(One Useless Rebirth) เกิดใหม่อีกครั้งอย่างไร้ [Yaoi] - ตอนที่ 17
ณ สวนสาธารณะหลี่หู
ในครั้งนี้สถานีโทรศัพท์ของเมือง B เลือกที่จะถ่ายภาพที่ระลึกให้กับเจ้าภาพใหม่ที่นี่ด้วยเหตุผล 2 ประการ
ประการแรกตั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบและสวยงาม
และประการที่สอง…ที่นี่ราคาถูก
“สถานีโทรทัศน์ได้จองทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบเป็นเวลาสองวัน เพื่อนร่วมงานบางคนมาที่นี่เพื่อจัดฉากให้แล้ว” หลินรุ่ย สมาชิกอีกคนของกลุ่มตกแต่งภาพย้ายอุปกรณ์ออกไปข้างนอกขณะอธิบาย เมื่อเห็นว่าเหอไป๋ยกกล่องที่หนักที่สุดขึ้นมาโดยตรง เขาก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นตบไหล่เหอไป๋และพูดว่า
“อย่าฝืนตัวเอง ถ้ามันหนักเกินไป ก็แบ่งขนสองรอบก็ได้ ฉันจะช่วยนายเอง นายยังเติบโตได้อีกเมื่ออายุมากขึ้น นายต้องให้ความสำคัญกับร่างกายให้มาก”
มือที่ตบไหล่อ่อนโยนมาก มันเป็นท่าทางเกรงใจในแบบที่สุภาพ เหอไป๋มองไปที่ร่างผอมเล็กของหลินรุ่ยและอุปกรณ์ที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา จากนั้นมองไปที่หม่าชุ่ยที่ถือผ้าเบา ๆ ในมือของเขาที่ด้านหน้ารถ รอยบุ๋มบนใบหน้าของเหอไป๋เปลียนจากตื้นเป็นลึกอย่างรวดเร็ว เขายื่นมือไปช่วยหลินรุ่ยยกอุปกรณ์และพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ ผมยกไหว ผมเพิ่งอายุ 21 ความสูงอาจจะไม่เพิ่งขึ้นแล้ว ใบหน้าเปล่งประกายเลยนะครับ ที่บ้านมีข่าวดีอะไรรึเปล่าครับ?”
หลินรุ่ยอดไม่ได้ที่จะแสดงรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหลังจากที่เขาได้ยินคำพูดของเหอไป๋ และตอบว่า
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก จากที่รอมาหลายปี ภรรยาฉันเพิ่งคลอดลูกสาวน่ะ”
“ผู้หญิงเหรอครับ เยี่ยมไปเลย เธอจะได้อยู่ใกล้ ๆ คุณ ขอแสดงความยินดีกับคุณและภรรยาด้วยนะครับ” เหอไป๋มองไปที่ใบหน้าของหลินรุ่ย ด้วยสีหน้ามีความสุขเขาอยากจะถ่ายรูปหลินรุ่ย แต่เนื่องจากกล่องนืองของเขา เขาไม่สามารถหยิบกล้องได้ เขาจึงกระซิบว่า ‘ช่างน่าเสียดาย’ อยู่ในใจของตนเอง
หลินรุ่ยและเหอไป๋คุยกันขณะเดินไปยังสถานที่ถ่ายภาพ เมื่อมีหัวข้อความสัมพันธ์ของพวกเขา ก็ทำให้พวกเขาสนิทกันอย่างรวดเร็ว พวกเขาเร่งฝีเท่าโดยไม่ร้ตัวและทิ้งคนอื่น ๆ ในระยะที่ไกลออกไป
หลังจากมองไปที่หลินลุ่ยและเหอไป๋ คนขับรถที่เดินอยู่ข้าง ๆ หม่าชุนก็ยิ้มและส่ายหน้าแล้วสะกิดหม่าชุน
“คุณหลินจะต้องพูดถึงลูกสาวของเขาอีกเป็นแน่ อีกหน่อยนะ เขาต้องติดลูกสาวเป็นแน่ เหอไป๋เป็นคนอารมณ์ดีเลยอดทนที่จะฟังคำพูดเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกของเขาที่ยืดยาวได้”
หม่าชุนเซเล็กน้อยหลังจากถูกสะกิด สีหน้าของหม่าชุนไม่ดีนัก แต่เขาก็ปกปิดมันอย่างรวดเร็วและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เหอไป๋เป็นคนดี แต่ไม่แน่ใจว่าเขาจะทำงานที่ Saint Elephant ได้นานแค่ไหน ยังไงเขาก็ยังเป็นนักศึกษาล่ะนะ ยังไม่มีความเพียรแบบผู้ใหญ่”
“ทำไมเขาถึงดูไม่เหมือนผู้ใหญ่หรือไม่มีความอดทนล่ะ? ฉันว่าเขาก็ดีอยู่นะ อีกไม่นานก็เรียนจบแล้ว ฉันรู้สึกว่าคุณหลี่ยังต้องการให้เขาทำงานที่ Saint Elephant คุณหลี่ขอให้เราชักชวนเขามาในครั้งนี้ เธอคงอยากรู้ทักษะการถ่ายภาพของเขา ดูเหมือนว่าผู้บริหารระดับสูงก็พร้อมที่จะฝึกทักษะเขาให้เป็นช่างภาพนะ”
คนขับรถซุบซิบในสิ่งที่ได้ยินจากคนอื่นพร้อมกับถอนหายใจ
“เป็นเรื่องดีที่ได้เป็นช่างภาพ รายได้เพิ่มขึ้นพร้อมกับโอกาสในการพัฒนาที่ดีก็รออยู่ เหอไป๋มีความสามารถที่ดีและมีแรงผลักดันให้เรียนรู้ เขาจะต้องมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน เป็นความจริงเช่นเดียวกับคลื่นในแม่น้ำแยงซีที่กระตุ้นให้เกิดคลื่น เพราะงั้นแหละคนรุ่นใหม่จึงเก่งกว่าคนรุ่นเก่า”
ผู้ฟังอาจรับรู้ความหมายที่ไม่ได้ตั้งใจในสิ่งที่พูด หม่าชุนขมวดคิ้ว ดวงตาบูดบึ้งปรากฏขึ้น
‘เช่นเดียวกับคลื่นในแม่น้ำแยงซีที่กระตุ้นให้เกิดคลื่น เพราะงั้นแหละคนรุ่นใหม่จึงเก่งกว่าคนรุ่นเก่า’
ปัจจุบันลุงของเขาเป็นช่างภาพที่เก่งที่สุดใน Saint Elephant ความหมายของคนขับรถก็คือลุงของเขาเป็นเหมือนคลื่น ซึ่งถูกซัดบนหาดทรายโดยคลื่นลูกใหม่เหรอ? และลุงก็สัญญาว่าจะฝึกเขาให้เป็นช่างภาพ เขารู้สึกเสียใจที่เหอไป๋โผล่มาอย่างกะทันหัน หลี่รู่ก็ผลักดันเขาอย่างจริงจัง นี่เท่ากับปล้นทรัพยากรที่ควรจะเป็นของเขาเลยก็ว่าได้
ฉากถ่ายทำอยู่ริมทะเลสาบแล้ว เพื่อนร่วมงานที่มาที่นี่เป็นคนแรก รีบตรงมาหาพวกเขาและเข้ารับอุปกรณ์ หลังจากเห็นพวกเขาและแนะนำเนื้องานให้กับพวกเขา
หลังจากงานยุ่งอยู่ครึ่งชั่วโมง การจัดฉากก็เสร็จสิ้น รถของสถานีโทรทัศน์ขับมา ตามด้วยกลุ่มวัยรุ่นที่ลงมาจากรถ
“ทีมแต่งหน้าและทีมคอสตูมเตรียมตัวให้พร้อม หัวหน้าหม่าอยู่ที่ไหน? ใครก็ได้ไปตามเขาและเรียกให้มาที่นี่ด้วย” ทีมงานคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง
หม่าชุนออกมาจากฝูงชนและเข้าไปหาเขา
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรที่เหอไป๋ช่วยได้ เขาถอยกลับไปที่บริเวณรอบ ๆ ฝูงชน มองดูพนักงานที่ทำงานนำคนหนุ่มสาวเข้าไปบริเวณซุ้มแต่งตัว เขาพบและพุดคุยอยู่กับคนขับรถและหยิบกล้อง เดินไปรอบ ๆ ทะเลสาบ ที่อยู่ไม่ไกลจากสถานที่ถ่ายทำ
แสงแดดเป็นน่าพอใจและระลอกน้ำที่ลอยอยู่ในทะเลสาบเบา ๆ ทันใดนั้นนกพิราบสีขาวก็เข้ามาในมุมมองของกล้อง มันบินข้ามต้นวิลโลริมทะเลสาบ ร่อนลงที่ด้านบนของศาลากลางทะเลสาบ หลังจากดูแลขนของมันเองแล้ว มันก็กระพือปีกอีกครั้งเพื่อบินเข้าไปในป่า
เหอไป๋กดปุ่มชัตเตอร์เบา ๆ เขายิ้มและตรวจสอบฉากทะเลสาบที่เพิ่งถ่ายไป เมื่อเห็นการถ่ายทำเริ่มเขาก็เดินกลับไปอย่างรวดเร็ว
บนเก้าอี้ชิงช้าสีขาว สาวสวยเอนตัวเอียงถือหนังสือไว้ในมือ เธอเงยหน้าขึ้นและหลับตา ดูเหมือนว่าเธอรู้สึกถึงแสงแดดอันอบอุ่นที่ลูบไล้ใบหน้าของเธอเอง
“ดีครับ ใจเย็น ๆ ผ่อนคลายไหล่แล้วยิ้มให้หวานกว่านี้อีกหน่อย”
ชายร่างอ้วนวัยกลางคนที่สวมชุดชนเผ่าผ้าฝ้ายและผ้าลินินกำลังถือกล้องถ่ายภาพหญิงสาว เขาแนะนำพนักงานที่อยู่ข้าง ๆ เพื่อปรับแผงไฟเป็นครั้งคราว
เหอไป๋มองสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดด้วยมุมมองใหม่ สายตาของเขาจดจ่อไปที่ชายอ้วนวัยกลางคนที่กำลังถ่ายทำอยู่และสุดท้ายก็กลับมามองที่หญิงสาว สายลมที่พัดด้วยความบังเอิญทำให้กระโปรงของหญิงสาวพลิ้วไหว เขายกกล้องขึ้นเพื่อจับภาพขณะที่หญิงสาวก้มศีรษะและลูบไล้กระโปรงของเธอ
“ลมกำลังพัด ทุกคนเร่งมือเข้า” ช่างภาพวางกล้อง นำทางให้ทีมคอสตูมปรับเสื้อผ้าและทรงผมของหญิงสาว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
“มุมแสงดี ๆ จะมีแค่ 2-3ชั่วโมงเอง ขอให้ทุกคนช่วยเร่งมือหน่อย”
ทุกคนตอบสนองและเร่งมือทำหน้าที่ของตนเอง
“เขาคือ หม่าซิงตง เป็นหัวหน้าทีมและเป็นลุงของหม่าชุน เขาได้รับมอบหมายให้ถ่ายปกนิตยสารแฟนชั่นชั้นนำ 4 เล่ม ถือเป็นคนมีฝีมือระดับต้น ๆ ของการถ่ายภาพเลยก็ว่าได้” หลินลุ่ยอธิบายกับเหอไป๋ด้วยเสียงต่ำ เหอไป๋ไม่รู้ว่าหลินรุ่ยมายืนอยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากเห็นหม่าชุนยื่นขวดน้ำให้กับหม่าซิงตงระหว่างการถ่ายทำ หลินลุ่ยก็หยุดและพูดด้วยเสียงที่ต่ำลง
“เขา หม่าซิงตงไม่มีลูก เขาจึงรักหลานชายของเขาหม่าชุน เขาตั้งใจที่จะปลูกฝังให้หม่าชุนเป็นผู้สืบทอดของเขา คุณหลี่กลับพอใจคุณ แม้ว่าคุณหลี่กับหัวหน้าหม่าจะเป็นเพื่อนเก่าที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่คุณก็ต้องพยายามให้มากกว่านี้”
เหอไป๋พยายามตีความคำเหล่านี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทัศนคติแปลก ๆ ของหม่าชุนมาจากไหนและเขาก็ชื่นชมหลินรุ่ยอยู่ในใจสำหรับคำอธิบายนี้ อย่างไรในเวลานี้มีคนอยู่มากมาย เขาไม่สามารถพูดอะไรได้มากเขาจึงเพียงพนักหน้าแสดงความเข้าใจ และบ่งบอกว่าเขาจะใส่ใจให้มากกว่านี้
ทั้งสองเข้าใจกันโดยปริยายแม้จะไม่ได้พูดอะไรต่อ พวกเขายืนอยู่ด้านนอกและเฝ้าดูคนที่ทำงานยุ่งอยู่ข้างใน จากนั้นก็ไปช่วยเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ในเวลาที่เหมาะสมเมื่อมีการเปลี่ยนฉาก
เมื่อมีแรงบันดาลใจเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว เหอไป๋จะถือกล้องของเขา เพื่อถ่ายภาพอยู่เงียบ ๆ เขาพยายามไม่ให้เป็นที่สนใจ
ในมื้อกลางวัน รถบรรทุกอาหารที่สถานีโทรทัศน์สั่งก็มาส่งได้อย่างตรงเวลา ทีมงานรวมตัวกันรับประทานอาหารกลางวัน เหอไป๋ยังไม่เข้าไปในกลุ่มคนเหล่านั้น เขานั่งยอง ๆ อยู่ข้างนอกและคุยกับหลินลุ่ยเกี่ยวกับการตัดต่อภาพ หม่าชุนผู้ที่พาเขามาที่นี่ ดูเหมือนตอนนี้เขาจะลืมเหอไป๋และหลินรุ่ยไปแล้ว เขาเพียงเดินตามหม่าซิงตงไปรอบ ๆ โดยทิ้งทั้งสองไว้
ทุกคนทำงานต่อหลังทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว สี่ชั่วโมงต่อมาในที่สุดการถ่ายทำก็เสร็จสิ้นลง
“พักก่อนนะทุกคน จากนั้นเก็บของ เราจะถ่ายทำต่อในวันพรุ่งนี้” หม่าซิงตงวางกล้องไว้และเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของเขา ออกคำสั่งหลังจากตรวจดูสภาพอากาศ
หมาชุนเดินเข้าไปหาพร้อมกับยื่นขวดน้ำให้เขา
“วันนี้ทำได้ดีเลยนะ” หม่าซิงตงหยิบน้ำและกล่าวชมหม่าชุน เขายิ้มและกล่าวว่า
“เราไม่มีตารางถ่ายทำในวันพรุ่งนี้ ฉันจะดูรูปที่นายส่งมาให้ ใช้ได้เลย พรุ่งนี้ฉันจะให้นายลองดู”
ดวงตาของหม่าชุนเป็นประกายหลังจากที่เขาได้ยินคำพูดนั้น เขาพยักหน้าอย่างรีบร้อยและรับปากว่าจะเขาทำให้ดี
เมื่อเห็นพวกเขาตัวเช่นนั้น ทุกคนก็ร็ว่าหม่าซิงตงกำลังปูทางให้กับหม่าชุน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงชมเชยและให้กำลังใจโดยตรงหรือโดยมีนัยยะ
หลินรุ่ยยังคงยืนอยู่บริเวณรอบนอก เขาขมวดคิ้วและพูดด้วยความสงสัย “มันไม่ถูกต้องนะ คุณหลี่บอกว่าถ้างานถ่ายทำเสร็จเร็ว คุณสามารถเรียนรู้และลองถ่ายดูได้ ทำไมกลายเป็นหม่าชุนล่ะ คุณหลี่ไม่ได้คุยกับหัวหน้าหม่าไว้ก่อนหรือไง”
“อาจจะเป็นอย่างนั้น” เหอไป๋กดไหล่และตบเบา ๆ เพื่อเอาใจของ เขาหมายจะหยุดหลินรุ่ยไม่ให้เผชิญหน้ากับหม่าซิงตงและกล่าวว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก เขาอาจจะลืมก็ได้ ถือว่ายังดีที่เราได้พักผ่อน งานถ่ายก็เหนื่อยและกดดัน คงไม่สนุกเหมือนกับเรื่องเลี้ยงลูกกับคุณหรอกครับ”
หลินรุ่ยผลักหัวของเหอไป๋และส่ายหน้า
“เฮ้ เป็นผู้ชายจะอยู่แต่ในที่มือได้ยังไงกัน นี่มันโอกาสของคุณนะ คุณไม่คิดจะคว้ามันไว้เหรอ อย่าปล่อยให้ใครมาฉวยโอกาสไปได้สิ”
เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา เหอไป๋ยิ้มแสดงลักยิ้มบนแก้มซ้ายและพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า
“ขอบคุณที่แนะนำครับ อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะหวงหนโอกาสแบบนี้หรอก สำหรับผมแม้ว่าผมอยากจะเป็นช่างภาพ แต่งานหลักของผมคือการเรียน ผมมาที่ Saint Elephant เพื่อหาเงินจ่ายค่าเทอมกับค่าใช้จ่ายระหว่างเรียน ไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์อื่นครับ” นอกจากนี้ลุงและหลานชายคนนั้นยังบ่งบอกอย่างชัดเจน พวกเขาเข้าใจโดยปรายที่จะเพิกเฉยต่อเขา เขาในฐานะคนนอกไม่อยากถามให้เกิดปัญหา นั่นก็หมายความว่าเขาจะไม่ทำงานที่ Saint Elephant นานนักหรอก เขาวางแผนที่จะออกหลังจากที่หาเงินได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในการเรียนแล้วเท่านั้น ไม่สนใจเกี่ยวกับโอกาสที่ถูกฉกไปในครั้งนี้หรอก
หลินรุ่ยมองไปที่เหอไป๋ เขายังเด็กและไร้เดียงสา หลินรุ่ยก็พูดไม่ออกเพียงครู่ จากนั้นเขาก็ส่ายหน้าและยิ้ม “คุณพูดก็ถูก นักศึกษาก็ต้องตั้งใจเรียน สำหรับการทำงานกับหม่าชุนในวันนี้ ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของคุณหลี่เถอะ”
มีรถของสถานีโทรทัศน์อีกคันเข้ามา เมื่อผู้คนพร้อมเก็บของและกลับบ้าน สองสาวลงจากรถอย่างทุลักทุเลตามด้วยคนดูแล
“ขอโทษครับ ขอโทษที่พวกเรามาช้า ได้โปรดช่วยถ่ายรูปให้พวกเขาด้วยเถอะครับ” ผู้รับผิดชอบกล่าวขณะพาสาว ๆ ไปหาหม่าซิงตง หน้าผากของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ เพราะอากาศร้อน เขาอธิบายอย่างเร่งรีบ
“คุณหม่าครับ สองคนนี้ต้องออกไปนอกเมืองพรุ่งนี้เพื่อถ่ายทำรายการ วันนี้ต้องถ่ายภาพของพวกเขา ขอโทษที่ทำให้คุณต้องทำงานอีกครั้ง คืนนี้ฉันจะเลี้ยงอาหารค่ำเป็นการตอบแทนคุณ”
ร่องรอยของความไม่พอใจฉายในดวงตาของหม่าซิงตง ดวงตาของเขาสบเข้ากับหลานชายของเขาครู่หนึ่งและเกิดความคิดขึ้นมา เขาตอบอย่างมีชั้นเชิงว่า “ยินดีครับ ไม่มีปัญหาในการถ่ายต่อหรอก แต่พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้ว ไม่มีเวลาเพียงพอหากจะถ่ายทีละภาพ เราจำเป็นต้องถ่ายทำในเวลาเดียวกัน” ผู้รับผิดชอบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไร เราจะทำตามที่คุณบอก”
“ไม่ต้องกังวล” หม่าซิงตงยื่นขวดน้ำให้เขาและพูดต่อว่า “มันผิดแผนหน่อยหนึ่ง เราเตรียมการไม่ทัน ฉันเป็นช่างภาพที่มีประสบการณ์เพียงคนเดียว แต่ฉันมีช่างภาพใหม่ที่ถ่ายรูปได้เช่นกันมาด้วย แม้จะยังใหม่ แต่ฉันมั่นใจได้ว่าเขามีความชำนาญ ขาดเพียงประสบการณ์เท่านั้น งั้นสองสาวนี้ก็แบ่งให้ถ่ายกับฉันหนึ่งคน และถ่ายกับช่างภาพใหม่อีกคนล่ะกัน”
ทุกคนในที่นั้นนิ่งเงียบ หลังจากได้ยินเช่นนั้น
คนของ Saint Elephant นิ่งเงียบเพราะพวกเขารู้ว่าหม่าซิงตงเป็นช่างภาพเพียงคนเดียวที่สามารถถ่ายภาพได้ในวันนี้ ในขณะที่ช่างภาพใหม่ที่เขาหมายถึง นั่นคือหม่าชุน กระนั้นฝีมือการถ่ายภาพของหม่าชุนก็ยัง..ไม่เป็นที่ประจักษ์..
พนักงานของสถานีโทรทัศน์ที่มาที่นี่เพื่อช่วยงาน ต่างนิ่งเงียบ เพราะเด็กสาวสองคนนี้ คนหนึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคู่ค้าเก่าของสถานี อีกคนมีภูมิหลังที่โด่งดัง อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่รู้ว่าใครอยู่เป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังของเธอ จึงเป็นปัญหาใหญ่ในการตัดสินใจ
เหอไป๋ยังคงเงียบเพราะหนึ่งในสองสาวน้คือ หลิวฮวานฮวาน คนที่หกอักหนิวจุนเจี๋ย