The King of the Battlefield - ตอนที่ 221
บทที่ 221: ลางแห่งการทำลายล้าง (3)
คนแคระแบกกล่องขนาดใหญ่เข้ามาจากนั้นก็วางไว้เบื้องหน้ามูยอง กล่องที่ภายนอกดูเหมือนธรรมดา อย่างไรก็ตามมูยองสัมผัสได้ถึงพลังเวทย์ที่เอ่อล้นจากมันได้
“ จากการเคลื่อนไหวล่าสุดของพวกปีศาจทำให้บาร์ทัสไม่สามารถปลีกตัวไปไหนได้ เขาเลยสร้างอุปกรณ์ด้วยวัสดุที่ให้มาแทน”
บาร์ทัสเป็นราชาของคนแคระ
เขามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่ออาณาจักรของตนเอง
จริงๆแล้วเรื่องของบาร์ทัสมูยองไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เพราะมูยองก็ต้องการเพียงอุปกรณ์ของเขาเท่านั้น
‘พลังของราชันอมตะ’
อุปกรณ์ที่ดีที่สุดของมูยองคือดาบแห่งความโกรธเกรี้ยว และถัดไปก็คือเกราะหุ้มหน้าอกของราชันอมตะ ถ้าหากเขาสวมใส่อุปกรณ์ส่วนที่เหลือของเซ็ตราชันอมตะได้การเผชิญหน้ากับเอนโรธก็ไม่ใช่ปัญหา
กล่องใหญ่ตรงหน้าให้ความรู้สึกราวกับว่าพลังบางอย่างกำลังไหลเอ่อออกมา
อย่างไรก็ตามมันให้ความรู้สึกถึงภัยร้ายมากกว่า หากความโกรธเกรี้ยววเป็นพลังที่ปฏิเสธทุกอย่าง พลังจากกล่องก็เหมือนจะสามารถปลุกพลังบางอย่างของแต่ละคนออกมาได้
แค่มองมูยองก็เริ่มรู้สึกแปลกๆแล้ว
เหมือนการ์มูสจะสังเกตเห็นสีหน้ามูยองเขาจึงพูดขึ้นอย่างขมขื่น
“ มันเป็นของที่เหนือความคาดหมาย แม้แต่บาร์ทัสเองก็ยังไม่อยากเชื่อว่าจะสร้างมันออกมาได้ ข้าเองก็เห็นตอนเขาสร้างมันแค่ชั่วครู่เท่านั้น แต่ความน่าหวาดเกรงของมันตอนเสร็จสมบูรณ์นี่สิยิ่ีงกว่า …”
“ยังไงเหรอ?…”
“ พลังเวทของอุปกรณ์ชิ้นนี้ดึงดูดเหล่ามอนสเตอร์ นอกจากนั้นยังทำให้พวกมันดุร้ายขึ้นอีก”
จริงตามนั้น การ์มูสดูค่อนข้างเหนื่อย ดูเหมือนว่าเส้นทางกลับมายังอาณาเขตจะไม่ราบรื่นเท่าไหร่นัก
อย่างไรก็ตามมันไม่ได้ผลกับสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาสูง
อิทธิพลดังกล่าวส่งผลกับมอนสเตอร์ที่สติปัญญาต่ำเท่านั้น และไปปลุกสัญชาตญาณของพวกมัน
มูยองเอื้อมมือไปสัมผัสตัวกล่อง
จากนั้นเขาก็เปิดมันออกและบางสิ่งที่ดูคล้ายเกล็ดก็ปรากฎสู่สายตา มันเป็นเกล็ดที่ดูโปร่งใสมาก จะเรียกมันว่าส่วนหนึ่งของอุปกรณ์สวมใส่ก็ดูกะไรอยู่เพราะมันไม่เหมือนอุปกรณ์แม้แต่นิดเดียว
“นี่คืออะไร?”
มูยองถาม การ์มูสตอบ
“ มันคือผิวหนัง”
“ผิวหนัง?”
“บาร์ทัสกล่าวว่าด้วยวัตถุดิบอย่างหนังแสงจันทร์ที่บ่งบอกถึงความเป็นนิจนิรันดร์ และพลังของราชันอมตะซึ่งหมายถึงความไร้ที่สิ้นสุด ทำให้เกิดเป็นไอเทมเช่นนี้”
“ แม้แต่บาร์ทัสก็ไม่รู้เกี่ยวกับมันทั้งหมดใช่มั้ย?”
บาร์ทัสเป็นผู้สร้างสิ่งนี้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามบาร์ทัสเองก็ไม่ได้รู้ว่าเขาสร้างอะไรขึ้นมาจริงๆ
“ เขายังกล่าวอีกว่า ‘พระเจ้าแห่งช่างตีเหล็กผู้ยิ่งใหญ่ใช้ร่างของข้า’สร้างมันขึ้นมา ”
หมายความว่าบาร์ทัสสร้างสิ่งนี้ขึ้นในขณะที่เขาถูกตัวตนอันยิ่งใหญ่เข้าควบคุมร่างงั้นหรือ?
มูยองยิ้ม เขาคิดว่าบาร์ทัสคงดื่มเหล้าจนเมาขณะสร้างมันขึ้นมามากกว่า
เขามองไปที่เกล็ดดังกล่าวอีกครั้ง
นอกเสียจากจะจดจ่อกับมัน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถบอกได้ว่าเกล็ดดังกล่าวมีตัวตนหรือไม่
และเมื่อมูยองถือมันขึ้นมามองใกล้ๆข้อความก็ปรากฎ
ชื่อ: นิจนิรันดร์
อันดับ: ?
ประเภท: ?
ความคงทน:?
เอฟเฟกต์: ?
อย่างไรก็ตามมีข้อมูลไม่มากนัก
นอกจากชื่อเขาก็ไม่สามารถยืนยันอะไรได้อีก
นั่นคงหมายความว่าเขาต้องใช้มันดูเพื่อให้รู้ถึงความสามารถของมันจริงๆ
‘นิจนิรันดร์’
นิจนิรันดร์ คำที่หมายถึงไม่มีที่สิ้นสุด
‘ไอเทมที่ดึงดูดมอนสเตอร์และทำให้พวกมันดุร้าย’
ไอเทมประเภทสวมใส่ที่ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนผิวของคุณให้กลายเป็นสิ่งที่แข็งแกร่ง แต่มันจะ ‘เปลี่ยนแปลง’ แม้กระทั่งผู้ที่ใช้มัน มูยองรู้สึกอย่างนั้น
ในบรรดาสิ่งต่างๆที่ถือเป็นเครื่องมือ ผู้คนกล่าวว่าสิ่งของที่สามารถเปลี่ยนผู้ใช้ได้ล้วนเป็น ‘ความชั่วร้าย’ และหากมองในแง่นี้เจ้าเกล็ดดังกล่าวคงไม่ได้ให้ผลเชิงบวก
อย่างไรก็ตามมันเป็นไอเทมที่มีความแข็งแกร่งของราชันอมตะ ขนาดเกราะอกของเขายังเป็นระดับ S+ เขาก็ไม่แน่ใจว่าผิวหนังดังกล่าวจะมีพลังมากแค่ไหน
ทว่าแล้ว…
‘เครื่องมือก็เป็นเพียงเครื่องมือ’
เครื่องมือไม่สามารถส่งผลกระทบต่อเขาได้ เครื่องมือคือสิ่งที่ต้องถูกใช้ หากบางคนให้ความหมายมากเกินสำหรับเครื่องมือ เครื่องมือนั้นก็จะกลืนกินผู้ใช้ไปในที่สุด
มูยองเริ่มถอดเสื้อผ้าทั้งหมดออก
ขนาดของเกล็ดนั้นใหญ่กว่าร่างของมูยองเสียอีก แต่เมื่อเขาสวมมัน ขนาดของเกล็ดก็หดตัวลงมาเพื่อให้พอดีกับเขา
‘ผิวหนังใหม่’
หนึบ!
ทุกจุดที่มันสัมผัสกับผิวหนังของเขาจะรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างที่เหนียวมากเข้าไปยึดเกาะ
หลังจากนั้นไม่นานผิวเดิมก็ถูกย้อมเป็นสีแดงและถูกกัดกิน และจากกระบวนการดังกล่าวผิวหนังใหม่ก็เริ่มถูกสร้างขึ้น
มันฆ่าเซลล์เดิมที่มีอยู่ตามปกติ และเข้าแทนที่
ผิวหนังที่มีชื่อว่า ‘นิจนิรันดร’ ได้ถูกย้ายไปที่ร่างของมูยอง มันไม่ได้รู้สึกแตกต่างอะไรเลย
รู้สึกเหมือนเป็นผิวตามธรรมชาติของเขา
อย่างไรก็ตามความรู้สึกที่เป็นธรรมชาตินี้อยู่เพียงชั่วขณะเท่านั้น
“… !”
มูยองขมวดคิ้ว
การปฏิเสธเริ่มเกิดขึ้น ผิวหนังและร่างกายที่รักษาสมดุลได้อยู่พักหนึ่งกำลังจะหายไป
เขารู้สึกว่ากล้ามเนื้อทั้งหมดของตัวเองบิดเบี้ยว ไม่ว่าจะเป็นกระดูกหรืออวัยวะอื่นๆล้วนแต่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากทุกกระบวนการคือความเจ็บปวดที่ทำให้เขาแทบหมดสติ นานมากแล้วที่มูยองรู้สึกถึงความทรมานแบบนี้ มูยองขดตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้ และทำได้เพียงกัดฟันทนจนแทบรู้สึกว่าลูกตาจะระเบิดออกมา
“ท่าน-ท่านลอร์ด! ท่านยังไหวหรือไม่?
“ออก..ไปก่อน”
มูยองชี้นิ้วไปที่ประตูและบอกให้ทุกคนออกไปในขณะที่การ์มูสกลืนน้ำลายลงเฮือกพร้อมกับพยักหน้า
มูยองตระหนักว่ามันเป็นปัญหาที่เขาต้องจัดการด้วยตัวเอง
“ ถ้าฉันไม่ได้เรียก…อย่าปล่อยให้ใครเข้ามา”
หลังจากนั้นมูยองก็ปิดประตูโครมด้วยความรุนแรง
ในสภาพนั้นมูยองทรุดตัวลงนั่งข้างๆเก้าอี้
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายทั้งหมดยังคงดำเนินต่อไป
‘พลังของราชันอมตะ’
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความแข็งแกร่งของราชันอมตะ
มูยองเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่ถูกกำหนดให้ตายในวันหนึ่ง อย่างไรก็ตามความเป็นอมตะจะยังมีอยู่ตลอดไป แน่นอนว่าความตายและความเป็นอมตะไม่สามารถดำรงอยู่พร้อมกันได้ในสิ่งเดียวกัน มันคงไม่สมเหตุสมผลที่จะได้รับผิวหนังที่มีพลังความอมตะได้โดยไม่ต้องรับผลกระทบใดๆ
‘ความเจ็บปวดที่ฉันสามารถตายได้’
ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการได้รับพลังนั้นอยู่ในขั้นสุดยอด
ถ้าไม่ใช่มูยอง 99% คงเสียชีวิตตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นแล้ว
มูยองสามารถทนได้เพราะเขาคุ้นเคยกับความเจ็บปวดยิ่งกว่าใคร
‘ฉันต้องรอด ฉันจะต้องรอด. ฉันจะต้องอยู่รอดไปจนถึงวันที่ทุกอย่างจบสิ้น ‘
หากมูยองได้รับผิวหนังของราชันอมตะ เขาจะสามารถใช้ทักษะ ‘เร่งความเร็ว’ ได้อย่างอิสระมากขึ้น
ถึงแม้ว่าตอนนี้มูยองจะสามารถเร่งความเร็วได้ถึง 64 เท่า แต่ทว่าไม่อาจใช้งานมันได้นานนัก ไม่ใช่ข้อจำกัดของเวลาแต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะข้อจำกัดทางกายภาพของเขา
ด้วยสิ่งนี้เขาสามารถเอาชนะขีดจำกัดนั้นได้
ดังนั้นความเจ็บปวดในปริมาณนี้จึงไม่มีค่าอะไรหากเทียบกับสิ่งที่จะได้รับมา
‘ฉัน … จะเอาชนะมัน’
ชนะ มีเพียงการเอาชนะทุกสิ่งเท่านั้นที่เป็นบุญญานุภาพเดียวในการดำรงอยู่ของตัวตนอย่างมูยอง
และมูยองให้คำสาบานที่จะชนะอีกครั้งในเวลานี้
***
“กอเดียมัส”
เมื่อซองมินร่ายมนต์ประตูเวทก็ถูกสร้างขึ้นทันทีในบริเวณใกล้เคียง
และเมื่อประตูเปิดออกเครื่องพันธนาการนับร้อยก็พุ่งไปจับปีศาจก่อนจะระเบิดพวกมันออกเป็นซากแหลกเหลว
บูม!
ฃยังมีไฮดราที่อัญเชิญออกมาจากประตูที่สาม มันใช้เวทมนต์ที่แตกต่างกันจากหัวทั้งเก้าเข้าโรมรันพันตูกับเหล่าปีศาจอย่างดุเดือด
‘ปีศาจเหล่านี้ก็เหมือนกับผึ้ง’
เพราะหากไร้ซึ่งนางพญา ผึ้งเหล่านั้นก็ต้องตกอยู่ในความสบสนอลม่านอย่างช่วยไม่ได้ ตัวตนของเหล่าปีศาจมีอยู่เพื่อราชาปีศาจและเทพปีศาจเท่านั้น ไม่แปลกที่ซองมินจะเปรียบเทียบพวกมันกับผึ้งแมลง
พอราชาปีศาจรูสเวลต์หายตัวไป กองทัพปีศาจของมันต่างก็ตกอยู่ในความสับสน
กระทั่งในขณะที่ซองมินบุกเข้าไปโจมตี พวกมันก็ยังดูสับสนวุ่นวาย
อย่างน้อยในสนามรบแห่งนี้ ตำแหน่งผู้ควบคุมก็ตกอยู่ใต้ฝ่ามือของซองมินแล้ว
‘ฉันต้องรีบไปหลังจากจบสถานการณ์ที่นี่’
อย่างไรก็ตามซองมินกำลังรีบ
การต่อสู้ที่นี่ไม่ใช่ของทั้งหมด
กองทัพหลักของเอนโรธยังไม่มาถึง
เพื่อที่จะต่อสู้กับปีศาจนับล้านตน มันจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินการแม้จะสักเล็กน้อย
ถึงเขาจะผนึกรูสเวลต์ไว้ได้ แต่ยังเหลือราชาปีศาจที่ชื่อว่าเฟรดาอยู่
ดังนั้นซองมินจึงพยายามที่จะยุติการต่อสู้นี้อย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะได้ไปช่วยเหลือทาร์แคนและโอการ์
“ จงออกไปทำลายศัตรูให้สิ้นซาก”
ซองมินโบกคฑาของเขา
จากนั้นผืนดินก็รวมตัวกัน และโกเลมสิบกว่าตัวก็ปรากฏขึ้น
ตอนนี้ปีศาจรู้แล้วว่าใครเป็นผู้ควบคุมการต่อสู้ครั้งนี้
“ ลิชนั่น ฆ่ามันซะ!”
“ หากสังหารลิชได้ชัยชนจะตกเป็นของเรา!”
กลุ่มที่เกิดจากปีศาจหลายร้อยตนเริ่มเข้าใกล้ซองมิน
พอถึงจังหวะหนึ่งซองมินก็ชูคฑาขึ้นและร่ายมนต์อย่างรวดเร็ว
“อะมาเดอุส”
วี๊ดดดดดดด!
เสียงกรีดร้องที่น่าขนลุกดังขึ้นจากสภาพแวดล้อมรอบๆ
แม้แต่ปีศาจก็อดไม่ได้ที่จะปิดหูและตัวสั่นเทา
ซองมินเหวี่ยงคฑาและตัดหัวไฮดรา 5 ตัวออกทันทีโดยไม่รอช้า
หัวที่ถูกตัดขาดงอกใหม่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่บาเรียเวทถูกสร้างขึ้น
โดยการเสียสละหัวไฮดร้า การอัญเชิญของซองมินก็เสร็จสิ้น
ยักษ์ที่มีผมพันกันยุ่งเหยิงปรากฏกายขึ้น
นั่นคือยักษ์ไซคลอปส์มีขนาดใหญ่ไม่น้อยกว่าไฮดรา เมื่อมันก้มลงแสงสีแดงจากดวงตาก็พุ่งออกไปโจมตีศัตรู
แซ่ดดด!
ปีศาจทุกตนที่สัมผัสถูกลำแสงนั้นสลายหายไปทันที
“ อะไรกัน?”
“ นั่นมันมอนสเตอร์แห่งความว่างเปล่า…?”
เหล่าปีศาจต่างหวาดกลัวและดูกระวนกระวาย ความว่างเปล่าเป็นพื้นที่ลึกลับแม้กระทั่งสำหรับพวกมัน มอนสเตอร์ที่โผล่ออกมาจากที่นั่นล้วนแต่แข็งแกร่งและชั่วร้าย
ยังมี แม่มดเบียทริซ
มอนสเตอร์แข็งแกร่งที่สุดของซองมินไม่ใช่ไฮดรา แต่เป็นแม่มดเบียทริซ
ซองมินไม่ได้เป็นแค่ลิชธรรมดาๆ
เขาคือเอลเดอร์ลิช
เขาผู้ซึ่งเป็นราชาลิชที่สามารถควบคุมความว่างเปล่าได้
“ รีบจบเรื่องนี้ดีกว่า”
ความคิดของซองมินไม่ได้อยู่ในสนามรบแห่งนี้แล้ว
เขามั่นใจในชัยชนะ และกำลังวางแผนที่จะย้ายไปช่วยเหลือการต่อสู้อื่นๆ
***
เอนโรธเดินทางไปพร้อมกับป้อมปราการขนาดใหญ่
ป้อมปราการที่ว่าคือปราสาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมัน
ในบริเวณโดยรอบปีศาจนับแสนตนบินเต็มท้องฟ้าดูราวกับกำลังปกป้องป้อมปราการอยู่
“ ท่านเอนโรธ กองกำลังที่ล่วงหน้าไปถูกโจมตี”
เอนโรธนั่งอยู่บนบัลลังก์ขนาดใหญ่กลางป้อมปราการ
ปีศาจโน้มตัวลงรายงานข่าวด้วยความเคารพและยำเกรง ในขณะที่เอนโรธผงกหัวรับฟัง
“ ข้ารู้แล้ว”
“ รูสเวลต์หายตัวไป ส่วนเฟรดาหนีไปแล้วกับทหารไม่กี่นาย”
“ เรื่องนั้นข้าก็รู้เช่นกัน”
เอนโรธเห็นทุกสิ่งแล้ว
มันกำลังมองกลยุทธ์ของศัตรูผ่านการต่อสู้กับราชาปีศาจทั้งสอง
“ เราควรทำอย่างไรดี”
ปีศาจที่อยู่รอบตัวมันต่างมีสีหน้าของความเหลือเชื่อ
ราชาปีศาจทั้งสองล้มเหลว เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้น
แม้ว่าจำนวนของทีมจู่โจมล่วงหน้าจะน้อย แต่การที่ราชาปีศาจพ่ายแพ้ เอนโรธคงไม่นิ่งดูดายเป็นแน่
หลังจากดูฝูงปีศาจของตน เอนโรธพูดช้าๆ
“ ส่ง ‘บัลร็อก’ ออกไป”
ทันใดนั้นดวงตาของปีศาจทั้งหลายก็เบิกกว้าง
“บัลร็อก… !”
“ นายท่านมันไม่อันตรายเกินไปเหรอ?”
บัลร็อกเป็นหนึ่งในมอนสเตอร์ของเอนโรธที่มันไม่สามารถควบคุมได้อย่างเต็มที่
ปีศาจโบราณอันแข็งแกร่งและผู้ทำลายล้างที่บ้าคลั่ง!
ทุกแห่งที่บัลร็อกย่างกรายไปถึงต่างถูกพังทลาย
ฉายาที่มอบให้กับบัลร็อกคือ ‘ลางแห่งการทำลายล้าง’
เพียงดูที่พลังการต่อสู้บัลร็อกก็แข็งแกร่งกว่าราชาปีศาจทั้งสามแล้ว
แต่การปลดปล่อยบัลร็อก?
แค่ส่งมันไปไม่ใช่ปัญหา แต่การที่จะเรียกมันกลับมาต้องเสียสละเป็นจำนวนมาก
ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นก็ตามเอนโรธยังคงยืนยัน …
“ ข้ายังไม่เห็นไพ่ทั้งหมดของพวกมัน”
มันต้องการเข้าใจความสามารถของศัตรูอย่างทะลุปรุโปร่ง
การส่งบัลร็อกออกไป พวกมันย่อมไม่มีทางเก็บความลับอะไรไว้ได้อีก
พวกมันจะต้องเผยไพ่ทั้งหมดบนมือออกมา
จากนั้นเอนโรธก็จะทำลายศัตรูของมันลงอย่างสมบูรณ์
YOU MAY ALSO LIKE
Tips: Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipisicing elit, sed do eiusmod tempor incididunt ut labore et dolore magna aliqua. Ut enim ad minim veniam, quis nostrud exercitation ullamco laboris nisi ut aliquip ex ea commodo consequat. Duis aulores eos qui ratione voluptatem sequi nesciunt. Neque porro quisquam est, qui dolorem ipsum quia dolor sit ame