The Dark King – กษัตริย์แห่งความมืด - ตอนที่ 652
The Dark King – Chapter 652 เทศกาลแห่งศรัทธา
แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในหอระฆังที่จัตุรัสกลาง มีทหารจํานวนมากเดินตรวจตราอยู่ที่นี่ตั้งแต่ตอนกลางคืนจนถึงเช้า พวกเขารู้สึกว่าแสงอาทิตย์ที่ส่องขึ้นมานั้นทําให้รู้สึกอบอุ่นและมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
ในตอนนี้มีเสียงม้ากําลังวิ่งเข้ามาที่นี่อย่างรวดเร็ว เป็นอัศวินหลายคนที่สวมชุดเกราะสีเงินและกําลังควบม้าเข้ามาที่จัตุรัสแห่งนี้ พวกเขาตรงมาที่หอระฆังและคนที่นําหน้ามาก็เป็นชายวัยกลางคน “ทหารทุกคนจงฟัง สมเด็จพระสันตะปาปาจะมาร่วมเทศกาลแห่งศรัทธาที่นี่ในอีก 1 ชั่วโมง ตอนนี้ผมกําลังไปตีระฆังเพื่อให้ทุกคนได้ทราบเรื่องนี้”
ทหารทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็ดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที พวกเขาไม่คิดว่าพระสันตะปาปาจะมาที่นี่ด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขาจะได้เห็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ด้วยสายตาของตนเอง!
แก๊ง แก๊ง แก๊ง…
เสียงระฆังที่ไพเราะดังออกมาอย่างต่อเนื่องแต่นี่ไม่ใช่ระฆังปกติ มันคือระฆังแห่งศรัทธาซึ่งต้องตีอย่างต่อเนื่องเป็นจํานวน 18 ครั้ง
เสียงระฆังดังไปทั่วจัตุรัสแห่งนี้ ทุกๆคนที่อาศัยอยู่รอบๆจัตุรัสก็ตื่นขึ้นมาทันทีเพราะเสียงระฆังที่ดังมาไม่หยุด ผู้อาวุโสบางคนก็ตื่นตั้งแต่ก่อนที่ระฆังจะดังและกําลังปลุกภรรยาและลูกของตนเองเพื่อไปร่วมเทศกาลแห่งศรัทธาโดยเร็วเพื่อหาพื้นที่ที่ดีที่สุดในงานเทศกาล
เทศกาลแห่งศรัทธาแตกต่างจากงานเทศกาลเกี่ยวกับศาสนาอื่นๆ งานเทศกาลอื่นๆอาจจะจัดขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่เทศกาลแห่งศรัทธานั้นจะต้องมีบาทหลวงระดับพระราชาคณะของโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์เข้าร่วม ปกติแล้วจะจัดขึ้นในฤดูหิมะสีดําและฤดูฝน เพื่อเป็นการสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าไม่ให้เกิดโรคระบาดและภัยพิบัติขึ้น
สําหรับคนธรรมดาแล้วเทศกาลแห่งศรัทธานั้นถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก
เมื่อเสียงระฆังดังขึ้นมาอัศวินของโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มขนท่อนไม้ลงมาจากรถม้าและสร้างแท่นบูชาขึ้นกลางจัตุรัส แท่นบูชานั้นถูกสร้างเอาไว้อยู่แล้วเพียงแค่นํามาประกอบใหม่ที่จัตุรัสก็พอ
ในระหว่างนั้นก็มีคนมาที่จัตุรัสมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงไม่กี่นาที่จัตุรัสกลางแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
“หัวหน้าบาทหลวง ใกล้ถึงเวลาแล้วครับ” อัศวินคนหนึ่งที่สวมผ้าคลุมทับเอาไว้อีกที่กล่าวพร้อมก้มศีรษะลง
เออร์โนลินพยักหน้าเบาๆ สายตาของเขากวาดมองผู้คนที่อยู่ด้านล่างแท่นบูชาและพูดออกมาเบาๆว่า “รอก่อน ท่านสมเด็จพระสันตะปาปาตรงต่อเวลาเสมอ”
“รับทราบครับ” อัศวินคนนั้นตอบกลับมาด้วยความเคารพ
ในตอนนี้ผู้คนที่อยู่ด้านล่างแท่นบูชาต่างก็ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น เออร์โนลินได้ยินเสียงร้องของทุกๆ คนก็มองออกไปทันที เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาเห็นชายชราที่สวมเสื้อคลุมสีทองที่ดูหรูหราอยู่ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน ในมือถือคทาโบราณเป็นสัญลักษณ์ของอํานาจและเกียรติ เขาคือพระสันตะปาปา ริเชล!
ด้านหลังของเขามีอัศวินแห่งแสง 2 คน อัศวินคนแรกมีผมสีทองซึ่งดูเหมือนจะเป็นขุนนางคนหนึ่ง อีกคนมีผมสีดําที่มีอายุประมาณ 30 หรือมากกว่านั้น
อัศวินแห่งแสงทั้งสองคนรีบเข้าไปป้องกันไม่ให้ผู้คนแห่เข้ามาหาพระสันตะปาปาทันที ผู้คนที่ดูสับสนวุ่นวายก่อนหน้านี้รีบคุกเข่าลงเพื่อทําความเคารพทันที
“ท่านพระสันตะปาปาจริงๆด้วย!”
“ท่านพระสันตะปาปาตัวจริง ขอบคุณพระเจ้า ชีวิตนี้ลูกได้เห็นพระสันตะปาปาแล้วขอรับ”
“ท่านพระสันตะปาปาดูใจดีและน่าเคารพมาก สมแล้วที่เป็นบุตรของพระเจ้า”
เสียงของผู้คนมากมายดังออกมา
ริเชลสามารถเดินเข้าไปที่แท่นบูชาได้อย่างง่ายดายเมื่อผู้คนที่อยู่โดยรอบแหวกทางและคุกเข่าลง
“สวัสดีครับท่านสมเด็จพระสันตะปาปา” เออร์โนลินรีบก้มศีรษะทําความเคารพทันที
อัศวินที่อยู่ด้านหลังของเขาก็ก้มศีรษะทําความเคารพด้วยเช่นกัน
ริเชลพยักหน้าเบาๆและพูดว่า “อีกนานแค่ไหน?”
เออร์โนลินตอบกลับมาด้วยความเคารพ “เรียนท่านสมเด็จพระสันตะปาปา อีกประมาณ 5 นาทีครับ”
“ดูเหมือนว่าผมไม่ได้มาสายนะ” ริเชลยิ้มออกมา “ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง? ผู้นําสวดพระคัมภีร์”
“ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วครับ” เออร์โนลินตอบกลับมาด้วยความเคารพ สายตาของเขากวาดมองไปที่ร่างกายของริเชลและไม่เห็นว่ามีอาการบาดเจ็บอะไร เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันทีและพูดเบาๆว่า “ท่านสมเด็จพระสันตะปาปาครับ จดหมายที่ท่านเขียนเอาไว้ผมได้เห็นแล้วแต่ผมไม่รู้ว่า…”
“ไว้พูดเรื่องนี้กันที่หลัง” ริเชลยกมือขึ้นมาเพื่อขัดจังหวะไม่ให้พูดต่อทันที
เออร์โนลินรีบพยักหน้าทันทีและมองออกไปนอกแท่นบูชาเพื่อเป็นการนับถอยหลังรอคอยเวลาพร้อมกับพระสันตะปาปา
5 นาทีจะว่านานก็ไม่นานนักจะว่าเร็วก็ไม่เร็วนัก ในระหว่างที่รอนั้นเออร์โนลินก็หันไปมองอัศวินแห่งแสงทั้งสองคนที่อยู่ข้างๆพระสันตะปาปา ชายที่มีผมสีดํามีใบหน้าที่ดูแปลกประหลาดเขาอาจจะเป็นพลเรือนหรือไม่ก็ทาสเลยด้วยซ้ํา ไม่คิดว่าจะมาคุ้มครองริเชลได้
เขาลองตรวจสอบดูมากขึ้นแต่ก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไรก็หันกลับไปมองที่หอระฆัง
บนหอระฆังมีนาฬิกาขนาดใหญ่ซึ่งเข็มยาวของนาฬิกาตอนนี้กําลังจะชี้ที่เลข 7
เสียงระฆังดังขึ้นมาทันทีและจากนั้นเสียงสวดมนต์ก็เริ่มต้นขึ้น
ริเชลรับคัมภีร์สวดอธิษฐานมาจากเออร์โนลินและสีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมในตอนนี้ เขาเริ่มอ่านบทสวดอธิษฐานและบทสวดขอพรจากพระเจ้า บทสวดอธิษฐานนั้นยาวมากขึ้นดัดแปลงมาจากคัมภีร์ไบเบิลของยุคเก่า
เทียนยืนอยู่ด้านหลังริเชลและจ้องมองผู้คนมากมายด้วยความเงียบ เมื่อการสวดอธิษฐานจบลงริเชลและคนอื่นๆก็เริ่มสวดขอพรจากพระเจ้า พวกเขาประสานมือเข้าหากันและแสดงออกถึงความเคารพนับถือ
เวลาอีกครึ่งชั่วโมงได้ผ่านไปและการสวดขอพรจากพระเจ้าก็ได้จบลง
ริเชลหันไปพูดกับเออร์โนลิน “ให้คนอื่นๆออกไปก่อน คุณตามผมมา”
“ครับ” เออร์โนลินเห็นสีหน้าที่แปลกประหลาดของอีกฝ่ายและตอบกลับทันที
ริเชลพาเออร์โนลินไปที่ร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆและสั่งให้อัศวินของเขาเชิญทุกๆคนที่อยู่ในร้านออกไปก่อน
เออร์โนลินหันไปเห็นอัศวินทั้ง 2 คนที่ตามเข้ามาในร้านก็พูดออกมาด้วยความไม่พอใจว่า “พวกคุณสองคนออกไปก่อน ผมมีอะไรบางอย่างที่ต้องพูดกับท่านสมเด็จพระสันตะปาปา”
ริเชลโบกมือทันที “ไม่เป็นไร พวกเขาไว้ใจได้”
เออร์โนลินรู้สึกอายขึ้นมาทันทีเขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองอัศวินทั้งสองคนอีกครั้ง
ริเชลไอออกมาเบาๆและพูดขึ้นมาว่า “มีใครบางคนในโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์เข้ามาลอบสังหารผมโชคดีที่ไม่สําเร็จ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าใครคือฆาตกรที่ทําเรื่องนี้แต่ผมกลับไปที่โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ในตอนนี้ ดังนั้นระหว่างนี้ผมคงต้องขอให้คุณช่วยดูแลโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ไปก่อนครับ”
เออร์โนลินรีบตอบกลับมาว่า “แล้วท่านเป็นอะไรหรือเปล่า?”
ริเชลส่ายศีรษะเบาๆ “ไม่เป็นไร”
เออร์โนลินพูดขึ้นมาว่า “โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์คือที่ที่ปลอดภัยมากที่สุด ถ้าหากว่าท่านออกไปอยู่ข้างนอกมันจะไม่อันตรายยิ่งขึ้นหรอครับ? หรือไม่อย่างนั้นให้ผมส่งคนมาช่วยปกป้องและสั่งให้ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์มาปกป้องท่านเป็นการส่วนตัวดีหรือเปล่าครับ”
ริเชลโบกมือของเขา “ผมยังไม่รู้ตัวฆาตกรในการลอบสังหาร ยังไม่ต้องรบกวนราชันย์ศักดิ์สิทธิ์หรอก”
เออร์โนลินยังคงนั่งนิ่ง เขากําหมัดแน่นและพูดออกมาว่า “ผมต้องหาให้ได้ว่ามันเป็นใคร!”
ริเชลตบไหล่ของเขา “ต้องขอให้คุณช่วยเรื่องนี้แล้ว”
“ผมจะทําให้เต็มที่” เออร์โนลินมีสีหน้าที่เคร่งขรึมและคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ทันที “เอาอย่างนี้ ผมจะส่งคนที่ผมไว้ใจได้ไปปกป้องท่านเอง ถ้าหากว่าท่านไปอยู่ข้างนอก…”
“ปกป้องผมไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก” ริเชลตอบกลับมา
เออร์โนลินหันไปมองอัศวินทั้งสองคนอีกครั้งด้วยสายตาที่ดูสงบนิ่งแต่ก็มีความอิจฉาริษยาอยู่ภายในนั้น เขารู้ดีว่าริเชลเองก็ไม่ได้เชื่อใจเขา แต่เชื่อใจอัศวินทั้งสองคนนี้ 100% ไม่อย่างนั้นแล้วในช่วงเวลาที่วิกฤตแบบนี้ เขาคงไม่เลือกให้ทั้งสองคนนี้มาปกป้องแน่นอน
“ผมต้องไปแล้ว คุณดูแลตัวเองให้ดีนะ” ริเชลไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีก
เออร์โนลินจ้องมองชายชราและอยากจะพูดความคิดของเขาออกไป เขาอยากจะบอกว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลอบสังหารในครั้งนี้
ริเชลถอดชุดคลุมที่ดูหรูหราออกและสวมเสื้อคลุมที่ดูเรียบง่ายที่เทียนมอบให้ เขาดึงฮูดขึ้นมาปิดใบหน้าของตนเอง และเดินออกไปจากร้านอาหารทันที เขาเดินไปบนถนนพร้อมกับเทียนและนอยซ์ พวกเขาเดินออกไปนอกเมืองและขึ้นรถม้ากลับไปที่ปราสาทข้างแม่น้ําทันที
“ผมแสดงเป็นไงบ้าง?” หลังจากเข้ามาในปราสาทริเชลก็ดึงสู้ดที่ปกปิดใบหน้าของตนเองออกและถอนหายใจออกมา เขาหันไปหาเทียน “ผมทําตามที่คุณบอกทุกอย่าง”
เทียนตอบกลับมาอย่างเฉยเมย “ก็ดี” เขาพูดออกมาอย่างไม่สนใจจากนั้นก็ขึ้นบันไดกลับไปที่ห้องของตนเองทันที เมื่อเข้ามาในห้องเขาก็เห็นไอช่าที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียง
เขาจับมือของไอช่าขึ้นมาและพาเธอออกมาจากห้องกลับไปที่ห้องโถงด้านล่างอีกครั้ง
ริเชลถามขึ้นมาว่า “แล้วคุณจะทําอะไรต่อไป?”
“ที่โบสถ์แห่งความมืดมีใครที่เป็นหูเป็นตาให้กับคุณได้บ้าง?” เทียนจ้องมองมาที่เขา
เขารู้สึกลังเลใจขึ้นมาทันทีแต่เมื่อคิดว่ามาถึงจุดนี้แล้วเขาก็ต้องทําให้เทียนเชื่อใจตัวเองให้มากที่สุด เขาตอบกลับไปว่า “มีอยู่ 2 คน คนแรกคือผู้อาวุโสของพื้นที่หมายเลข 9 เขาเป็นคนที่ผมส่งเข้าไปเอง ส่วนอีกคนคือ คนที่แข็งแกร่งของโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ ราชันย์ดาบไรลีย์ เขาเคยเป็นนักดาบอัจฉริยะของโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์”
เทียนยังคงจ้องมองมาที่เขา “คุณส่งคนที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองไปเป็นสายลับงั้นหรอ”
ริเชลยิ้มออกมาทันทีและพูดว่า “ผมแค่อยากให้เขาได้ประสบการณ์ ดาบไม่ว่าคมแค่ไหนถ้าไม่ได้ใช้งานก็ต้องขึ้นสนิม”