The King of the Battlefield - ตอนที่ 232
ตอนที่ 232: แล้วเจ้าจะให้อะไรข้า (2)
เบซองมินมองไปที่เตียงด้วยสายตาซับซ้อน
แม้จะได้รับพลัง และประตูแห่งปัญญาที่มากกว่าเดิม แต่เขาก็ยังนึกความรู้สึกที่ควรมีต่อเบซูจีไม่ออก บางที…อาจเป็นเพราะความทรงจำที่ไม่สมบูรณ์ของเขาใช่หรือไม่?
เบซูจีนอนนิ่งราวกับร่างไร้ชีวิต เธอยังหายใจดีอยู่ แต่ทว่ายังไม่ยอมได้สติ
ไม่มีอะไรที่เบซองมินสามารถทำได้ในสถานการณฺ์ดังกล่าว ครั้นจะดึงมือออกไปสัมผัสกับร่างของเบซูจีอย่างเป็นธรรมชาติก็ยังทำใจได้ยากยิ่ง เนื่องจากราวกับมี ‘กำแพง’ หนาทึบที่มองไม่เห็นขวางกั้นอยู่ระหว่างพวกเขา
เบซองมินเฝ้ามองเธออยู่เงียบๆแม้ว่าจะผ่านไปหลายวัน
เขาเพียงยืนนิ่งเหมือนก้อนหิน และคอยตรวจสอบเบซูจีอยู่ห่างๆ
‘ลำบากใจ’
ระหว่างนั้นเขาไม่เคยหยุดคิดถึงเรื่องราวทั้งหมด บางทีเบซองมินก็หวังว่าเบซูจีจะไม่ลืมตาขึ้นมาอีก เพราะนั่นอาจจะดีกว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเบซูจีตื่นขึ้นและเห็นเขาในปัจจุบัน?
เขาต้องปฏิบัติต่อเธออย่างไร เขาต้องบอกเธอไหมว่าเป็นพ่อของเธอ? เพราะไม่ว่ายังไงเบซองมินคนเดิมก็ตายไปแล้ว พ่อในความทรงจำของเธอคงมีความแตกต่างอย่างชัดเจนหากเทียบกับตอนนี้
ยากยิ่งหากจะบอกว่าเบซองมินในตอนที่มีชีวิต กับเบซองมินในปัจจุบันเป็นคนเดียวกัน พูดตามจริงมี 99% ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และเหลือเพียง 1% เท่านั้น แล้วคุณยังสามารถพูดว่าทั้งสองตัวตนนั้นเป็นคนเดียวกันได้อีกหรือไม่?
นั่นคือเหตุผลที่เบซองมินรู้สึกกลัว กลัวในสิ่งที่ไม่รู้ กลัวอารมณ์ของตัวเอง และสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นจากเบซูจี
ตอนเผชิญหน้ากับเอนโรธเขายังไม่รู้สึกกลัวเช่นนี้เลย เขาไม่เคยมีอารมณ์แบบนี้ไม่ว่าจะต่อสู้ใครก็ตาม
นอกจากความกังวลทั้งหมดนี้… เบซูจีคงลืม ‘เบซองมิน’ ไปแล้ว อันเดอร์เวิลด์ไม่ใช่สถานที่ที่คุณสามารถอยู่ได้หากมัวจมอยู่กับอดีต มันเป็นดินแดนแห่งความตายที่คุณจะต้องยืนหยัดหนักแน่น ถ้าต้องการที่จะมีชีวิตอยู่
การที่เบซูจีจำเบซองมินไม่ได้นั่นอาจเป็นเรื่องดี แต่ถึงอย่างนั้นเบซองมินก็ทำใจจากไปง่ายๆไม่ได้เหมือนกัน
“นั่นใคร?”
เบซองมินเหลียวกลับไป
ที่ตรงนั้นชายหัวล้านร่างกายกำยำมองเขาอยู่ เป็นชายที่เขาไม่เคยพบมาก่อน
ชายผู้นั้นดูเหมือนจะเก็บความร้อนใจเอาไว้ และพูด
“ ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ฉันจะพาเด็กคนนี้ไป ที่นี่อันตรายเกินไปสำหรับเธอ”
ชายผู้นี้คือราชานักสู้ เขาเพิ่งตื่นขึ้นมาตั้งแต่โดนทาร์แคนทำให้หมดสติ เขาสำรวจไปทั่วหลังจากที่ตื่นขึ้น และตระหนักได้ถึงความพิเศษของปราสาทแห่งนี้ ก่อนจะทราบว่ามันเป็นปราสาทของ ‘มูยอง’ ผู้ชายที่ซูจีเฝ้าตามหา แต่ยังไงก็ตามที่นี่กลับอันตรายเกินไป
มีเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน อาศัยรวมอยู่ที่นี่มากมาย สถานที่แห่งนี้มีมอนสเตอร์ทุกประเภทไม่ว่าจะทั้งวิญญาณ หรืออันเดธ
นี่มันกลุ่มเผ่าพันธุ์ที่มีไว้เพื่อต่อต้านมนุษยชาติชัดๆ แม้แต่เป็นปีศาจหากมันมาเห็นที่แห่งนี่ ก็คงต้องทำใจอยู่นานกว่าจะยอมรับได้
เบซองมินหลับตาคิด..เขาพูดถูก สถานที่แห่งนี้อันตราย
ถึงตอนนี้พวกเขาจะเอาชนะราชาปีศาจเอนโรธ แต่พวกเขาอาจจะถูกกวาดล้างในการต่อสู้ระหว่างเหล่าเทพปีศาจก็ได้
แม้แต่มูยองก็ไม่สามารถยืนยันชัยในชนะของตน และเบซองมินก็คิดว่าพลังของเขาคงไม่อาจสู้กับพวกเทพปีศาจได้นานสักเท่าไหร่ ถ้าพวกเขาพาเบซูจีไปด้วย เธอจะต้องตายอย่างแน่นอน
“ ความสัมพันธ์ของคุณกับเด็กคนนี้คืออะไร?”
“ ฉันเป็นอาจารย์ของเธอ ”
ราชานักสู้ไม่ได้แสดงอารมณ์ที่ฉุนเฉียวของเขา และตอบด้วยความสงบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะช่วงเวลาที่ราชานักสู้เห็นเบซองมินเขาก็ตระหนัก
ว่ามี ‘ช่องว่าง’ ระหว่างพวกเขาสองคนที่ไม่สามารถก้าวผ่านได้ บุคคลระดับราชานักสู้ควรรู้ความหมายของช่องว่างนั้น
พูดจริงๆแล้ว…เขาไม่อยากจะเชื่อ และไม่ต้องการยอมรับมัน สำหรับสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งในปราสาทแห่งนี้
มนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด 10 อันดับแรกงั้นรึ? มนุษย์จัดอันดับพวกนี้ให้แก่กัน แต่จริงๆแล้วนั่นเป็นเพียงการปลอบใจตัวเองเท่านั้น สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งจริงๆล้วนอยู่ในดินแดนเทพปีศาจ ไม่ใช่ดินแดนที่มนุษย์ปกครองอยู่
ขนาดลิชที่อยู่ตรงหน้าเขายังให้ความรู้สึกแบบนี้…? แล้วคนที่เป็นเจ้าของปราสาทอย่าง’มูยอง’จะเป็นมอนสเตอร์แบบไหนกัน?
‘ฉันต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด’
ที่นี่ดูไม่ต่างกับหลุมดำอันมืดมิด หากคุณตกอยู่ในนั้นคุณจะไม่สามารถออกมาได้อีกตลอดไป
เขาต้องออกไปก่อนที่จะมีอันตรายดังกล่าวเกิดขึ้น และถ้าลิชหยุดเขา เขาก็พร้อมเสี่ยงชีวิตช่วยเบซูจีออกไปจากที่นี่ให้จงได้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว่าลิชที่อยู่ข้างหน้าเป็นห่วงเบซูจีอยู่
อาจเป็นเพราะเขาตระหนักถึงศักยภาพของเบซูจี หรือเขาต้องการใช้เธอเป็นส่วนผสมในการทดลองบางอย่าง แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ราชานักสู้ก็ไม่ยินยอมทั้งนั้น
ราชานักสู้รู้สึกตึงเครียด เพราะหากสู้กันลิชคงสามารถสังหารเขาได้ทันที
“ …พาเธอจากไปซะ”
อย่างไม่คาดคิด เขาได้รับอนุญาตอย่างง่ายดาย
เบซองมินหันหลังกลับ
ไม่ว่ายังไงเบซูจีก็เป็น ‘ผู้ที่ยังมีชีวิต’ เหมาะสมกว่าสำหรับเธอที่จะอยู่ท่ามกลางผู้ที่ยังมีชีวิตเหมือนกัน และไม่ควรจดจำตัวตนแบบเขา
สายตาของราชานักสู้ที่มีต่อเบซูจีเต็มไปด้วยความห่วงใย เขาดูพร้อมที่จะสละชีวิตและเข้าต่อสู้กับเบซองมิน การหาคนแบบนี้เจอไม่ใช่เรื่องง่าย
ด้วยเหตุผลเหล่านั้น เบซองมินก็สามารถจากไปอย่างสบายใจ
‘ดีแล้วที่มีคนอยู่ข้างๆเธอ’
‘ฉันมันก็แค่วิญญาณในอดีตของเด็กคนนั้น’
อันเดอร์เวิล์ดเป็นที่ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาไม่อยากกลายเป็นภาระคอยฉุดรั้งเธอเอาไว้
มูยองอยู่ด้านนอกปราสาท เขากำลังคิดว่าจะปกครองพวกมอนสเตอร์ยังไง
‘การเป็นผู้นำของเหล่ามอนสเตอร์’
อาจเป็นเพราะเขายังเป็นผู้อมตะไม่สมบูรณ์ มอนสเตอร์มากมายจึงรุมล้อมมูยองทันทีที่ออกจากปราสาท ยังไงก็ตามพวกมันรู้สึกถึงความต่างชั้นของระดับ จึงไม่ได้เข้าใกล้มูยองมากกว่านั้น
‘ภายในปราสาทได้รับอิทธิพลจากวิหารของอาชูร่า’
วิหารอาชูร่ามีผลทำให้มอนสเตอร์ไม่อาจบุกเข้ามาได้ง่ายๆ นอกจากนี้อิทธิพลของมูยองยังส่งผลกระทบอย่างยิ่งในพื้นที่ของตัวเอง มอนสเตอร์ที่อยู่ภายในนั้นย่อมไม่เกิดความก้าวร้าวใดๆ อย่างไรก็ตาม สำหรับมอนสเตอร์จากภายนอกนั้นถือว่ามูยองเป็นดั่งอาหารจานเด็ด
‘ดูเหมือนตัวฉันจะไปกระตุ้นสัญชาตญาณของพวกมัน”
มูยองยิ่งกลายเป็นแรงดึงดูดกับมอนสเตอร์ที่มีสติปัญญาน้อย และจากเหตุผลนั้น ดูเหมือนมอนสเตอร์แข็งแกร่งที่มีสติสัมปัญญาที่สุดควรเป็น ‘ซังกุง’
ซังกุงเป็นมอนสเตอร์ที่คอยปกป้องดินแดนเทพปีศาจของเดียโบล ในปัจจุบันแม้แต่มูยองก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งกับมันได้โดยไม่ต้องคิด
‘คงดีกว่าถ้าไม่เข้าใกล้มัน’
ไม่จำเป็นต้องสร้างปัญหาที่ไม่จำเป็น แต่ไม่ว่าในกรณีใดหากตัวตนของเขาดึงดูดมอนสเตอร์ เขาก็ควรหาวิธีที่จะใช้มันเพื่อสร้างผลประโยชน์
ตอนมูยองได้รับพลังครึ่งเทพมา เขาก็สามารถ ‘เข้าถึง’สภาพของสิ่งต่างๆไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่ หรือจะพูดได้ว่า มูยองสามารถเข้าใจถึง ‘ทุกข์สุข’ ของสรรพสิ่งต่างๆโดยธรรมชาติ
ถ้าเขามีตัวตนที่สามารถดึงดูดมอนสเตอร์ได้ และใช้พลังแห่งการเข้าถึงทุกข์สุขของทุกสรรพสิ่ง… เขาก็รู้สึกว่าตนเองจะสามารถสร้างพลังบางอย่างที่คล้ายกับความน่าหลงไหลได้
‘อืม เสน่ห์อันน่าหลงไหล’
มูยองผสมผสานพลังทั้งสองเข้าด้วยกัน
“ตามฉันมา”
เช่นเดียวกับที่มูยองคาดไว้ มอนสเตอร์พวกนั้นเริ่มทำตามคำสั่งง่ายๆของมูยูยอง และเมื่อมูยองเพิ่มสัดส่วนของการเข้าถึงทุกข์สุขของสรรพสิ่ง เขาก็สามารถสั่งให้มอนสเตอร์เคลื่อนไหวได้ตามใจนึกโดยไม่ต้องพูด
ฮ่า!’
แม้แต่มูยองก็ยังตะลึงต่อฉากนั้น
มอนสเตอร์ที่ไม่ใช่อันเดธกระทั่งติดตามมูยอง ผู้ที่พวกมันเคยเห็นเป็นครั้งแรก แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้ทำงานกับมอนสเตอร์ทุกตัว
‘เป็นราชาของเหล่ามอนสเตอร์อย่างอาชูร่า’ ดูเหมือนมูยองจะเหยียบเข้าไปในเส้นทางของอาชูร่าได้อย่างมั่นคง
<‘การทำให้หลงเสน่ห์ (ระดับพิเศษ)’ ถูกปลดล็อคแล้ว>
<คุณสามารถทำให้มอนสเตอร์หลงไหลไร้สติได้>
หากเขาเพิ่มขีดความสามารถนี้จนสูงสุด เขาจะสามารถควบคุมกองทัพได้โดยไม่จำเป็นว่าต้องเป็นอันเดธ
― กระผมเตรียมการทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว
มันเป็นในขณะนั้นที่มูยองได้รับการติดต่อจากเบซองมิน
‘ดูเหมือนว่าเขาจะจัดการความรู้สึกตัวเองได้แล้ว’
มูยองให้สิทธิ์ในการเลือกทั้งหมดแก่เบซองมิน โดยไม่ว่าจะเลือกอยู่กับเบซูจีหรือไม่ก็ตาม หลังจากจัดการตัวเองเสร็จมูยองก็สั่งให้ซองมินเตรียมการต่างๆ สำหรับการไปพบกับ ‘เกรโมรี่’
‘ถึงเวลาแล้ว’
มูยองหันหลังและกลับไปที่ปราสาทของเขา
ตั้งแต่นี้ไปคงจะต้องยุ่งมากจริงๆ
* * *
“ไพม่อน! เจ้ายังกำจัดพวกผู้ปฏิปักษ์ไม่ได้อีกหรือ”
ครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ สิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายส่วนบนของช้าง และร่างกายส่วนล่างของมนุษย์ บินมาโดยปีกทั้งหก โดยมีปีศาจประมาณหนึ่งล้านตนกำลังกราบกราบอยู่เบื้องล่างของมัน
และไพม่อนเทพปีศาจลำดับ 9 ที่สวมเกราะสีดำมืดก็อ้าปากกว้างก่อนจะพูด
“เจ้า…บูเน่”
“ รู้ไหมว่าบาอัลปรารถนาให้สิ่งนี้สำเร็จโดยเร็วที่สุด”
“เจ้าก็พูดเป็นเล่นไป! เกรโมรี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จัดการได้ง่ายขนาดนั้น”
“ ฮาวเรสก็จัดการเธอไม่ได้งั้นเหรอ? ข้าคิดว่าเจ้านั่นคงประมาทมากเลยสิท่า”
“ ฮาวเรสถูกเดียโบลสังหารไปแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่”
เทพปีศาจลำดับที่ 26 บูเน่ยิ้มเยาะ
“ เจ้ากลัวงั้นหรือ ช่างเป็นคนขี้ขลาดเสียจริง”
“ การขุดค้นความลับทั้งหมดคือหน้าที่ของข้า ไม่ถูกต้องที่จะบอกว่าฮาวเรสเสียชีวิตจาก ‘เปลวเพลิง’ ของเดียโบล”
“ นั่นไม่ใช่ข่าวจริงหรอกหรือ?”
ไพม่อนส่ายหัว
“ เจ้าต้องมองเงื่อนไขอื่นในการสังหารฮาวเรส เจ้าไม่สามารถฆ่าเขาง่ายๆด้วยเปลวเพลิวได้”
เทพปีศาจทุกตนมี ‘เงื่อนไข’ โดยเฉพาะซึ่งสามารถนำพวกมันไปสู่ความตาย
และฮาวเรสมีสองเงื่อนไข
หนึ่งคือต้องเป็นอะไรที่มากกว่า ‘เปลวเพลิง’ ธรรมดา ส่วนอีกข้อหนึ่ง…
“ แต่ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับอีกเงื่อนไขหนึ่งของเจ้านั่นนี่”
“เขาทรยศ”
“อะไรนะ?”
เงื่อนไขอื่นคือฮาวเรส ‘ทรยศ’ และต้องทำโดยเกรโมรี่” ผู้ต้องสงสัยที่เป็นไปได้มากที่สุดคือเกรโมรี่ ผู้หญิงคนเดียวที่เป็นเทพปีศาจ
แต่บูเน่ไม่คิดเหมือนไพม่อน
“ ครึ่งหนึ่งของผู้ปฏิปักษ์ถูกกวาดล้างหมดแล้ว ถ้าเราจับเกรโมรี่ได้ทุกอย่างก็จบ เจ้าอย่ามัวกังวลอะไรไร้สาระเลย! เราควรไปจับเธอถ้าพบตำแหน่งของเธอแล้ว”
“ มีตัวตนที่ไม่รู้จักกำลังรบกวนเราอยู่ ไม่เพียงแต่เดียโบลเท่านั้น แต่ยังมีผู้แข็งแกร่งอื่นอีกที่เข้ามาแทรกแซง เราไม่สามารถเคลื่อนไหวอย่างหุนหันพลันแล่นได้จนกว่าจะพบว่านั้นเป็นใคร”
ไพม่อนเป็นปีศาจที่ระมัดระวัง บาอัลชื่นชมในข้อนี้ของเขา แต่เทพปีศาจตนอื่นๆต่างรู้สึกหงุดหงิดเท่านั้น
“ฮึ! ถ้างั้นก็จงเฝ้ามองต่อไปเถอะ ตอนนี้บาอัลส่งคนเข้าไปในสมรภูมิแล้ว”
“ คนอื่น…? ใคร?”
“เลราเจ!”
บูเน่ตอบอย่างอารมณ์ดี
ปีศาจแห่งสงคราม เทพปีศาจลำดับที่ 14 เลราเจ สามารถพูดได้ว่าเขาเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดในการจบสงครามที่ยืดเยื้อมานาน
ถ้าเลราเจลงมือก็ไม่มีที่ว่างให้ไพม่อนลังเลอีกต่อไป บูเน่คิดอย่างนั้น
การแทรกแซงของบุคคลที่สามงั้นหรือ? สำหรับเลราเจตัวตนเหล่านั้นคงไม่อาจนับเป็นอุปสรรคอะไรได้
ไพม่อนหันกลับและกางปีกออก
“ ข้ารู้อะไรบางอย่างแล้ว”
YOU MAY ALSO LIKE
Tips: Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipisicing elit, sed do eiusmod tempor incididunt ut labore et dolore magna aliqua. Ut enim ad minim veniam, quis nostrud exercitation ullamco laboris nisi ut aliquip ex ea commodo consequat. Duis aulores eos qui ratione voluptatem sequi nesciunt. Neque porro quisquam est, qui dolorem ipsum quia dolor sit ame