The King of the Battlefield - ตอนที่ 205
บทที่ 205: จริงหรือ… (2) เป็นชื่อที่ไม่เคยคาดคิดดังขึ้นมา มูยองสงสัยอยู่ครู่หนึ่งว่าหูฝาดไปหรือไม่ แต่เขาก็รู้ว่านั่นถูกต้องแล้ว อย่างไรก็ตาม… มันช่างแปลก โซโลมอนไม่ใช่ผู้ที่ผนึกเทพปีศาจทั้ง 72 ตนไว้ และจัดวางระบบต่างๆเพื่อปกป้องมนุษยชาติหรอกหรือ? ไม่ว่าจะเป็นพวกภูติ ยันต์ และของวิเศษในแต่ละพื้นที่ หรือจ้าวแห่งความมืดรวมไปจนถึงเมอร์ลิน ไม่มีสถานที่ใดที่ซาโลมอนไม่เกี่ยวข้อง เหล่ามนุษย์ได้รับพลังและยืนหยัดอยู่ได้ก็เพราะโซโลมอน แต่ฉากนี้ที่อยู่ต่อหน้ามูยองคืออะไร? อย่างไรก็ตาม … ยังมีอีกสิ่งที่น่าแปลกเช่นกัน ‘ถ้าโลกถูกทำลายไปมากขนาดนั้นผู้คนมาที่นี่ได้ยังไง แล้วพวกเขาจำอะไรเกี่ยวกับสงครามไม่ได้เลยเหรอ? – โซโลมอนเป็นราชาแห่งปัญญา บางครั้งผลลัพธ์ที่เขาเตรียมไว้ให้ก็โหดร้าย ลูซิเฟอร์ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีก ดูเหมือนเขาจะรู้อะไรมากกว่านั้นแต่ไม่อยากพูดถึงมัน ในฉากเหตุการณ์ถัดไป ชายที่เชื่อว่าเป็นโซโลมอนก็เปิดหนังสือของเขา หนังสือเล่มนั้นคือเลเมเกทัล หนังสือที่ตอนนี้น่าจะอยู่กับบาอัลปรากฏบนมือของซาโลมอนในฉากเกิดเหตุ โซโลมอนเปิดเลเมเกทัลและร่ายมนต์ มันคืออาร์สพอลลินา ศาสตร์เวทที่สามารถอัญเชิญทูตสวรรค์แห่งกาลเวลา อาร์สพอลลินาคือสิ่งที่เหล่าเทพปีศาจต่างกระตือรือร้นในการค้นหาเป็นอย่างมาก จากสิ่งที่เขารู้ เทวทูตแห่งกาลเวลาที่หลับไหลอยู่ภายในเลเมเกทัลถูกสังหารหลังจากเทพปีศาจปรากฏตัว นั่นหมายความว่านี่เป็นช่วงเวลาก่อนที่เทพปีศาจจะถูกอัญเชิญ? [เวลาจงหยุด] สิ้นเสียงของโซโลมอนเวลาทั้งหมดก็ถูกทำให้หยุดนิ่ง และในพื้นที่ที่ถูกโซโลมอนทำลายล้างอยู่โลกอีกใบก็เปิดเผยออกมา มันคือ อันเดอร์เวิล์ด นับเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างมากเนื่องจากพื้นที่ที่เหลืออยู่กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของอันเดอร์เวิล์ด! เส้นทางสู่อันเดอร์เวิล์ดถูกสร้างขึ้นกัดกินส่วนที่เหลืออยู่ของโลก และภายในเวลาที่หยุดนิ่งดังกล่าว ผู้คนก็เริ่มถูกดูดเข้าไปในอันเดอร์เวิล์ดทีละคนๆ ฉากทั้งหมดหยุดลงแค่นั้น ก่อนที่จู่ๆจะมีข้อความโผล่ขึ้นมา <ค่าของเผ่าพันธุ์มนุษย์คือ ‘1’> <คุณต้องการตั้งค่าเผ่าพันธุ์บนเอลย่าซีโก้เป็น ‘1’ หรือไม่> อาวุธทำลายล้างเผ่าพันธุ์ เครื่องมือทรงพลังที่สามารถทำลายล้างเผ่าพันธุ์ตามค่าที่กำหนดไว้ มูยองอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยความสับสน ‘เมอร์ลินต้องรู้รายละเอียดมากกว่านี้แน่’ โซโลมอนและเมอร์ลินมีความสัมพันธ์แบบร่วมมือกันอยู่ เห็นได้ชัดว่าเขาจะต้องรู้เรื่องมากกว่านี้ อย่างไรก็ตามไม่มีทางที่จะเข้าสู่อารามสีครามได้อีกครั้ง ถ้าอยากจะไปจริงๆเขาต้องทำลาย ‘กำแพง’ ที่ปกป้องอารามสีครามเสียก่อน แต่เพื่อทำสิ่งนี้เขาต้องเรียนรู้เวทมนตร์ระดับเหนือธรรมชาติของเลเมเกทัล,อาร์สโนวา หรือบางทีอาจมีอีกประตูหนึ่งที่เชื่อมต่อระหว่างโลกและอารามสีคราม มูยองส่ายหัว หากโซโลมอนอยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ … ‘ฉันก็แค่ต้องกำจัดเขาซะ’ หากเขาปรากฏตัวในฐานะศัตรู มูยองก็ตัดสินใจที่จะกำจัดเขาเช่นกัน จากนั้นมูยองก็ตัดสินใจแน่วแน่และพูดขึ้น “ ตั้งค่าทำลายเผ่าพันธุ์ไปที่เลขหนึ่ง” <ผู้ใช้ตั้งค่าเผ่าพันธุ์เป็น ‘1’> <เอลย่าซีโก้เริ่มทำงาน เป้าหมาย : มนุษย์> * * * เอลย่าซีโก้ทั้งหมดมีจำนวน 32,642 ตัว แต่ละตัวมีพลังการต่อสู้สูงมากแม้จะเทียบกับพวกระดับสูงอยู่แล้วก็ตาม หากคุณปล่อยพวกมันทั้งหมดรวดเดียว เมืองสองสามเมืองสามารถหายไปได้ในทันที อย่างไรก็ตามสิ่งที่มูยองต้องการคือปลูกฝัง ‘สติสัมปชัญญะ’ ให้มนุษยชาติ และยังคงไว้ซึ่งความเป็นศัตรู มูยองจะบอกให้พวกเขารู้ว่าอันเดอร์เวิล์ดไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่คิด เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มนุษย์คิดว่าตัวเองปลอดภัยพวกเขาจะอยู่เฉยๆ และนั่นจะเป็นจุดจบของมนุษยชาติจริงๆ “ไปได้” ในฐานะหน่วยสอดแนม เขาเตรียมเอลย่าซีโก้ 1,000 ตัวเอาไว้ เมื่อกำหนดค่าเผ่าพันธุ์เป็นมนุษย์ พวกมันจะโจมตีมนุษย์ทุกคนที่พบเห็นทันที จากจำนวน 1,000 ตัว มูยองส่งครึ่งหนึ่งไปยังเมืองเกรทซิตี้ 300 ตัวถูกส่งไปที่มูราลัน และอีก 200 ตัวที่เหลือไปยังเมืองขนาดกลางต่างๆ ‘เฉพาะความแข็งแกร่งของตนเองเท่านั้นถึงจะสู้กับเอลย่าซีโก้ได้’ หากไม่ใช่พลังของตนเอง ชั้นป้องกันของเอลย่าซีโก้จะไม่สามารถถูกเจาะ หากมนุษยชาติตระหนักถึงสิ่งนี้ พวกเขาจะพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้ความแข็งแกร่งอันบริสุทธิ์ดังกล่าวมา นอกจากนั้น ‘พลังบริสุทธิ์’ ดังกล่าวก็ส่งผลอันตรายต่อเหล่าปีศาจเช่นกัน ขณะนี้ มูยองพิชิตโนเบิลคาสเซิลเรียบร้อยแล้ว เมื่อเขาได้รับทุกสิ่งที่ต้องการก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป เขาเริ่มเคลื่อนพลไปพร้อมกับกองทัพที่เหลือ…วิญญาณประมาณ 40,000 ตน และเอลย่าซีโก้ 30,000 ตัว ทุกอย่างคืบคลานไปอย่างช้าๆ อย่างไรก็ตามบรรยากาศเหี้ยมโหดที่แผ่ออกมาดูอันตรายอย่างหาที่เปรียบมิได้ *** เกรทซิตี้ยังคงคึกคักจาก ‘ผู้เริ่มต้น’ ที่เข้ามาทุกเดือน และกลุ่มต่างๆที่จัดตั้งขึ้นตามความเหมาะสม “ อ่า ท่านราชานักสู้ ผมกำลังรอคุณอยู่พอดี!” “หืมม” “กรุณาตามผมมา โฮรานกำลังรอคุณอยู่” ชายหัวล้านอันมีร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้ามผู้ที่ถูกเรียกว่าราชานักสู้เดินตามเข้าไปยังอาคารสูง 12 ชั้นซึ่งตกแต่งได้อย่างประณีตสวยงาม แต่เขาก็ขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้กลิ่นน้ำหอมที่แผ่ซ่านอยู่ในชั้นอาคาร มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังจะหมดสติ ผู้หญิงหลายคนในนั้นที่สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นและบางเบา กำลังชูไม้ชูมือหลอกล่อราชานักสู้ด้วยข้อมือและแขนอันเรียวเล็กของพวกเธอ ไม่มีคนไหนเลยที่ดูขี้เหร่ พวกเธอล้วนมีโครงหน้าสวยงามแตกต่างไปคนละแบบ มันเป็นสถานบันเทิงสำหรับผู้หญิงขายบริการที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีการควบคุมอย่างเข้มงวด จึงไม่ใช่ทุกคนที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้ เว้นแต่พวกเขาจะมีตำแหน่งใกล้เคียงกับลูกหลานของเก้ากิลด์ใหญ่ หรือตระกูลทั้งห้า อย่างไรก็ตาม ราชานักสู้เป็นข้อยกเว้น เพราะเขาเป็นหนึ่งในสิบคนที่แข็งแกร่งที่สุด และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี “ ที่นี่แหละครับ” ชายที่นำทางราชานักสู้มาแสดงความอิจฉาเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะเก่งพอเป็นการ์ดของที่นี่ได้ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าออกตามใจปรารถนา ความเศร้าของเขาจึงเป็นที่เข้าใจได้ อย่างไรก็ตาม ราชานักสู้กลับดูไม่ได้รื่นรมย์กับสถานที่แห่งนี้นัก นอกจากนั้นยังแผ่ออร่าดุดันออกมาเสียด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้ชายที่นำทางจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้ม “อะแฮ่ม คุณโฮราน ราชานักสู้มาแล้วครับ” “เปิดประตูให้เขาเข้ามา” ปัง! ไม่มีเวลาให้ผู้นำทางเปิดประตู เพราะราชานักสู้เพิ่งเตะประตูเข้าไปเอง ในนั่น มีสาวสวยอายุสามสิบปีคนหนึ่งนั่งอยู่ เธอสวมเดรสลายดอกกุหลาบ มันสวยพอที่จะดึงดูดความสนใจของเขา เธอคือฮอแรน เจ้าของสถานที่แห่งนี้ วีรสตรีที่สร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาจากผืนดินโดยผสมผสานความงามแบบตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน ไม่มีใครแถวนี้ไม่รู้จักเธอ นอกจากนี้ฐานะที่ซ่อนอยู่ของเธอยังเป็นหัวหน้าของตระกูลเฮฟเวนเมด แม้ว่าจะไม่ใช่หนึ่งในตระกูลทั้งห้า แต่ตระกูลเฮฟเวนเมดก็มีพลังยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใคร “ ไม่ทราบว่าคุณราชานักสู้มาทำธุระอะไรแถวนี่เหรอ?” “ อย่ามาเล่นลิ้น เธอก็รู้ว่าฉันมาหาลูกศิษย์ของฉัน แล้วฉันก็บอกเธอล่วงหน้าไว้แล้วด้วย ” “ ถ้านายหมายถึงสปาร์คเคิล…” ราชานักสู้ขัดจังหวะเธอ “ อย่ามาตั้งชื่อไร้สาระให้เธอ เหตุผลที่ฉันส่งเธอมาที่ตระกูลเฮฟเวนเมดก็เพื่อให้เธอได้เรียนรู้ทักษะ ไม่ใช่มาเป็นโสเภณีที่นี่“ ” เธอยังอยู่ห่างจากการเรียนรู้ทักษะทั้งหมดของเรา และมันจำเป็นสำหรับเธอที่จะต้องได้รับการสั่งสอนที่นี่ต่อ” “ ไม่มีทาง ตอนนี้เธอต้องเรียนรู้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว” ราชานักสู้พูดด้วยความมั่นใจ จากนั้นสาวสวยอย่างฮอแรนก็ขมวดคิ้ว “ จริงอยู่ที่พรสวรรค์ของสปาร์คเคิลน่าทึ่ง แต่ไม่ใช่ว่านายจะประเมินพวกเราต่ำมากไปหน่อยไหม?” “ ฉันไม่ได้ดูถูกเธอ ฉันแค่รู้ว่าพรสวรรค์ลูกศิษย์ของตัวเองสูงมากแค่ไหน” ฮอแรนไม่สามารถพูดอะไรได้อีก สิ่งที่ราชานักสู้พูดออกมาเป็นเรื่องจริง เธอเป็นผู้มากพรสวรรค์อย่างแท้จริง เธอสามารถดูดซับความสามารถของตระกูลได้อย่างรวดเร็วในเวลาเพียงหนึ่งปี ฮอแรนพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อซ่อนความสามารถของเธอ ราวกับว่าหากไม่ทำเช่นนั้น เธอจะเสียเด็กสาวไปยังกลุ่มใหญ่อื่นๆ “ ไม่ว่ายังไงฉันก็จะพาลูกศิษย์ของฉันไป เธออยู่ที่ไหน?” “ เวลานี้เหรอ เธอน่าจะดื่มอยู่…” “ เธอคงไม่ได้กำลังรินเหล้าให้ผู้ชายอยู่ใช่ไหม?” สายตาของราชานักสู้เปลี่ยนเป็นดุร้าย จากพลังความแข็งแกร่งที่แผ่ออกมา เธอรู้สึกได้เลยว่าหากพูดอะไรไม่เข้าหู เขาจะต้องทำลายสถานที่แห่งนี้ทั้งหมดทันที อย่างไรก็ตาม ฮอแรนส่ายหัวปติเสธและพูด “ เปล่าหรอก เธอคงรินให้ตัวเองดื่มเองอยู่” *** ภายในห้องเก็บของที่เต็มไปด้วยขวดเซรามิกบรรจุเหล้า หญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้นพูดอยู่คนเดียวขณะที่ยกเหล้าดื่มหมดแก้วพร้อมกับเครื่องเคียง “ อ่ะ ไอ้นี่อร่อยดีแฮะ เอือก!” เธอเมาแล้ว จากนั้นเธอก็ถอนหายใจ “ ว่ากันว่าชีวิตที่ขมขื่นมีรสชาติไม่ต่างกับเหล้า แต่แปลกที่ไอ้นี่กลับหวานจัง นี่หมายความว่าชีวิตของเรายังไม่ขมขื่นพอใช่ไหม?” เธอพูดลิ้นพันกันไปมา ท่ามกลางขวดเหล้าเปล่าหลายขวดมรากลิ้งอยู่ข้างๆ จากนั้นเธอดูภาพที่ถูกวาดเมื่อตอนเด็ก “พ่อ…” ซูจีรู้ว่าพ่อผู้ให้กำเนิดของเธอข้ามเส้นทางที่เขาไม่สามารถกลับมาได้แล้ว แม้ว่ามันจะเป็นข่าวที่ราชานักสู้เป็นคนบอก แต่ด้วยความเป็นครอบครัว เธอเองก็รู้สึกถึงมันได้ลางๆเช่นกัน หลังจากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมทั้งหมด ในที่สุดเธอก็ไปตรวจสอบที่หมู่บ้านสนธยา ที่นั่นเบซูจีพบคราบบางอย่างที่มีรูปร่างเดียวกับพ่อของเธอ พวกเขาบอกว่าพ่อของเธอกลายเป็นมอนสเตอร์เข้าโจมตีหมู่บ้านก่อนที่จะถูกชายคนหนึ่งปราบลง เธอเชื่อว่าพ่อของเธอเสียชีวิตแล้ว จากนั้นซูจีจึงถามพวกเขาถึงซากดังกล่าวเพื่อที่จะทำหลุมฝังศพ “ พ่อคะ ตอนนี้ชีวิตหนูดีขึ้นมาก หนูอยากเจอพี่แทฮวานแต่ก็ไม่กล้าไป พี่แทฮวานเขาเก่งขึ้นมากเลยๆ หนูไม่อยากไปรบกวนเขา” ไหล่ของซูจีห้อยลง “ แล้วหนูก็อยากเจอพี่มูยองด้วย ” เอี๊ยด! จากนั้นประตูก็ถูกเปิดขึ้น เมื่อซูจีหันไปดูว่าเป็นใคร ชายหัวล้านที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้น “ เอ่อ อาจารย์” “ ดูเหมือนพวกนี้จะไม่ได้สอนแค่ทักษะการต่อสู้ให้เธอนะ” “ เหล้าคือเพื่อนที่ดีที่สุดของชีวิต” “ ฉันเคยพูดแบบนั้นเหรอ? ยังไงก็เถอะ มันยังเร็วเกินไปสำหรับเธอ” ชายหัวล้านฉวยแก้วเหล้าออกจากตัวเธออย่างแรง “ หนูโตแล้วนะ” เธอทำหน้าเศร้า “ ฉันรู้ว่าเธอใช้ถึงเวลาสองปีในซากโบราณ แต่ยังไงเธอก็ยังเป็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง” ซูจีถูกกักตัวไว้ที่ซากโบราณเพื่อฝึกฝนอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง มันเป็นสถานที่ที่เวลาหยุดนิ่ง และซูจีใช้เวลาสองปีติดที่นั่น หลังจากออกมาทัศนคติของซูจีที่มีต่อราชานักสู้ก็เปลี่ยนไป อย่างน้อยเธอก็ปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นอาจารย์ของเธอจริงๆแล้ว ซูจีหยุดทำหน้าเมา ใบหน้าแดงๆของเธอกลับมาเป็นปกติทันที เสียงอ้อแอ้ของเธอก็กลับมาเป็นปกติเช่นกัน “ หนูว่าคิดตอนนี้ตัวเองเก่งพอๆกับคุณแล้วอาจารย์” “ อย่าลำพองใจไป เธอยังอยู่ไกลจากฉันมาก” “ ถ้างั้นเรามาประลองกันหน่อยไหม?” “ ก่อนอื่น เรามา…” ตูมมมม ! ขณะนั้นเอง เกิดเสียงระเบิดขนาดใหญ่ เมื่อทั้งสองพยายามฟังก็พบเสียงความปั่นป่วนด้านนอก “นั่นอะไร? เกิดอะไรขึ้น?” “ มีคนบอกว่ากำแพงพังแล้ว!” “หา!กำแพงพัง? มีศัตรูบุกรุกเหรอ?” “ ฉันไม่รู้! แต่พวกมันเป็นบางอย่างที่เหมือนแมงมุม…” ตึง! เคล้ง! ความปั่นป่วนเกิดขึ้นไม่หยุด แน่นอนว่าย่อมมีเหตุการณ์รุนแรงบางอย่างเกิดขึ้น ซูจีเงยหน้า “ ถ้างั้นเรามาแข่งกันทำลายสิ่งนั้นเอามั้ย?” “ฮึ” ราชานักสู้พยักหน้าและออกจากห้องเก็บของทันที จากนั้นซูจีก็ตามออกไปโดยไม่ลืมหยิบเหล้าติดมือไปด้วย
YOU MAY ALSO LIKE
Tips: Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipisicing elit, sed do eiusmod tempor incididunt ut labore et dolore magna aliqua. Ut enim ad minim veniam, quis nostrud exercitation ullamco laboris nisi ut aliquip ex ea commodo consequat. Duis aulores eos qui ratione voluptatem sequi nesciunt. Neque porro quisquam est, qui dolorem ipsum quia dolor sit ame