The King of the Battlefield - ตอนที่ 202
บทที่ 202: ราชาแห่งขุมนรก (3) ผู้คนต่างตกอยู่ในความระส่ำระสาย พวกเขาไม่สามารถร่วมมือและไว้วางใจซึ่งกันและกันได้ หลังจากการตายของเรนกัน ความโกลาหลและความหวาดระแวงก็เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ตระกูลเรนไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อผู้อื่นตั้งแต่แรก พวกมันรู้แค่การทำให้กลุ่มของตัวเองรุ่งเรืองเท่านั้น และไม่เคยทำสิ่งใดเพื่อผลประโยชน์ของโนเบิลคาสเซิลเลย นอกจากนี้ นี่ยังเป็นครั้งแรกที่โนเบิลคาสเซิลถูกรุกรานจากภายใน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากใจกลางเมือง ด้วยการดำเนินการอย่างรวดเร็วของมูยอง ทำให้ไม่มีใครตอบสนองได้ทัน ขณะที่มองไปยังฉากน่ากลัวตรงหน้า ทั่วร่างของอาแลนซ์ก็ต้องสั่นสะท้าน ‘นรก นี่มันนรกชัดๆ … ‘ เสียงกรีดร้องไร้ที่สิ้นสุดดังให้ได้ยินไปทั่ว ไหนจะเสียงของอาคารที่กำลังลุกโหมไปด้วยเปลวเพลิง และพังทลายลงจนเหลือแต่เถ้าถ่าน ทั้งโลกถูกเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน โดยมีสัญลักษณ์ของคำสาปชั่วร้ายเป็นหอคอยตระหง่านสูงเฉียดฟ้า แม้กระทั่งพาลาดินที่เคยผ่านการฝึกฝนอย่างหนักก็ยังพูดไม่ออก พวกเขาจะพูดอะไรได้? มอนสเตอร์พวกนั้นจะไม่ทำร้ายผู้ที่คุกเข่า อย่างไรก็ตามคนที่ต่อต้านต่างถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมโดยปราศจากความลังเล สำหรับเหล่าพาลาดิน การได้เห็นท้องใส้ของเหยื่อไหลทะลักพร้อมกับอวัยวะภายในอื่นๆช่างดูเหมือนฝันร้าย แต่ทว่านรกดังกล่าวกำลังอยู่บนความเป็นจริง “ เราจะไม่ไปช่วยพวกเขาหน่อยเหรอ?” อาแลนซ์พยายามพูดความในใจออกมาอย่างสุดกลั้น เขารู้สึกที่เหมือนตัวเองต้องเข้าไปช่วยเหลือ เขาเป็นนักบวชของมูลาลัน ผู้อุทิศตนให้กับหลักคำสอนอันศักดิ์สิทธ์ และทุ่มเทชีวิตในการช่วยเหลือผู้อื่น อย่างไรก็ตามเท้าของเขาไม่สามารถขยับได้ และคำพูดแต่ละคำช่างเปล่งออกมาอย่างยากลำบาก เหล่าพาราดินไม่ได้กระดิกตัวไปไหนเช่นกัน “ พวกเรากลับไปขอความช่วยเหลือที่มูลาลันดีกว่า” “ ถึงจะไม่อยากยอมรับมัน แต่ถ้ามีแค่พวกเราคงช่วยอะไรที่นี่ไม่ได้มาก” เห็นได้ชัดว่าเหล่าพาราดินไม่เห็นด้วย พวกเขาคิดว่านี่ไม่ใช่การพยายามตีก้อนหินด้วยไข่หรอกหรือ? ไม่ใช่เลย ใช้คำว่าไข่ก็ยังไม่ได้ ถ้าจะเปรียบเทียบตอนนี้ มันเหมือนการพยายามตีก้อนหินด้วยฟองสบู่มากกว่า หากคุณใช้ไข่ตีก้อนหิน อย่างน้อยก็คงมีร่องรอยเหลืออยู่ แต่สำหรับฟองสบู่แล้วคงไม่เกิดผลใดๆทั้งสิ้น “ แล้วเราจะออกจากที่นี่เพื่อไปขอความช่วยเหลือยังไง?”” เสียงของอาแลนซ์ฟังดูราวสิ้นหวัง พวกเขาไม่สามารถหนีจากไปได้ พวกเขาถูกขังอยู่ในหอคอย และถึงแม้ว่าพวกเขาจะออกไปก็ต้องเจอกับฝูงมอนสเตอร์อยู่ดี “ อย่างน้อย…เด็กๆ ฉันอยากช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้” สำหรับมนุษย์ที่มีปีกทั้งหก อาแลนซ์มองเขาว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายอย่างถึงที่สุด เขาเริ่มสงครามและสังหารหมู่ผู้คน ไว้ชีวิตต่อผู้ที่คุกเข่า? หนึ่งความเมตตาดังกล่าว ไม่อาจสร้างดีงามให้คนผู้นั่นได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนผู้รุกรานก็คือผู้รุกราน ความจริงจะไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าเขาจะมีเหตุผลอย่างไร เหล่ามอนสเตอร์ปล่อยให้เฉพาะผู้ที่คุกเข่าเท่านั้นเหลือรอด ส่วนผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนถูกสังหารจนสิ้น มันเป็นคำสั่งที่มีเงื่อนไขเพียงง่ายๆ “ท่านอาแลนซ์” “ ฉันไม่ได้บอกให้ทุกคนต้องทำตาม ถึงแม้จะมีเพียงคนเดียว ฉันก็จะไป” นักบวชอย่างอาแลนซ์พยายามทำสิ่งที่ถูกต้อง หน้าที่ของเขาในฐานะนักบวชแห่งมูลาลัน และในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่ง ถ้าเขาไม่ทำ ที่นี่จะกลายเป็นนรกจริงๆ ทุกอย่างจะมีเพียงความวุ่นวาย โดยปราศจากความหวัง และความเห็นใจซึ่งกันและกัน เขาไม่ต้องการให้มันกลายเป็นโลกแบบนั้น นี่คือสิ่งที่นักบวชทุกคนในมูลาลันคิดเหมือนกัน แม้ว่าจะมีแต่ความชั่วร้ายอยู่ในโลกนี้ อย่างน้อยก็ยังมีเขาที่อยากเป็นคนดี ความปรารถนาดังกล่าวถือเป็นคุณธรรมสำคัญสำหรับนักบวช ‘ฉันจะไม่ทนต่อสิ่งชั่วร้าย’ อาแลนซ์เคลื่อนไหวทันที *** มูยองเองก็ไม่ชอบ แต่ต้องทำใจยอมรับมัน เขาต้องการให้ตระกูลเรนรวมถึงตระกูลอื่นๆรู้สึกอยากต่อต้านและตอบโต้ขึ้นอีกสักหน่อย เพราะนั่นถึงจะทำให้แผนการเป็นศัตรูกับทุกคนมีค่า ‘เพิ่มความปรารถนาในใจของพวกเขา’ และความปรารถนาจะก่อเกิดเป็นความหวัง มันเป็นไปได้ที่จะแข็งแกร่งขึ้นด้วยความเร็วมหาศาล หากมีความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ ร่วมกับความปรารถนาที่จะแข็งแกร่ง เช่นมูยอง เขาแข็งแกร่งขึ้นเพราะตัวเองเป็นมูยองหรือไม่? ไม่เลย มันเป็นเพราะเขาพยายามอย่างมากที่จะแข็งแกร่งตลอดเวลาต่างหาก แน่นอนว่าไม่มีใครจินตนาการออกว่าปริมาณข้อมูลที่เขาครอบครองมีเท่าไหร่ แต่ก็มีคนมากมายที่มีข้อมูลจำนวนมากเช่นมูยอง สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะพวกเขาไม่ได้แบ่งปันสิ่งที่พวกเขารู้ และพยายามไล่ล่าแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง มูยองอยากแก้นิสัยแย่ๆพวกนี้ เมื่อต้องการทำตามแผนที่วางไว้ การเคลื่อนไหวเล็กน้อยย่อมไม่เพียงพอ ถึงมันออกจะสุดโต่งไปหน่อย แต่ไม่ใช่มูยองคนเดียวแน่นอนที่คิดแบบนี้ ในอดีตดราก้อนลอร์ดฮันซุงก็เคยมีบทบาทเช่นนั้น ยังไงก็ตามเขาล้มเหลว ‘ฮันซุง ใจของเขายังไม่แข็งแกร่งพอ’ ถ้าเขารุนแรงขึ้นหน่อยคงจะดีกว่านั้น ถ้าเขารู้วิธีที่จะอดกลั้นต่อต่อสิ่งต่างๆเพิ่มมากขึ้น ฮันซุงจะประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน มนุษยชาติจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และมีพลังมากพอสำหรับการรุกรานของเหล่าปีศาจ อย่างไรก็ตามฮันซุงไม่ฮาร์ดคอร์พอ เขาไม่กล้าทำสงครามกับเผ่าพันธุ์ตัวเอง หรือเดินเข้าไปสู่ด้านมืดผ่านการนองเลือด ในทางกลับกัน… ‘ฉันแตกต่าง’ มูยองเดินไปบนเส้นทางนั้นแล้ว ดังนั้นเแผนของเขาจึงไม่ใช่แค่เป็นศัตรูของเหล่าเทพปีศาจ แต่เป็นศัตรูกับทุกคน! เส้นทางที่มูยองต้องการเดินนั้นช่างยาวไกลและเต็มไปด้วยอันตราย มันเป็นเส้นทางที่ไม่มีใครตระหนักถึงและคิดที่จะแลเหลียว มันเป็นเส้นทางที่เขาจะต้องเดินเพียงลำพัง มันเป็นอะไรบางอย่างที่มีแค่มูยองเท่านั้นที่ทำได้ ‘สิ่งแรกที่ฉันต้องทำคือปลดปล่อยความรู้ที่หลายคนฮุบไว้’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโนเบิลคาสเซิลที่ต้องลงมือเป็นพิเศษ จำนวนข้อมูลที่ซ่อนอยู่ในสถานที่แห่งนี้นับว่าเกินความคาดหมาย สถานที่เช่นห้องหกปราชญ์ของตระกูลแอดวานซ์ถูกสร้างขึ้น มีข้อมูลมากมายที่กระทั่งแม้แต่พวกมันเองก็ยังจำไม่ได้ว่ามีอะไรอยู่ข้างในบ้าง ดังนั้นจุดแรกที่มูยองมุ่งหน้าไปก็คือ ตระกูลแอดวานซ์ ในขณะที่เขาเหยียดมือ ด้วยเสียงการกระตุ้นบางอย่าง จมูกของเขาก็ได้กลิ่นบางสิ่งกำลังถูกเผาไหม้ ตระกูลแอดวานซ์เปิดการใช้งานบาร์เรีย กำแพงป้องกันที่มีพื้นที่ครอบคลุมไปทั่วบริเวณ ‘น่าสนุก’ อย่างไรก็ตามสำหรับมูยองสิ่งนี้ดูเหมือนเป็นการกระทำที่น่ารักเท่านั้น ถ้าอยากทำลายบาร์เรียโดยง่ายที่สุด ก็คือเรียกซออึนเซออกมาจัดการ เพราะความสามารถวิเคราะห์ของเธอ ทำให้มูยองค้นพบเกี่ยวกับหอคอยทั้ง 45 แห่งและเส้นทางแห่งนรกภูมิ แต่มูยองไม่ได้เรียกซออึนเซ เขาชูมือขึ้น และเพิ่มขนาดของเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ฟูมม! เปลวเพลิวศักดิ์สิทธิ์ขยายจนกลายเป็นบอลลูนขนาดใหญ่ ขนาดของมันเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ จากนั้นผืนดินก็เกิดการเปลี่ยนแปลงและสั่นไหวรุนแรง เขาไม่แน่ใจว่ามันเกิดจากฝีมือของใครหรือเปล่า แต่พื้นดินก็ปะทุขึ้นและยิงบางอย่างมาที่เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ เห็นดังนั้น มูยองจึงส่งเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์พุ่งไปสู่ตระกูลแอดวานซ์ทันที บรึม! นี่คือทั้งหมดของตระกูลแอดวานซ์ เมื่อเกราะป้องกันถูกสัมผัสโดยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธ์เสียงกัมปนาทรุนแรงก็ถูกสร้างขึ้น บาร์เรียที่ประกอบขึ้นจาก 37 ชั้นนั้นเริ่มพังทลายทีละชั้นๆ 1, 2, 3 …ในไม่ช้าพวกมันก็แตกสลายออกไปมากกว่า 30 ชั้น ดวงตาของคนที่อยู่ภายในบาร์เรียเบิกกว้างขึ้น ราวกับว่าพวกมันไม่สามารถเชื่อได้ “ อาชญากรรมของพวกแกคือ…การยืนอยู่เฉยๆ” ตอนที่โลกล่มสลาย เหล่าวีรบุรุษคนแล้วคนเล่าต่างยอมพลีชีพ แต่ตระกูลแอดวานซ์ไม่ยอมทำอะไรเลย พวกเขายังคงเกียจคร้าน แม้ว่าพวกเขาจะฉลาด แต่พวกเขาไม่ได้ใช้ความรู้เพื่อช่วยเหลือโลก พวกเขาเสียเวลาไปกับการศึกษา มูยองไม่ได้กล่าวหาว่าการศึกษาไม่ดี แต่จะศึกษาวิจัยหาความรู้ไปทำไม ถ้าไม่เอามันออกมาใช้งาน? เนื่องจากการค้นพบของตระกูลแอดวานซ์ เหล่าปีศาจกลายเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากพลังนั้นแทนมนุษยชาติ ราชาปีศาจและเทพปีศาจบางตนเริ่มสนใจในข้อมูลที่กลุ่มแอดวานซ์มี และรับมันมาจากพวกเขา มนุษยชาติมีช่วงเวลาที่ยากลำบากขึ้นหลายเท่าเนื่องจากเหตุการณ์นี้ คงจะดีกว่าถ้าผลงานวิจัยเหล่านั้นไม่มีตัวตน เพล้ง! บาร์เรียทั้ง 37 ชั้นถูกทำลาย อย่างไรก็ตามมวลเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้สูญเสียความแข็งแกร่งไปแม้แต่น้อย จากนั้นก็พุ่งเข้าชนปราสาทของตระกูลแอดวานซ์ และทำลายทุกอย่างในบริเวณโดยรอบ ผู้คน สิ่งก่อสร้าง พื้นดิน รวมถึงทุกอย่าง อย่างไรก็ตามสิ่งที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินยังคงอยู่ มูยองขุดห้องหกปราชญ์ขึ้นมา ห้องหกปราชญ์ หลุมฝังของความรู้ดีๆนี่เอง แน่นอนว่าการทำให้มันปรากฏขึ้นมาท่ามกลางสายตาของผู้คน อาจจะไม่ใช่วิธีหยุดยั้งมันจากการถูกฝังอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงต้องการให้ใครซักคนโกรธเมื่อเห็นสิ่งนี้ สักคนที่แข็งแกร่งและเป็นที่ไว้วางใจต่อสาธารณะชน “ หยุดนะ ไอ้ปีศาจ!” นักบวชของมูลาลันปรากฏ ดูเหมือนว่าเขาจะทนไม่ไหวหลังจากเห็นตระกูลแอดวานซ์หายไปต่อหน้าต่อตา “ ชีวิตของผู้คนไม่มีค่าสำหรับแกเลยเหรอไง?!” “มันไร้ความหมายสำหรับฉัน” มันไม่มีอะไรสำคัญจริงๆ สิ่งที่เรียกว่าชีวิตสามารถถูกลบเลือนไปได้อย่างง่ายดายเพียงแค่โบกมือ ตอนที่เขาเป็นนักฆ่า และแม้กระทั่งตอนนี้ น้ำหนักของชีวิตดูเบาเกินไปสำหรับมูยอง และน้ำหนักเช่นนี้ดูจะเหมือนกันไปตลอดชีวิตของเขา “ ทุกชีวิตล้วนมีความดีงาม! มันไม่ได้ไร้ค่าเหมือนที่แกคิด…” “ นี่แกกำลังพยายามสอนฉันเหรอ?” ตึง! ตึง! สุนัขจิ้งจอกเก้าหางขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น ด้วยขนาดที่ใหญ่โตไม่ต่างจากอาคาร 5 ชั้น ย่อมไม่มีใครหยุดยั้งหายนะจากพละกำลังมหาศาลและพลังจากลูกปัดวิญญาณของพวกมันได้ กลุ่มพวกเขามีเพียงห้าคน และตอนนี้จิ้งจอกเก้าหางได้ล้อมอาแลนซ์และผองเพื่อนพาราดินไว้หมดแล้ว ก๊าซ! ในขณะที่บนฟากฟ้ายังมีมังกรกระดูกเจ็ดตัวโบยบินอยู่ มังกรกระดูกกำลังช่วยมอนสเตอร์ตัวอื่นทำลายสิ่งปลูกสร้างต่างๆ “ แก…นายคือบันยะใช่ไหม? ใช่แล้ว? นายทำเรื่องโหดร้ายแบบนี้ลงได้ยังไง!” อาแลนซ์ตระหนักได้ว่ามูยองเป็นบันยะ แม้ว่าเขาอาจจะไม่เคยเห็น แต่เหตุผลจากการอนุมานของเขาก็เยี่ยมยอด อย่างไรก็ตามมูยองส่ายหัว “ ฉันไม่ใช่บันยะ” จากนั้นเขาพูดต่อ “ ฉันชื่อมูยอง” ‘มู’ คือความว่างเปล่า ‘ยอง’ หมายถึงเงา แม้ว่าในตอนแรกเขามีชื่อยู่ยอง แต่เขาก็ยังกลายเป็นมูยองเงามืดของโลกใบนี้ ‘มู…ยอง! อาแลนซ์คิดเกี่ยวกับชื่อนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก “ แกบอกว่าฉันโหดเหี้ยมงั้นเหรอ? ไม่ใช่แค่ฉัน แต่ทุกคนล้วนโหดเหี้ยมและชั่วร้าย” “ นั่นไม่จริง! ทุกคนมีด้านดีเสมอ!” “จริงเหรอ ถ้างั้นสิ่งที่อยู่ใต้ดินตอนนี้คืออะไร?” หลังจากกวาดล้างฐานทัพทิ้ง ประตูโลหะสองสามบานซึ่งนำไปสู่ชั้นใต้ดินก็ปรากฏขึ้น พวกมันเป็นประตูเหล็กที่สามารถทนต่อการโจมตีของมูยองได้ สิ่งต่างๆที่อยู่ในนั้นย่อมไม่ธรรมดา มอนสเตอร์เคลื่อนไปเปิดประตูโลหะบานหนึ่ง จากนั้น ศพจำนวนมากที่ไม่สามารถแยกแยะได้ก็สามารถมองเห็น “ เพื่อประโยชน์ในการค้นคว้าวิจัย พวกมันกักขังคนบริสุทธิ์ไว้ทดลองในนี้” “อะไรนะ?” แอ๊ด! ตึง ! ประตูโลหะอีกบานถูกเปิดออก คราวนี้เป็นซากศพของสัตว์นานาชนิดปรากฏให้เห็น “ มีเพียงชีวิตของมนุษย์เท่านั้นที่มีค่างั้นหรือ?” “ มันเกิดขึ้นได้ยังไง…ไม่ มันเป็นไปไม่ได้ ทำไมมูลาลันถึงไม่รู้เรื่องพวกนี้!” อาแลนซ์ส่ายหัวราวกับว่าเขาไม่เชื่อสายตาตัวเอง อย่างไรก็ตามมูยองยิ้ม “ การผูกขาดข้อมูล นั่นหมายความว่าเป็นไปได้ที่จะปกปิดข้อมูล” ถึงตระกูลแอดวานซ์จะไม่เคยยื่นมือเข้าไปช่วยฝ่ายไหนเลย แต่ก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปยุ่งกับพวกมันได้ เป็นเพราะข้อมูลที่พวกเขามีก็เป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งเช่นกัน เมื่อพวกเขารู้เกี่ยวกับจุดอ่อนของผู้อื่น และผู้อื่นจะเข้าไปยุ่งกับพวกเขาได้อย่างไร เอี๊ยด! ตึง! ประตูเหล็กบานสุดท้าย คราวนี้ไม่มีซากศพใดๆ อย่างไรก็ตาม ภายในนั้นมีหนังสือหลายแสนเล่มที่เติมเต็มห้อง รวมทั้งเส้นทางไปยังอีกชั้นหนึ่งด้านล่าง “ ถ้าเป็นแก แกคิดว่าตัวเองจะใช้พลังที่ได้รับนี้เพื่อความดีเท่านั้นเหรอ? ข้อมูลและความรู้เป็นอาวุธที่แข็งแกร่ง พวกมันสามารถย้อมความคิดของใครก็ตามให้แปดเปื้อนได้” “ ฉันไม่มีวันถูกมันล่อลวงเด็ดขาด! ฉันไม่มีวันขายวิญญาณให้กับความชั่วร้าย!” อาแลนซ์รู้สึกเสียสติเล็กน้อยหลังจากได้เห็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ มันเป็นภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากนักบวชที่ต้องสงบอยู่ตลอดเวลา “ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็รับผิดชอบพวกมันซะ จากนี้ไปมันจะเป็นการต่อสู้ของแกกับฉัน คงจะสนุกไม่น้อยถ้าได้เห็นคนอย่างแกถลำเข้าสู่ด้านมืด” มูยองยั่วยุอาแลนซ์ แต่เขายังแอบให้คำแนะนำเล็กน้อย มันตราราชันย์ มูยองสามารถใช้มันเพื่อปรับเปลี่ยนความคิดของคนผู้หนึ่งได้ อาแลนซ์จะเปิดเผยองค์ความรู้มากมายเหล่านี้เพื่อพัฒนาผู้คน หากมองจากลักษณะนิสัยของเขา มันเป็นได้ได้น้อยมากที่อาแลนซ์จะใช้ความรู้ที่ได้รับเพื่อผลประโยชน์ของเขาเอง มูยองกางปีกสยายขึ้น จากนั้นมุ่งหน้าไปยังสถานที่ต่อไปอย่างไม่รีบร้อน “ ฉันจะไม่ถูกมันกลืนกิน! ฉันจะไม่กลายเป็นปีศาจเหมือนนาย!” อาแลนซ์พูดขึ้นในขณะที่แหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้าด้วยท่าทีแข็งกร้าว ใช่ เขาจะเป็นอัยการแห่งความยุติธรรมเอง
YOU MAY ALSO LIKE
Tips: Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipisicing elit, sed do eiusmod tempor incididunt ut labore et dolore magna aliqua. Ut enim ad minim veniam, quis nostrud exercitation ullamco laboris nisi ut aliquip ex ea commodo consequat. Duis aulores eos qui ratione voluptatem sequi nesciunt. Neque porro quisquam est, qui dolorem ipsum quia dolor sit ame