The Defeated Dragon - ตอนที่ 154
ในตอนบ่าย เหยินปาเชียนเดินออกจากประตูพระราชวังไปพร้อมกับสวมชุดข้าราชการข้าหลวงผู้รักษาการแทน มีรถม้า 2 คันรออยู่ด้านนอกลานกว้าง ทั้ง 2 คันมีวัวหลังค่อมคอยลากรถม้า แต่พวกมันก็มีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูแตกต่างกันมากทีเดียว
รถม้าคันหนึ่งมาจากพระราชวังโดยมีวัวหลังค่อม 2 ตัวคอยลาก รถม้าทั่วทั้งคันทำจากไม้และให้กลิ่นไม้ คนขับรถม้าเป็นชายชราผมสั้นสีเทา และมีใบหน้าที่เหลี่ยมซึ่งดูเคร่งขรึมมากทีเดียว
ในทางกลับกัน รถม้าคันที่สองเป็นของเถาจี้หยวน มันถูกวัวหลังค่อม 2 ตัวคอยลากด้วยเช่นกัน แต่รถม้าคันนั้นเล็กกว่าหน่อย
ด้านหลังรถม้าทั้ง 2 คันมีทหารม้าสวมชุดเกราะหนัง 4 นาย พวกเขาไม่ได้สวมหมากเกราะ แต่ทุกคนต่างก็มีขนนกติดอยู่ที่ไหล่ พวกเขาคือพลทหารม้าติดปีก ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาสูงสุดขององค์จักรพรรดินี มีเพียง 1,500 นายเท่านั้น แต่สมาชิกที่อ่อนแอที่สุดของพวกเขาดันแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกหัดระดับกงจักรดินของมหาจักรวรรดิเซี่ยซะอีก
ผู้ที่เพิ่งจะเข้าสู่ระดับกงจักรดินในมหาจักรวรรดิเซี่ยสามารถดำรงตำแหน่งทางทหารเป็นตำแหน่งมาตรฐานขั้นที่ 7 หรือต่ำกว่า ตรงกันข้ามกับต้าเย่า คนที่มีระดับความแข็งแกร่งเท่ากันสามารถดำรงตำแหน่งทางทหารเป็นตำแหน่งมาตรฐานขั้นที่ 7 หรือต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม พวกเขาเป็นเพียงพลทหารธรรมดาในหมู่พลทหารม้าติดปีก
สมาชิกพลทหารม้าติดปีกเหล่านี้ต่างก็ขี่แพะขนาดยักษ์ สัตว์เหล่านี้สามารถวิ่งได้ค่อนข้างเร็ว และพวกมันกระโดดได้ดีเป็นพิเศษ ความสามารถในการข้ามผ่านสันเขาของพวกมันอยู่ในระดับเดียวกับนกจ้องเขา เพียงแต่ว่ามันจะเป็นการขี่ที่สะเทือนกว่าเล็กน้อย
เหตุผลที่พวกเขาเลือกสัตว์ขี่ชนิดนี้มากกว่านกจ้องเขาก็คือ เหล่าพลทหารม้ามีโครงสร้างร่างกายที่ใหญ่กว่า เมื่อรวมกับอาวุธของพวกเขาแล้ว จะทำให้น้ำหนักนั้นเกินกว่าที่นกชนิดนี้จะรับมือไหว อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เมื่อมีนกจ้องเขาจำนวนมากมารวมตัวกัน กลิ่นเหม็นสาบจะต้องรุนแรงอย่างแน่นอน
“ขอบคุณมาก” เหยินปาเชียนกำมือด้วยความรู้สึกขอบคุณหลังจากที่ทหารหลวงย้ายกระเป๋าเดินทางของตนขึ้นรถม้า
เขาคุ้นเคยกับทหารหลวงคนนี้มาก ปกติเขาหรือไม่ก็ทหารหลวงคนอื่นมักจะเฝ้ายามอยู่ที่ประตูของสวนสัตว์ผิงเล่อ และเขาก็ได้เข้าเวรในวันนี้
ทหารหลวงหัวเราะพร้อมกับอ้าปากกว้าง เขากำมือคำนับให้เหยินปาเชียนแล้วกลับไปที่พระราชวัง
“ข้าหลวงผู้รักษาการเหยิน !” เถาจี้หยวนลงจากรถม้าแล้วกล่าวทักทาย ในตอนนั้น เขาประเมินเหยินปาเชียนตั้งแต่หัวจรดเท้า เนื่องจากเขาไม่ได้มองเหยินปาเชียนให้ดีเมื่อเช้านี้ เขาไม่เห็นอะไรพิเศษในตัวเหยินปาเชียนเลย
อย่างไรก็ตาม เมื่อใต้เท้าเฟิงกลับไปเมื่อครู่นี้ เขาบอกให้เถาจี้หยวนทำตามคำสั่งของเหยินปาเชียน เถาจี้หยวนรู้สึกประหลาดใจ เขาอยากรู้ว่าพวกเขาพูดอะไรหลังจากเขาออกจากพระราชวังไป
น่าเสียดายที่เฟิงโหวถูกบังคับให้เงียบปากไว้ เขาไม่สามารถพูดได้ว่าตนอาจไม่เข้าใจสิ่งที่เหยินปาเชียนพูดแม้แต่สิ่งเดียวอย่างนั้นหรือ ?
เมื่อเห็นสีหน้าที่มั่นใจบนหน้าเหยินปาเชียน และด้วยเนื้อหาทั้งหมดที่เขาไม่เข้าใจ เขาจึงลังเลเล็กน้อย เขาไม่แน่ใจว่าชายคนนี้รู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นหรือไม่
ในขณะนั้น จักรพรรดินีได้พูดไว้ “นั่นมันสำหรับตอนนี้ พวกเราจะดูว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไรเมื่อถึงเวลา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟิงโหวก็กลืนคำที่อยู่ตรงปลายลิ้นลงไป เขาตัดสินใจที่จะรอดูว่าภารกิจเหมืองแร่เหล็กของเหยินปาเชียนจะออกมาเป็นอย่างไร
“ข้าหลวงผู้รักษาการเหยิน พวกเราจะออกเดินทางเลยมั้ยขอรับ ?” เถิงจี้ลงจากสัตว์ขี่แล้วก้าวมาข้างหน้าไม่กี่ก้าวก่อนจะถามออกมา
“ข้าซาบซึ้งในความพยายามของท่านผู้คุมกำลังทหาร ออกเดินทางได้ !” เหยินปาเชียนพูดออกมาขณะที่เขามองกลับไปที่ประตูพระราชวังที่ปิดสนิท จากนั้นเขาก็หันกลับไปขึ้นรถม้า
รถม้า 2 คันที่ถูกวัวหลังค่อมทั้ง 2 ตัวลากนั้นไม่กว้างมาก มีขนาดประมาณ 1.6 เมตร เขาต้องเหยียดขาออกไปข้างนอกถ้าเขาต้องการจะนอน พื้นขนแผ่กระจายไปทั่วพื้นรถม้า โดยมีโต๊ะขนาดเล็กอยู่ด้านข้างเพื่อวางสิ่งของ อย่างเช่น ไวน์ ผลไม้ เป็นต้น
รถม้าทั้งหมดในยุคนั้นเป็นล้อไม้และสะเทือนมาก มันยังพอเป็นไปได้ที่จะวางสิ่งต่าง ๆ อย่างเช่น ไวน์ หรือน้ำไว้บนโต๊ะภายในเมือง แต่เมื่อออกจากเมืองแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคิดแม้แต่นิดเดียว
เหยินปาเชียนนั่งไขว้ขาในรถม้าแล้วเอนตัวพิงกำแพง เขาดึงม่านขึ้นแล้วมองออกไปข้างนอก
“ออกเดินทางได้ !” คำสั่งของเถิงจี้ดังขึ้น
ทุกคนหันสัตว์ขี่กลับไป แล้วรถม้าวัวลากก็เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ
พวกเขาเร่งความเร็วขึ้นเมื่อออกจากเมืองไป เหยินปาเชียนมองดูทิวทัศน์ด้านนอกระหว่างทาง เขารู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจากรถม้า ถึงแม้ว่าจะผ่านหินก้อนเล็กเพียงก้อนเดียว เขาก็ยังสามารถรู้สึกได้
โชคดีที่เขามีพรมขนสัตว์อยู่ข้างใต้ มันมีประโยชน์มากมายจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะมีพรมขนสัตว์ แต่เหยินปาเชียนก็ไม่สามารถรับมันได้หลังจากผ่านไป 4 ชั่วโมง เขาจึงดึงม่านขึ้นแล้วรูดทางด้านข้างคนขับเกวียนเพื่อรับลมกับฝุ่น หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กลับไปที่รถม้า
“การเดินทางไกลในโลกนี้แม่งทรมานจริง ๆ” เหยินปาเชียนถอนหายใจลากยาว เขาดึงม่านที่หน้าต่างขึ้นแล้วมองออกไปข้างนอกต่อไป
โลกนี้ไม่มีอะไรให้มองมากมายนัก
ไม่มีอะไรอย่างอื่นนอกจากภูเขากับน้ำ หากไม่ใช่มันก็จะกลับไปเป็นไร่นาอีก
แถมยังมีสัตว์ที่น่ากลัวอยู่ข้างถนนเป็นครั้งคราวอีกด้วย
ในตอนแรกมันก็ดูสดชื่นและน่าตื่นตาตื่นใจอยู่หรอก แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันก็น่าเบื่อ
เขาค่อนข้างเสียดายที่ไม่ได้นำเครื่องอ่านอีบุ๊กมาอ่าน อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่เขาใช้ฆ่าเวลาได้
ในตอนนั้นเอง ความคิดก็ปรากฏขึ้นในใจเขา ถ้าหากเขาได้กลับไปยังดาวโลกตอนอยู่ในรถม้า เขาจะปรากฏตัวที่ไหนตอนที่เขากลับมาล่ะ ? เขาจะยังอยู่ในรถม้าหรือเปล่า ? หรือจะอยู่ในที่ที่เขาหายตัวไปกันแน่ ?
การเดินทางครั้งนี้จะใช้เวลา 5 วัน เขาจึงต้องการทดลองดู
แต่น่าเสียดายที่หากเขาได้หายตัวไป เขาเชื่อว่าจะถูกค้นพบในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน
พวกเขาเดินทางต่อไปจนถึงเวลา 2 ทุ่ม เหยินปาเชียนดึงม่านขึ้นแล้วถามคนขับเกวียน “อีกไกลมั้ยกว่าพวกเราจะได้หยุดพักกัน ?”
“ท่านข้าหลวงผู้รักษาการขอรับ มีหมู่บ้านอยู่ข้างหน้าขอรับ” คนขับเกวียนตอบกลับมาทันที ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับพื้นที่นี้มาก
เหยินปาเชียนพยักหน้าแล้วมองไปรอบตัว ในตอนนั้นมันมืดแล้วและมองไม่เห็นอะไรเลย สามารถได้ยินเพียงเสียงเห่าหอนของสัตว์ป่าเป็นครั้งคราวจากสภาพแวดล้อมยามค่ำคืน
หลังจากที่ผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง พลทหารม้าข้างหน้าก็หยุดชะงัก เถิงจี้หันกลับมาแล้วตะโกนไปทางรถม้าของเหยินปาเชียนกับเถาจี้หยวน “ใต้เท้า ข้างหน้าคือหมู่บ้านใบไม้ร่วงขอรับ โปรดรอซักครู่ ขณะนี้พวกเราจะพูดคุยกับผู้ใหญ่บ้านขอรับ”
พลทหารม้าคนหนึ่งเดินกลับมาหลังจากนั้นไม่นาน แล้วกองทหารก็เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เนื่องจากเหยินปาเชียนไม่เคยเห็นหมู่บ้านในโลกนี้มาก่อน เขาจึงดึงม่านขึ้นแล้วไปนั่งข้างคนขับเกวียน
หมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใหญ่มากนัก เขาสามารถสร้างรั้วไม้ได้ในระยะสั้น ๆ จุดประสงค์ก็เพื่อป้องกันสัตว์ป่า ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะเรียกกันว่าหมู่บ้าน แต่ดูแล้วก็เหมือนค่ายมากกว่า
เหยินปาเชียนคาดว่าชนเผ่าจะอาศัยอยู่ในค่ายดังกล่าวเมื่อพวกเขาอยู่บนภูเขา เมื่อคนส่วนใหญ่ลงจากภูเขา พวกเขาก็ยังคงฝึกฝนกันตามปกติของพวกเขา ประเพณีดังกล่าวถูกนำมาใช้เป็นเวลานานแล้ว
เหยินปาเชียนถามคนขับเกวียนว่าสมมติฐานของตนเป็นจริงไหม
หากไม่มีสัตว์ป่ามาโจมตี บางทีหลังจากผ่านไปหลายสิบถึงหลายร้อยปี หลังจากการขยายตัวของหมู่บ้าน รั้วไม้เหล่านี้อาจหายไปด้วยเช่นกัน
ในตอนที่เหยินปาเชียนเดินตามกองทหารเข้าไปในหมู่บ้าน ลักษณะของหมู่บ้านทุกรูปแบบก็ปรากฏตรงหน้าเขา
อาคารส่วนใหญ่สร้างด้วยไม้ ด้านล่างของอาคารรองรับเสาไม้ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางอย่างน้อย 20 เซนติเมตร และสูงประมาณ 50 เซนติเมตร เพื่อป้องกันน้ำฝน งู และแมลงไม่ให้บุกรุกเข้ามาภายใน
มีกลิ่นเหม็นคาวในหมู่บ้าน บ้านหลายหลังมีสมุนไพรป่าตากแห้ง และหนังสัตว์แขวนไว้ด้านนอกเพื่อตากแดดให้แห้ง ซึ่งอธิบายถึงที่มาของกลิ่นรุนแรงนี้
เมื่อพวกเขารับรู้ว่ามีกองทหารเข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านก็ไม่ได้กลัวเลยสักนิดเดียว พวกเขาเดินออกจากบ้านด้วยรอยยิ้มแล้วโบกมือให้กับผู้คน
เสื้อผ้าของพวกเขาส่วนใหญ่ทำมาจากหนังสัตว์ เผยให้เห็นผิวสีทองแดง รอยยิ้มบนหน้ามีความจริงใจและเต็มไปด้วยความหลงใหล
พวกเขาประเมินเหยินปาเชียนด้วยความอยากรู้อยากเห็นหลังจากที่ได้เห็นเขานั่งอยู่ในรถม้า ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พวกเขาก็สามารถบอกได้ในครั้งเดียวว่าเขาไม่ใช่ชนเผ่า
“เหล่ากองทหารชนเผ่าและสามัญชนมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก” ความคิดนั้นเข้ามาหาเหยินปาเชียนในทันที
หมู่บ้านแห่งนี้มีลักษณะเป็นวงกลม และมีพื้นที่เปิดโล่งตรงกลาง โดยที่เต็มไปด้วยสิ่งของ อย่างเช่น ดัมเบลล์หิน สันนิษฐานว่าชาวบ้านใช้มันเพื่อฝึกฝนร่างกายยามว่าง
แถมยังมีแท่งไม้วางอยู่บนชั้นไม้ด้านข้างอีกด้วย
ใคร ๆ ก็สามารถบอกได้จากภาพลักษณ์ของหมู่บ้านนี้ว่าชนเผ่าชื่นชมศิลปะการต่อสู้มากแค่ไหน
บ้านพักอาศัยทั้งหมดถูกสร้างขึ้นโดยรอบพื้นที่โล่งนั้น ถูกแบ่งออกเป็น 2 ระดับ จากการเหลือบมองครั้งเดียว มีประมาณ 100 ครอบครัวหรือมากกว่านั้น ซึ่งเท่ากับประมาณ 200-300 คนอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้
ในขณะนี้ ทุกคนในแต่ละครอบครัวต่างก็จุดตะเกียงน้ำมัน บางคนออกมากล่าวทักทายกองทหาร ในขณะที่บางคนเอนตัวลงที่หน้าต่างพร้อมกับมองออกไปข้างนอก
เหยินปาเชียนลงจากรถม้าแล้วยืดเส้นยืดสายให้ดี การเดินทางในแต่ละวันนั้นทรมานมาก และในที่สุดก็ได้เวลาพักผ่อนสักที
เถาจี้หยวนกระโดดลงมาจากรถม้าด้านข้างด้วยเช่นกัน แต่เขาดูดีกว่าเหยินปาเชียนและดูเหมือนจะไม่เหนื่อยเลย
“ใต้เท้า คนนี้คือผู้ใหญ่บ้านขอรับ บ้านหลังใหญ่ที่สุดเป็นของครอบครัวของผู้ใหญ่บ้าน พวกท่านทั้งสองจะได้พักผ่อนในบ้านของผู้ใหญ่บ้านในคืนนี้ขอรับ” เถิงจี้พาชายสูงอายุมา
“สวัสดีพวกท่านทั้งสอง”
“ขอบพระคุณอย่างสุดซึ้งขอรับ” เหยินปาเชียนพูดออกมาพร้อมกับกำมือคำนับ
เถาจี้หยวนพยักหน้าแทน
เหยินปาเชียนทนยุงส่งเสียงหึ่ง ๆ ตลอดทั้งคืนในบ้านของผู้ใหญ่บ้าน เขาตื่นขึ้นตอนเช้าวันรุ่งขึ้น แล้วหาวพร้อมกับเดินตรงขึ้นรถม้า เขาสาบานกับตัวเองว่าจะอยู่ในรถม้าในครั้งต่อไป สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ มียุงเยอะมาก และพวกมันกัดตนเพียงคนเดียว เขาสงสัยว่าพวกมันถูกหนังสัตว์ที่ตากให้แห้งอยู่ข้างนอกดึงดูดไปหรือเปล่า
เขาถามเถาจี้หยวนเมื่อเขาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า แต่เขาไม่ได้ถูกยุงกัดจริง ๆ แม้แต่ยุงก็รู้ว่าจะรังควานคนอ่อนแอได้อย่างไร
นอกจากนี้ เสียงกรนของเถาจี้หยวนจากบริเวณใกล้เคียงยังทำให้เขาทรมานตลอดทั้งคืนอีกด้วย