลินเสวี่ยส่ายหน้าพร้อมกับรอยยิ้มก่อนจะรีบทานอาหารเช้าและออกไปมหาลัย หลินจินทงมองหลินเสวี่ยพร้อมกับถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะคิดว่าการที่เทียนหลางได้ทำลายสำนักอัคคีที่เป็นถึงสำนักย่อยของสำนักโบราณแบบนี้ทางสำนักโบราณจะมีการเคลื่อนไหวอะไรบ้าง แต่ถึงเขาจะคิดอย่างงั้นแต่เขาก็ไม่ได้เป็นห่วงเทียนหลางเลยแม้แต่น้อยกลับกันเขากลับอยากเห็นสำนักโบราณเคลื่อนไหวเสียมากกว่า เพราะเขาอยากจะรู้เห็นพลังของผู้ที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตสวรรค์ในตำนาน
……………………………………………………..
ทางด้านของเทียนหลางที่ตอนนี้หลังออกมาจากห้องหลอมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วเขาก็เดินมาหาเฟิงหยวนพร้อมกับพูดขึ้นว่า
”เดียววันนี้ผมจะทำอาหารเย็นให้คุณทานเอง”
เฟิงหยวนที่กำลังนั่งอ่านอะไรบางอย่างในโน๊ตบุ๊คอยู่นั้นเมื่อได้ยินคำพูดของเทียนหลาง เธอก็ถึงกับหยุดการกระทำนั้นทันทีพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาถามเขา
”วันนี้เป็นวันพิเศษอะไรงั้นเหรอ ?”
เทียนหลางที่ได้ยินคำถามของเฟิงหยวนก็ยิ้มออกมาพร้อมกับปฏิเสธทันที
”ไม่มีสักหน่อย นานๆครั้งผมก็อยากทำอาหารให้คุณทานบ้างไม่ได้งั้นเหรอ ?”
เฟิงหยวนที่ได้ยินแบบนั้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อย เทียนหลางก็ได้แต่ยิ้มพร้อมกับเหงื่อที่ค่อยๆไหลออกมาหลังจากผ่านการจ้องมองอย่างสักพักเฟิงหยวนก็ก้มหน้าลงไปอ่านอะไรบางอย่างในโน๊ตบุ๊คต่อ เทียนหลางเมื่อเห็นว่าเฟิงหยวนไม่ได้สนใจแล้วก็ถอนหายใจออกมาและเดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่ออาบน้ำ
เมื่อมาถึงตอนเย็นเทียนหลางก็ถึงกับลงมือเข้าครัวเองสร้างความแปลกในกับทุกคนในบ้านเป็นอย่างมาก และทันทีที่ทุกคนได้ทานอาหารฝีมือเทียนหลางพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะบอกว่ามันอร่อยขนาดไหน มีเพียงเฟิงหยวนเท่านั้นที่ได้ทานแล้วก็ยิ้มออกมา
หลังจากมื้อเย็นแล้วเฟิงหยวนก็ออกมาหาเทียนหลางที่ศาลากลางน้ำ เมื่อมาถึงเฟิงหยวนก็พูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มว่า
”ดูเหมือนคุณจะพยายามอย่างมากเลยในมื้อเย็นครั้งนี้ คราวนี้คุณจะเซอร์ไพรส์อะไรฉันอีกละ ?”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดว่า
”เมื่อไหร่คุณจะตามเกมผมบ้างนะ”
เฟิงหยวนที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มหัวเราะคิกคักออกมา
”เมื่อไหร่ที่คุณอยากจะเซอร์ไพรส์อะไรฉันคุณก็มักจะทำอาหารให้ฉันก่อนเสมอ คุณทำแบบนี้มาหลายพันปีแล้ว จะไม่ให้ฉันรู้ได้ยังไงละ”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็เกาหัวตัวเองเบาๆก่อนจะหยิบกล่องใบหนึ่งออกมาจาก และเปิดมันให้กับเฟิงหยวนดูซึ่งด้านในนั้นเป็นสร้อยคอที่ถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงามมีสะเก็ตดวงดาวน้ำแข็งทั้งสิบเม็ดเอ็ดทำให้มันสวยงามเป็นอย่างมาก นอกจากสร้อยคอแล้วยังมีต่างหูที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่หายากและผลึกดวงดาวมันจึงทำให้เหมือนกับว่าเทียนหลางจับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนมายัดอยู่ในต่างหูคู่นั้น
(เปลี่ยนจากสะเก็ตผลึกดวงดาวน้ำแข็ง เป็นสะเก็ตดวงดาวน้ำแข็งแทนนะ)
เครื่องประดับทั้งสองชิ้นต่างงดงามไม่แพ้กันและถ้าหากเทียนหลางนำมันไปประมูลแล้วละก็ราคาของมันสามารถพุ่งไปถึงหลักพันล้านได้อย่างง่ายๆเลยทีเดียว
เฟิงหยวนมองมันเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า
”เนื่องในโอกาสอะไรงั้นเหรอ ?”
เทียนหลางหยิบสร้อยคอมาสวมให้กับเฟิงหยวนพร้อมกับพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
”วันนี้เป็นวันครบรอบร้อยปีที่เราอยู่ด้วยกันยังไงละ”
เฟิงหยวนที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาก่อนจะรวบผมของตัวเองเพื่อให้เทียนหลางสามารถสวมสร้อยคอให้เธอได้อย่างง่ายๆจากนั้นเธอก็พูดขึ้นมาว่า
”ทุกๆร้อยปีคุณมักจะทำแบบนี้เสมอ คุณไม่เบื่อบ้างงั้นเหรอ ?”
เทียนหลางสวมสร้อยคอให้กับเฟิงหยวนเสร็จเขาก็กอดเธอเบาๆก่อนจะพูดขึ้นว่า
”ผมทำแบบนี้มาหลายพันปีแล้วคุณคิดว่าผมเบื่อที่จะทำมันงั้นเหรอ ?”
เฟิงหยวนที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาพร้อมกับกุมมือเทียนหลางเอาไว้ เทียนหลางสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากเฟิงหยวนเขาก็ยิ้มออกมาก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาว่า
”ไม่ว่านานเท่าไหร่พันปีหรือหมื่นปีผมก็จะทำมันต่อไปไม่มีวันเบื่อ…”
YOU MAY ALSO LIKE
Tips: Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipisicing elit, sed do eiusmod tempor incididunt ut labore et dolore magna aliqua. Ut enim ad minim veniam, quis nostrud exercitation ullamco laboris nisi ut aliquip ex ea commodo consequat. Duis aulores eos qui ratione voluptatem sequi nesciunt. Neque porro quisquam est, qui dolorem ipsum quia dolor sit ame