The Defeated Dragon - ตอนที่ 155
หลังจากที่ใช้เวลา 4 วันบนท้องถนน เหยินปาเชียนก็ได้เห็นอะไรหลายอย่าง ทุกครั้งที่พวกเขาแวะไปที่หมู่บ้าน พลทหารม้าติดปีกจะสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับเด็กที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สอนอะไรเด็กมากนัก แต่แนวทางที่พวกเขาให้นั้นก็ยังคงมีค่าสำหรับพวกเขามากทีเดียว แนวทางเหล่านี้สามารถช่วยให้เด็กเหล่านี้ประหยัดเวลาและความพยายามในการเติบโตในอนาคตได้
ชนเผ่าไม่ได้ใช้ความพยายามในการส่งเสริมความมุ่งมั่นการต่อสู้และความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับสามัญชน มันทำให้เหยินปาเชียนมีอารมณ์อ่อนไหว เพราะตัวเขาเองก็ไม่ค่อยได้ยินเรื่องนี้เกิดขึ้นในจีนยุคโบราณสักเท่าไหร่
นอกเหนือจากกองทัพที่ก่อตั้งระบอบการปกครองปัจจุบันของจีนแล้ว ยังมีกองทัพเพียงไม่กี่เหล่าในประวัติศาสตร์ของจีนที่ชนะใจประชาชน ในยุคโบราณประชาชนมักจะมองทหารว่าเป็นเหมือนหมาป่า
ไม่กี่วันต่อมา พวกเขาก็ได้มาถึงเมืองขนาดเล็ก เหยินปาเชียนจึงแนะนำว่าควรพักผ่อนสักวัน
ถึงแม้ว่าคนอื่นจะดูถูกเหยียดหยามก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรเลย ยังไงซะเหยินปาเชียนก็มีสถานะเฉพาะตัว
เหยินปาเชียนได้บอกพวกเขาว่าอย่ารบกวนตน และได้บอกให้นำอาหารของตนไปวางไว้หน้าประตูห้อง หลังจากนั้นเขาก็กลับไปยังห้องของตัวเองบนดาวโลก
การเดินทางที่ยาวนานและยากลำบากทำให้เขาเหนื่อยล้า เขาจึงต้องการพักผ่อนให้เต็มที่
ถึงแม้ว่าคำขอของเขาจะค่อนข้างไร้เหตุผล แต่เขาก็ยังต้องร้องขออยู่ดี ยังไงซะเขาก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนนึง แม้กระทั่งตอนที่เขาอยู่ที่ต้าเย่า เขาก็ไม่ได้ทนทุกข์ทรมานมากมายนัก
ประสบการณ์ที่ลำบากที่สุดที่เขาเคยเจอในคืนนั้น จะต้องเป็นตอนที่เขาใช้ชีวิตในป่าในช่วงการล่าครั้งใหญ่ไม่ผิดแน่
อย่างไรก็ตาม มันเป็นความเครียดทางจิตใจมากกว่าความเครียดทางร่างกายสำหรับเขาในตอนนั้น มันเทียบกับความเหนื่อยล้าที่เขารู้สึกในครั้งนี้ไม่ได้เลย
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เวลาของเขาในโลกนั้นก็เพิ่มขึ้น มันจะดีสำหรับเขามากกว่าที่จะหาที่เคลื่อนย้ายในตอนนี้ ดีกว่าเคลื่อนย้ายในวันรุ่งขึ้น
เมื่อเหยินปาเชียนกลับไปยังดาวโลก เขาก็ทิ้งตัวลงบนเตียงทันที เตียงนุ่มและใหญ่ที่ไม่สั่นเมื่อเขากระโดดนั้นรู้สึกนุ่มสบายอย่างมาก
ในที่สุดเหยินปาเชียนก็ตื่นขึ้นมาหลังจากนอนหลับไปประมาณ 5 ชั่วโมง เขาไม่ต้องการลุกขึ้นและได้กลิ้งไปมาทั่วเตียง หลังจากนั้นสักพัก เขาก็ลุกจากเตียงมาทำมาม่ากินถ้วยนึง
หลังจากที่ใช้เวลาอยู่บ้าน 3 วันโดยไม่ออกไปข้างนอกเลย เหยินปาเชียนก็ได้กลับไปยังโลกนั้นอีกครั้ง ตอนที่เขาไปถึงโลกนั้น มันต้องเป็นเที่ยงคืนอย่างแน่นอน เขานอนบนเตียงแล้วงีบหลับไป หลังจากนั้นหลายชั่วโมง เขาก็ได้ยินเสียงคนมาเคาะประตู
“ท่านข้าหลวงผู้รักษาการขอรับ”
“เข้ามาเลย” เหยินปาเชียนลุกขึ้นจากเตียง
“ใต้เท้า ถึงเวลาต้องออกเดินทางแล้วขอรับ” คนที่เคาะประตูคือเถิงจี้ ในที่สุดเขาก็รู้สึกโล่งใจเมื่อได้เห็นเหยินปาเชียน
ตลอดทั้งวันไม่มีเสียงจากห้องของเหยินปาเชียนเลย อาหารที่วางอยู่ตรงหน้าประตูห้องของเหยินปาเชียนก็ไม่ถูกแตะด้วยเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกไม่สบายใจตลอดเวลาที่ผ่านมานี้
หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเหยินปาเชียนเตือนเขาไม่ให้รบกวนตนล่ะก็ เขาคงจะบุกเข้าไปในห้องแล้ว
“ได้เลย เข้าใจแล้ว” เหยินปาเชียนพยักหน้าแล้วตอบกลับไป เขาลุกจากเตียงไปล้างหน้า เมื่อผ่านไปชั่วโมงนึง เขาก็กลับไปที่รถม้าบนถนน
เขาต้าหมัวคือสถานที่ตั้งของเหมือง 1 ใน 2 แห่งในต้าเย่า อาชญากรทุกประเภททำงานอยู่ในนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเชลยสงครามที่ถูกจับกุมระหว่างความขัดแย้งของต้าเย่ากับแคว้นเพื่อนบ้าน ในปัจจุบันมีอยู่ไม่กี่พันคน ความแข็งแกร่งของพวกเขาบรรลุถึงขั้นกลางของระดับกงจักรมนุษย์ อย่างไรก็ตาม พวกเขาทุกคนถูกล่ามโซ่ด้วยกุญแจมือ และพวกเขาไม่มีโอกาสที่จะหนีรอดเลย
ถึงแม้ว่าเหมืองจะเต็มไปด้วยนักรบหนุ่มที่แข็งแกร่ง ระยะเวลาในการสกัดแร่เหล็กก็ยังช้ามาก การเพิ่มจำนวนกำลังคนก็เปล่าประโยชน์ หินในเหมืองมีความแข็งเท่ากับโลหะ การโขกจากพลั่วทุกครั้งทำให้เกิดประกายไฟและเป็นจุดขาวบนก้อนหิน
มีคนอยู่ 300 คนคอยเฝ้าดูแลสถานที่แห่งนี้ ความแข็งแกร่งของผู้เฝ้ายามที่อ่อนแอที่สุดอยู่ในระดับกงจักรมนุษย์
ความแข็งแกร่งของคนที่ทรงพลังคือเหตุผลที่ว่าทำไมต้าเย่าถึงสามารถใช้พลทหารเพียง 60,000 นายในการป้องกันการรุกรานจากทั้ง 3 แคว้น
นักรบ 1 คนจากนักรบ 60,000 คนจะอยู่ในระดับกงจักรมนุษย์เป็นอย่างน้อย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต้องปกป้อง 3 ด้านในคราวเดียว พวกเขาก็จะไม่ทำเป็นเล่น พวกเขาเป็นเสาหลักของความมั่นคงของต้าเย่า
ขบวนรถม้าและเหล่าม้ามาถึงที่ตีนเขาต้าหมัวแล้ว
“ใครน่ะ ?” ทหารยามที่ตีนเขาก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วถามออกมา
สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในส่วนลึกของต้าเย่า เพียงแต่ผู้มาเยือนก็เป็นชนเผ่าเช่นกัน และดังนั้น ผู้เฝ้ายามจึงไม่ได้เฝ้าระวังอย่างจริงจัง
“บอกให้ผู้บังคับบัญชาของเจ้าออกมา นี่คือเหรียญตราพระราชบัญชาของพระองค์” เถิงจี้พูดด้วยเสียงต่ำขณะที่นั่งอยู่บนสัตว์ขี่ของตน
ในขณะที่รอเหยินปาเชียนกับเถาจี้หยวนออกจากรถม้าแล้วยืดร่างกาย การที่อยู่บนรถม้าเป็นเวลาสองวันทำให้ร่างกายของพวกเขาแข็งทื่อไปหมด
ถึงแม้ว่าเหยินปาเชียนจะได้พักอยู่บนโลกเป็นเวลา 3 วัน ดูเหมือนเถาจี้หยวนจะมีสภาพที่ดีกว่าเขาซะอีก เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องชื่นชมในสุขภาพร่างกายของชนเผ่า
ไม่กี่วันมานี้ เหยินปาเชียนได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับเถาจี้หยวน ยังไงซะพวกเขาก็คุยกันระหว่างเดินทางมาที่นี่ ในวันที่ 3 เหยินปาเชียนและเถาจี้หยวนก็ยังนั่งอยู่ในรถคันเดียวกันและพูดคุยกันอยู่หลายครั้ง
หลังจากที่พูดคุยกับเถาจี้หยวนแล้ว เหยินปาเชียนก็รู้ว่าไม่เพียงแต่เขาจะเฉลียวฉลาดเท่านั้น แต่เขายังมีความรู้หลายด้านด้วย เถาจี้หยวนถูกมองว่าเป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากในหมู่ชนเผ่า
เหยินปาเชียนยังพบอีกว่ามีข้าราชการระดับสูงจำนวนหนึ่งจากตระกูลของเถาจี้หยวนในรุ่นที่ผ่านมา ตระกูลของเขามีหนังสือจากแคว้นอื่นมากมายด้วยเช่นกัน พวกเขามีหนังสือ 500 เล่ม ซึ่งถือว่ามีความอุดมสมบูรณ์ในหมู่ตระกูลตระกูล
เถาจี้หยวนได้เติบโตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาเฉลียวฉลาดได้ขนาดนี้
แต่ทว่าสุขภาพร่างกายของเขาเกิดมาอ่อนแอ และจำกัดความคืบหน้าในการฝึกฝนของตัวเขา
เหยินปาเชียนได้ยินว่าเขามีพี่ชายที่ดำรงตำแหน่งในกองทัพฝ่ายซ้าย ถึงแม้ว่าตำแหน่งของเขาในปัจจุบันจะไม่สูงเท่าเถาจี้หยวน แต่ภาพลักษณ์ของเขาก็ดีกว่าเถาจี้หยวน
ในสายตาของชนเผ่า ตำแหน่งข้าราชการในกองทัพมีภาพลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทุกอาชีพ อย่างน้อยเถาจี้หยวนก็เต็มไปด้วยความหวังและความภาคภูมิใจเมื่อเขาพูดถึงพี่ชายของเขา
หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็เห็นชายสามคนพุ่งลงมาจากภูเขา ทั้งสามคนสวมชุดเกราะและมีดาบอยู่ที่เอว
“ข้ากู่ฉง เป็นผู้คุมของที่แห่งนี้ ข้าไม่ทราบว่าท่านจะมาที่นี่ ท่านมีเหรียญตราพระราชบัญชาของพระองค์มั้ย ?” ชายข้างหน้าพูดเสียงดังพร้อมกับใช้สายตามองดูทุกคน เขามีอายุประมาณ 40 ปี เขามีหนวดเคราหนาบนใบหน้า ชุดเกราะที่เขาสวมอยู่มีฝุ่นเล็กน้อย
เพียงแค่แว้บเดียว เขาก็สามารถบอกได้ว่าพวกเขาเป็นพลทหารม้าติดปีก ยังไงซะมันก็เป็นเพียงหน่วยเดียวในต้าเย่าที่มีขนนกสีลายจุดยื่นออกมาจากเกราะไหล่
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่สายตาของเขาจ้องไปที่เหยินปาเชียนกับเถาจี้หยวน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคือผู้เป็นใหญ่ของที่นี่
ถึงแม้ว่าพลทหารม้าติดปีกจะทรงพลังและเป็นกองทัพส่วนตัวขององค์จักรพรรดินี นางก็ไม่มีอำนาจเหนือสถานที่แห่งนี้
“คนนี้คือเหยินปาเชียน ข้าหลวงผู้รักษาการแทน คนนี้คือเถาจี้หยวน ผู้คุมกำลังทหาร ข้าเถิงจี้ พันเอกแห่งทหารยามติดปีก พวกเราอยู่ภายใต้พระราชบัญชาของพระองค์ ที่จะมาที่นี่เพื่อตรวจสอบและค้นหาวิธีการแก้ปัญหาเพื่อเพิ่มผลผลิตเหมือง”
ในขณะที่เถิงจี้พูด เขาก็โยนกระดาษสีขาวไปให้กู่ฉง กระดาษสีขาวลอยผ่านอากาศราวกับเป็นของแข็ง
กู่ฉงรับกระดาษด้วยมือข้างเดียวแล้วมองไปที่กระดาษ หลังจากนั้นรอยยิ้มก็ปรากฎบนหน้าพร้อมกับพูดออกมา “อ้อ โปรดตามข้ามา”
เหยินปาเชียนกับเถาจี้หยวนไม่ได้ขึ้นรถม้าของตน พวกเขาเดินไปทางกู่ฉงแล้วกำมือเพื่อทักทายเขา กู่ฉงกลับมาทักทายด้วยเช่นกัน
“นายพลกู่ โปรดนำทางด้วย”
ทุกคนตามเขาไป
เหยินปาเชียนไม่สามารถมองเห็นเขาต้าหมัวได้อย่างเต็มที่ตอนที่เขาอยู่ที่ตีนเขา ตอนนี้เขาได้เดินตามกู่ฉงขึ้นไปบนภูเขา เขาสามารถมองมุมกว้างบนเขาต้าหมัวและเหมืองได้
เขาต้าหมัวยังคงเป็นที่สะดุดตาที่สุด มันสูง 700 เมตร มีรูปร่างเหมือนฝาหม้อวางคว่ำไว้ ภูเขาทุกลูกไม่มีต้นไม้หรือพืชมากมายนัก โดยเฉพาะข้างทางที่เหยินปาเชียนและคู่หูของเขากำลังเดินอยู่ ต้นไม้ถูกโค่นลง เผยให้เห็นหินที่หยาบและขรุขระ
ที่ตีนเขา มีชายหลายพันคนทำงานโดยใช้พลั่วในมือ พวกเขาทำงานในการขุดเหมืองหนักมาก โดยโยนหินที่แตกทุกชิ้นไปด้านข้าง
พร้อมกับสายลม ลมฝุ่นกระโชกแรงพัดเข้าหาเหยินปาเชียนและลูกน้องของเขา