The Daily Life of the Immortal King - ตอนที่ 193
ตอนที่ 193 มิติลับของจอมมาร
หมอกควันม่วงทองได้พาร่างของจอมมารกัวผีกลับไปยังมิติพิเศษที่ซึ่งเขาได้ทําการผูกมัดไว้กับน้ําเต้าม่วงทอง มันเป็นโลกเสมือนใบเล็กที่ซึ่งเขาสร้างมันขึ้นมาเมื่อ1000ปีก่อน และเป็นที่ที่เขาใช้ซ่องสุมกองทัพของเขาไว้
ทันทีที่เท้าของเขาแตะพื้นเขาก็ล้มลงนอนและถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เกือบไปแล้วไหมหล่ะ!”
ถ้าหากเขาไม่ใช่หมอกควันม่วงทองเพื่อหลบหนีฉุกเฉิน เขาคงถูกฆ่าไปแล้ว!
นอกเหนือไปจากหน้าอกตู้มสองลูกนี้ซึ่งเขายังไม่ชินกับมัน ความเข้ากันได้ของร่างกายของเจียงหลิวเยีและดวงวิญญาณของเขาก็ค่อนข้างดี ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือเขาไม่สามารถดึงพลังทั้งหมดของเขาออกมาได้ เขาจึงจําเป็นต้องคิดหาทางหาร่างใหม่โดยเร็วที่สุด
“เธอรู้จักปรมาจารย์นักฆ่ามากแค่ไหน?” หลังจากที่ใช้เวลาสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว จอมมารกัวผีก็ยกหน้ากากขึ้นมาถาม
เสียงของเจียงหลิวเย็ดังออกมาจากหน้ากากใบนั้น “ฉันไม่เคยเจอคนผู้นั้นมาก่อน แต่เขาเป็นคนที่เก่งและหาตัวยากมาก เขาจะฆ่าแต่เฉพาะชั่ว ยิ่งชั่วเท่าไรก็ยิ่งตายศพไม่สวยมากเท่านั้น”
“ยิ่งชั่วยิ่งตายศพไม่สวยงั้นเหรอ?” จู่ๆจอมมารในร่างนักฆ่าสาวก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมากับเขาผู้นี้ผู้เคยเขย่าโลกด้วยความชั่วร้ายมาแล้วเนี่ยนะ? ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าอีกฝ่ายตั้งใจส่งจดหมายท้าดวลมาให้กับเขาโดยตรง!
“แต่ฉันไม่คิดว่าปรมาจารย์นักฆ่าจะมีฝีมือขนาดนี้ เขาฝึกวิชากายเซียนจนสําเร็จ” เจียงหลิวเย่ส่งเสียงถอนหายใจออกมา “แม้แต่ท่านจอมมารยังเกือบพ่ายแพ้…”
เมื่อได้ยินดังนั้นปากของจอมมารกัวผีก็กระตุก “ฮ่าๆ ฉันก็แค่ประมาทไปหน่อย! รอก่อนเถอะไว้ฉันหาร่างที่เข้ากันได้เมื่อไร รอจนกว่าฉันจะฟื้นพลังกลับมาได้เต็มที่ ต้องให้ฉันแสดงให้ดูไหมว่าจะฆ่าอีกฝ่ายอย่างง่ายดายได้ยังไง?”
เจียงหลิวเยู่ไม่กล้าที่จะขัด เธอมองผ่านหน้ากากไปรอบๆ “ว่าแต่ท่านจอมมาร เราอยู่ที่ไหนงั้นหรือ?”
“ที่แห่งนี้เป็นโลกเสมือนซึ่งฉันได้ทําการเปิดมันไว้ในอดีต มีหลายคนที่พยายามจะใช้ของวิเศษเพื่อสร้างโลกเสมือนแบบนี้ แต่ว่าโลกเสมือนใบนี้มันไม่เหมือนโลกเสมือนมิติทั่วไปมันเป็นมิติที่ เป็นคู่ขนานกับโลกแห่งความจริง”
จอมมารกัวผีชี้ไปยังวงเวทข้างหลังเขา “เห็นวงเวทนั่นไหม? มันคือทางออกไปจากโลกเสมือนแห่งนี้พวกเราแค่เดินไปเหยียบมันมันก็จะส่งเรากลับไปสู่โลกแห่งความจริงฉันจําได้ว่าฉันได้ลงอาคมไว้ว่าให้ไปโผล่ที่วิวสวยๆสมัยก่อนน่ะนะ ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้มันจะมีสภาพเป็นยังไงแล้ว?”
เจียงหลิวเย่หายใจสะดุดด้วยความตกใจเมื่อเธอฉุกคิดอะไรออก
จอมมารตนนี้ได้ถูกผนึกไว้ในหน้ากากผีดิบกว่า1000ปี ซึ่งหมายความว่าโลกเสมือนแห่งนี้ก็มีอายุกว่า1000ปีแล้วเช่นกัน พลังชีวิตของโลกเสมือนจะมีเท่ากันกับพลังวิญญาณในตัวเจ้าของตามปกติแล้วหากตัวเจ้าของโดนผนึกไปนานขนาดนั้น โลกเสมือนแห่งนี้ก็ควรจะกลายเป็นดินแดนรกร้างไปแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่ามันยังคงทํางานอย่างเป็นปกติโดยที่ไม่ต้องการคนมาดูแล
“ต้องขอบใจร่างของเธอ ฉันจึงสามารถใช้งานน้ําเต้าม่วงทองและกลับมายังที่แห่งนี้ได้ ฉันซ่อนของวิเศษไว้มากมายไว้ในโลกเสมือนนี่ ในที่สุดก็ถึงเวลาใช้งานพวกมันเสียที”
จอมมารกัวผีหัวเราะเบาๆในขณะที่เขาถือหน้ากากอยู่ พื้นที่อยู่ใต้เท้าของเขาสั่นกระเพื่อมทุกครั้งที่เขาก้าวเดิน เขาเดินจนมาถึงที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนทุ่งหญ้า แต่ที่แปลกก็คือหญ้าเหล่านั้นกลับมีสีดํา
เจียงหลิวเย่รู้สึกเหมือนเธอได้พบเห็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยพบเจอที่ใดมาก่อน “ท่านจอมมารพวกเราอยู่ที่ไหนงั้นหรือ?”
“ที่ที่พวกเรายืนอยู่นี้คือเขตแดนสนับสนุน มันเป็นแกนกลางของโลกใบนี้ ฉันสร้างโลกใบนี้ขึ้นมาโดยใช้หัวของโทรล์จากประตูมิติสองโลกเป็นแกนพลังงานหลัก เมื่อตอนที่ฉันโดนผนึกอยู่เจ้าหัวโทรล์อันนี้แหละที่คอยเป็นแกนพลังงานสํารอง”
จอมมารกัวผีอธิบายต่อ “พลังวิญญาณในโลกใบนี้มีความสมบูรณ์ที่สุด เธอสามารถฝึกวิชากู้นพลังวิญญาณของเธอได้ที่นี่ และมันยังสามารถลดระยะเวลาการรักษาที่จําเป็นต้องใช้ได้อีกด้วยมันจะเป็นประโยชน์อย่างมากกับฉันถ้าหากเธอสามารถฟื้นพลังกลับมาได้ มันจะทําให้ฉันสามารถใช้งานร่างของเธอได้นานยิ่งขึ้น”
“ถ้าอย่างนั้นแปลว่าตอนนี้พวกเรายืนอยู่บนหัวของโทรล์?” เจียงหลิวเยถามด้วยความสงสัย
“ใช่แล้ว หญ้าสีดํานี่ที่จริงแล้วคือเส้นผมของมัน”
จอมมารกัวผีพยักหน้า “เจ้าโทรล์ตัวนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของฉันอย่างสมบูรณ์
เจียงหลิวเย: “เขตแดนสนับสนุนของคุณนี่มันพิเศษจริงๆ”
จอมมารกัวผีหัวเราะเบาๆ “ฮ่ๆ ฉันอยากให้เธอเรียกมันด้วยชื่ออีกชื่อนึ่งมากกว่า”
เจียงหลิวเย: “ชื่ออะไรงั้นหรือ?”
จอมมารกัวผี: “สิบหาง (Jinchuriki)” เสิบหางจากการ์ตูนชื่อดังนารูโตะครับ…ผู้แปล]
เจียงหลิวเย: 4” (เอาที่สบายใจเลยจ้า…ผู้แปล]
กว่าหวังลิ่งจะออกมาจากร้านสะดวกซื้อมันก็ค่ําเสียแล้ว
หวังลิ่งได้ส่งข้อความไปหาโจวยอย่างที่เขาไม่คิดว่าจะต้องทํามาก่อน
หลังจากหวังสิ่งยอมรับโจมยี่เป็นศิษย์ เขาก็ยังคิดไม่ออกว่าจะใช้ประโยชน์จากคนคนนี้ยังไงดีจนมาถึงวันนี้เขาก็รู้แล้วว่าเขาจะสามารถใช้งานโจวยได้อย่างไร เขาอยากให้โจวมี่ไปประกันตัวนักบุญลําดับสามที่สถานีตํารวจ
เพราะนักบุญลําดับสามก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของพนักงานส่งอาหารดังนั้นเขาจึงไม่มีเหตุจําเป็นใดที่จะต้องไปเป็นแพะรับบาป
ไม่นานโจวยี่ก็โทรกลับมาหาเขา หวังลิ่งจึงรับโทรศัพท์แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรอีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อนแบบไม่เหลือช่องให้เขาพูดแทรกเลย “ชิฟู ไม่ต้องเป็นห่วงนะชิฟูหมายถึงนักบุญลําดับสามคนนั้นใช่ไหม? เดี๋ยวผมจะส่งคนไปคุยให้เดี๋ยวนี้ ว่าแต่ผมจะได้อะไรเป็นการตอบแทนถ้าหากผมทําสําเร็จหล่ะ?”
“…” หวังสิ่งอยากจะพูดออกไปว่า “มัวฟๆเป็นไง?” แต่เขากลัวว่ามันจะดูเกย์เกินไปเขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป
แม้ว่าโจวยจะไม่ได้คําตอบเขาก็ไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ “ชิฟูอย่าเข้าใจผิด ผมไม่ได้อยากได้ สิ่งของเป็นการตอบแทน..ผมแค่อยากได้อะไรบางอย่างที่พิเศษ อะไรที่มันตื่นเต้นเร้าใจและไม่ต้อง ฝึกฝนมากทําให้ผมรู้สึกแข็งแกร่งขึ้น”
หลังจากที่อีกฝ่ายเงียบไปนาน โจวมี่ก็ตระหนักว่าสิ่งที่เขาพึ่งพูดไปอาจจะทําให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดเขาจึงรีบแก้คําพูด “ชิฟูอย่าพึ่งเข้าใจผิด ผมหมายถึงวิชาใหม่!”
หลังจากนั้นเองหวังลิ่งก็วางสาย เขาหยุดคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่จะตัดสินใจส่งวิธีการออกกําลังสายตาอันล่าสุดของเขาไปให้
มันเป็นการออกกําลังกายสายตาซึ่งยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ เมื่อตอนที่โจวยี่เรียนจบเขาเคยใช้แค่รุ่นทดลองเท่านั้นเอง
มันอาจจะพูดได้ว่าโจวยเป็นคนที่ทํางานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมาก
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลังจากที่หวังลิ่งวางสาย เขาเปิดทีวีก็เห็นนักบุญลําดับสามกําลังเดินออกมาจากสถานีตํารวจและโดนล้อมหน้าล้อมหลังโดยบรรดานักข่าวหน้าสถานี
ในการที่จะปกปิดตัวตนใบหน้าของเขาจึงถูกเบลอไว้
“คุณคะ เป็นไปได้ไหมที่จะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการหัวตัวไปของพนักงานส่งอาหาร? มีบาง คนเชื่อว่าคุณเป็นผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์นี้ ใช่ไหมคะ? และเพราะว่าขาดหลักฐานที่แน่นหนาพอคุณจึงถูกปล่อยตัวออกมา?” นักข่าวสาวคนหนึ่งถามนักบุญลําดับสามและยื่นไมโครโฟนไปทางเขา
นักบุญลําดับสามมองไปยังนักข่าวคนนั้นและตอบกลับมาเพียง2ข้อ “หนึ่งมันเป็นเรื่องการเข้าใจผิดสองผมได้บอกให้ทนายของผมเป็นคนจัดการแล้ว”
หวังสิ่ง “”