The Daily Life of the Immortal King - ตอนที่ 195
ตอนที่ 195 พลังไฟฟ้าไม่ได้มีไว้แค่สอน
ไม่ใช่ว่าหวังลิ่งไม่ชอบโทยะ พี่ชายคนนี้เป็นคนที่ฉลาด และถึงแม้ว่าเขาจะหน้าตาหล่อเหลาแค่ไหนก็ตามหวังลิ่งก็ไม่ถือว่าจุดนั้นเป็นจุดเด่นของโทยะเลย
ในโลกที่ยึดถือรูปลักษณ์ภายนอกเช่นนี้ หวังสิ่งไม่ได้สนใจในเรื่องพวกนั้นมากนัก มันไม่ได้สำคัญกับเขาเลยเพราะว่าเขาสามารถเปลี่ยนแปลงใบหน้าเป็นแบบไหนก็ได้โดยที่ไม่ต้องทำการผ่าตัด เมื่อตอนที่เขายังเด็กเขานั้นมีหน้าตาดีเกินไปและเป็นที่สนใจของบรรดาเด็กผู้หญิงในห้องเรียนของเขา ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนใบหน้าของเขาบ่อยครั้ง เพราะในแต่ละปีเทรนด์ใบหน้าจะไม่เหมือนกัน เขาจึงต้องเปลี่ยนเบ้าหน้าของเขาในทุกปีให้ดูธรรมดาที่สุด
ใบหน้าของเขาตอนนี้ถือว่าอยู่สูงกว่ามาตรฐานนิดนึงแต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา
“หน้าตาดีมีประโยชน์อะไร?!”
เหตุผลที่ทำไมหวังลิ่งถึงคิดว่าโทยะจอมอมตะเป็นคนที่ฉลาด นั่นก็เพราะเขาเห็นว่าโทยะนั้นเก่งในเรื่องการอ่านสถานการณ์ ทั้งๆที่พวกเขานั้นพึ่งจะเคยพบเจอกันอย่างเป็นทางการ แต่โทยะก็ดูเหมือนจะเข้าใจลักษณะนิสัยของหวังลิ่งเป็นอย่างดี
ในขณะที่โทยะกำลังขับรถอยู่ เขารู้ดีว่าหวังสิ่งเป็นคนไม่ค่อยชอบพูด แม้แต่ในตอนที่มีปัญหาเขายังไม่แม้แต่จะขยับปากเลย การสื่อสารของเขาส่วนใหญ่จะเป็นการสื่อสารทางโทรจิตเสียมากกว่า
แต่มันก็อาจจะพูดได้ว่าการสื่อสารแบบนั้นมันค่อนข้างแปลกในบางครั้ง ถ้าหากไม่มีใครอยู่รอบๆมันก็โอเคแต่ถ้าหากมีคนแปลกหน้าอยู่รอบๆตัวคุณจะดูเหมือนกำลังคุยกับตัวเองอยู่ โทยะคิดว่าการกระทำแบบนั้นคงดูเหมือนคนบ้านิดๆ…
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากทั้งสองฝ่ายไม่พูดผ่านทางโทรจิตกันทั้งหมดมันก็จะยิ่งดูน่าแปลก และมันดูค่อนข้างที่จะไม่สุภาพ ตามมารยาทแล้วหากพูดคุยกับผู้ฝึกตนที่มีอายุมากกว่าหนึ่งพันปี ผู้น้อยจะต้องตอบกลับด้วยคำพูดเสียงดังฟังชัดถ้าหากผู้ฝึกตนที่มีอายุมากกว่าพูดผ่านโทรจิตมา
ด้วยเหตุนี้เอง ในมุมมองของโทยะ เขาสามารถหาทางร่วมภารกิจกับหวังลิ่งและลดความประหม่าหรือความอึดอัดลงได้ด้วยวิธีที่เหมาะสม…เขาเรียนรู้ที่จะเป็นฝ่ายพูดก่อนคิดวิเคราะห์จากหลายมุมมอง คาดเดาคำถามที่หวังลิ่งจะถามและตั้งใจอธิบายให้หวังลิ่งเข้าใจ
หวังลิ่งชอบวิธีการทำงานแบบนี้ ร่วมงานกับโทยะเขาแทบจะไม่ต้องขยับปากเลย และแม้แต่สมองก็แทบจะไม่ต้องใช้เลยเสียด้วย…
“คุณหลิง พวกเรากำลังจะมุ่งหน้าไปที่ตำหนักตระกูลเสี่ยว” โทยะจอมอมตะพูดขึ้นมาในขณะที่เขากำลังขับรถ
ตำหนักตระกูลเสี่ยว?
ในทีแรกหวังลิ่งคิดว่าเขาไม่คุ้นกับชื่อสถานที่นี้
แต่ไม่นานเขาก็จำได้ว่าซุนหรงเคยชวนเขาไปเที่ยวครั้งหนึ่งและพบเจอกับปัญหาใหญ่ และจุดนั้นเองคือจุดเริ่มต้นของการเผชิญหน้าระหว่างองค์กรเงาสายธารกับตัวเขา
“สายฟ้าดามาราจาจากในกลุ่มแชทของเราทำงานอยู่ที่ตำหนักตระกูลเสี่ยว” โทยะอธิบายต่อ “พลังสายฟ้าของดามาราจานั้นสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เขาเป็นผู้สืบเชื้อสายของตระกูลสำนักสายฟ้าและเป็นผู้ถือครองสมบัติศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้”
หวังสิ่งเลิกคิ้วขึ้น ถ้าหากโทยะไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเขาก็แทบจะลืมเรื่องราวเหล่านี้ไปจนหมดเสียแล้ว มันมีสมบัติศักดิ์สิทธิ์อยู่จำนวนไม่น้อยที่ส่งต่อผ่านรุ่นสู่รุ่นในตระกูลเก่าแก่จากยุคสงครามพลังชี ผู้คนเรียกสิ่งของเหล่านั้นว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ปัจจุบันกว่าครึ่งของ12ตระกูลใหญ่ล้มหายตายจากไปจนหมดและสมบัติศักดิ์สิทธิ์หลายชิ้นยังคงหายสาบสูญอยู่
หวังสิ่งไม่รู้เกี่ยวกับสายฟ้าดามาราจามากนัก แต่เขาก็ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนของตระกูลสายฟ้าและยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนครอบครองสมบัติศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย…หวังลิ่งคิดว่าดามาราจาเป็นแค่เพียงอาจารย์สอนอะไรสักอย่างมาโดยตลอด!
“อันที่จริงดามาราจาก็ถูกคนเข้าใจผิดมานานแล้ว เขาใช้พลังสายฟ้าเทพเจ้าของเขาในการรักษาเด็กติดเกมแต่นั่นก็ไม่ใช่อาชีพหลักของเขาหรอก” โทยะอธิบาย “งานของเขาจริงๆนั้นอยู่ที่ตำหนักตระกูลเสี่ยว”
“???”
“บ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างในตำหนักตระกูลเสี่ยวนั้นเป็นของเก่าแก่ ในการซ่อมแซมโดยใช้เทคโนโลยีปัจจุบันนั้นบางครั้งมันก็ทำให้เสียหายมากกว่าเดิม แต่ด้วยพลังสายฟ้าเทพเจ้ามันสามารถแยกส่วนประกอบที่แตกและหลอมรวมเชื่อมติดกลับไปที่เดิมได้ ดังนั้นดามาราจาจึงมีตำแหน่งเป็นวิศวกรซ่อมบำรุงพิเศษที่ตระกูลเสี่ยวจ้างเป็นพิเศษ
นี่เป็นครั้งที่สองที่หวังลิ่งได้มาเหยียบสถานที่แห่งนี้ ครั้งนี้เขาไม่ได้มากับซุนหรงเขาจึงไม่สามารถใช้เส้นทางสีเขียวซึ่งเป็นทางลัดได้ แต่เขาก็เข้ามาผ่านทางเส้นทางของพนักงาน
ดามาราจาได้ให้บอกให้พนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าทางเข้าอนุญาตให้พวกหวังสิ่งเข้ามา
แต่วันนี้มีผู้เข้าชมตำหนักตระกูลเสี่ยวไม่มากนัก นั่นก็เพราะว่าจุดชมวิวสวยๆหลายจุดกำลังอยู่ในช่วงปิดบำรุง สำหรับผู้เข้าชมที่ซื้อบัตรเที่ยวชมสามวัน ตระกูลเสี่ยวได้ให้บัตรกำนัลสำหรับร้านบาร์บีคิวข้างในตำหนักตระกูลเสี่ยวเป็นการตอบแทน
ร้านบาร์บีคิวแห่งนี้เป็นร้านบาร์บีคิวที่ไม่เหมือนกับร้านอื่นตรงที่พวกเขาใช้ไฟศักดิ์สิทธิ์ในการย่างเนื้อซึ่งมันจะให้รสชาติที่ไม่เหมือนที่อื่น
คุณลุงพนักงานรักษาความปลอดภัยใจดีมากเขาให้บัตรกำนัลเงินสดร้านบาร์บีคิวแก่พวกหวังลิ่ง “คุณสามารถใช้บัตรเงินสดนี้ได้เมื่อคุณใช้จ่ายมากกว่าหนึ่งพันหยวน แค่เฉพาะสามวันนี้เท่านั้นนะครับ”
“จะดีหรอครับ?”
โทยะจอมอมตะรับบัตรกำนัลมา “พวกเราแค่มาหาคนคนหนึ่งเท่านั้นเอง…”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมยังมีอีกเพียบเลย!” ลุงพนักงานรักษาความปลอดภัยส่ายหัวเขาเดินเข้าไปในออฟฟิศของเขาและเปิดลิ้นชักของเขาออกมา โทยะเห็นว่าข้างในนั้นมีบัตรแบบเดียวกันกับเขาอยู่เพียบเลยและยิ่งไปกว่านั้นเหมือนว่าบัตรนั่นจะไม่มีวันหมดอายุเสียด้วย
“ทางเบื้องบนเขาผลิตมามากเกิน ส่วนที่เกินก็ถูกเก็บไว้ในนี้ ผมสามารถเก็บไว้กินได้เป็นเวลาหลายเดือนเลย” ในขณะที่พูดคุณลุงก็เอามือลูบพุงน้อยๆของเขา “ผมทำงานอยู่ที่นี่มานาน ในที่สุดผมก็ได้อะไรตอบแทนกลับมาเสียที..”
หวังสิ่ง “…”
เมื่อพวกเขาเข้ามาถึงข้างในของตำหนัก ดามาราจาก็ส่งข้อความมาหาโทยะบอกว่าเขากำลังซ่อมแซมหน้าผาสมบัติอยู่น่าจะใช้เวลาอย่างน้อยเป็นชั่วโมงกว่าเขาจะกลับออกมาได้
โทยะจอมอมตะมองดูนาฬิกาและถอนหายใจออกมาจากนั้นจึงหันไปพูดกับหวังสิ่ง “คุณหวังพวกเราลองไปหาอะไรกินที่ร้านบาร์บีคิวกันก่อนไหมระหว่างรอดามาราจา พวกเรามีบัตรกำนัลสองใบก็เท่ากับว่าได้กินฟรีแล้ว!”
หวังลิ้งไม่ได้พูดอะไรเขาแค่พยักหน้าตอบว่าเห็นด้วย
แต่เมื่อพวกเขามาถึงหน้าร้านบาร์บีคิว หวังสิ่งเห็นว่ามีคิวต่อกันยาวมาก…ถ้าหากคุณกินอาหารถึง1,000หยวน และสามารถใช้บัตรกำนัลกใบก็ได้ในหนึ่งใบเสร็จ บัตรกำนัลแต่ละใบมีมูลค่า500หยวน ตามทฤษฎีก็คือมื้อนี้คุณกินฟรีนั่นเอง
โปรโมชั่นแบบนี้คงไม่มีผลต่อความร่ำรวยของตระกูลเสี่ยว
ฉากที่ปรากฏตรงหน้าเขามันทำให้เขานึกถึงตอนที่เขาไปเข้าแถวรอซื้อข้าวปั้นสีเขียวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งโด่งดังมากในช่วงนั้น
เขาเข้าแถวต่อคิวนานกว่า6ชั่วโมงและท้ายที่สุดเขาก็ได้ข้าวปั้นสีเขียวไส้ขนมบะหมี่มาลิ้มลอง