God Level Store Manager เถ้าแก่ขั้นเทพ - ตอนที่ 1049
ตอนที่ 1049
เหยาฮุยเฉินเดินกลับไปพร้อมออร่าเย็นเยือกที่แผ่นหลัง ทางด้านลั่วฉวนก็เพียงมองตามไป
เขาเดินไปผลักเปิดประตูก้าวเข้าไปยังหมู่บ้านซากุระก่อนจะได้สูดดมกลิ่นหอมอันสงบ
เหยาฮุยเฉินสำรวจมอง ดอกและกิ่งซากุระกลับมาเต็มต้นเบ่งบานอีกครั้งราวเมื่อวานไม่ได้เกิดอะไรขึ้น
เขาจำสภาพหลังเก็บกิ่งซากุระกลับไปเมื่อวานได้ดี
เถ้าแก่กล่าวได้ถูกต้อง ต้นซากุระจะฟื้นกลับคืนด้วยตัวของมันเองทุกเช้า
เป็นเรื่องราวที่น่าทึ่ง
ตอนนี้เขาเดินไปสั่งกาแฟแก้วหนึ่ง จากนั้นค่อยไปหาที่นั่งมุมสงบนำเอาโทรศัพท์วิเศษออกมาส่งข้อความพูดคุย
“ร้านต้นตำรับ หมู่บ้านซากุระ เล่นโกะ”
เพียงไม่กี่วินาทีเขาก็ได้รับการตอบกลับ
“รอสักเดี๋ยว”
หลังดื่มกาแฟนมขาวนวลเข้าไป เหยาฮุยเฉินก็รับชมบรรยากาศอันสงบที่นี่พลางรอคอย
เล่นไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ดฆ่าเวลาถือเป็นตัวเลือกที่ดี
ขณะเวลาผ่านไป ลูกค้าก็เริ่มมาร้านต้นตำรับกันคนแล้วคนเล่า
ชานมที่เพิ่งเปิดขายเมื่อวาน จนถึงวันนี้ก็ยังได้รับความนิยม
ลั่วฉวนมองเหล่าลูกค้าที่มาเยือนร้านพร้อมต่อแถวซื้อชานมอย่างที่ไม่มีความคิดไปเสียเวลากับสินค้าอื่น
เขารับรู้ได้ ว่าสาเหตุใหญ่ก็เพราะปัญหาทางด้านกระเป๋าเงินไม่หนามากพอ
“เถ้าแก่ทานอะไรอยู่กัน?” เอเลน่าที่ออกมาจากประตูแสงเผยอารมณ์ดีเข้ามาสอบถาม
“เม็ดยา” ลั่วฉวนกล่าวตอบ “สนใจลองไหม?”
“ได้หรือ” เอเลน่าพยักหน้ารับ
นางยื่นมือเข้ามาหยิบเม็ดยาจากถาด จากนั้นจึงค่อยลองบีบก่อนจะใส่เข้าปากไป
จากนั้นนางค่อยเริ่มพิจารณารสชาติ
“ไม่ค่อยมีรสชาติเท่าไหร่ ได้แค่สัมผัสการเคี้ยว” คิ้วของนางขมวดเล็กน้อยพร้อมกล่าวข้อสรุปจากประสบการณ์ที่ได้กินเข้าไป
ลั่วฉวนค่อยนึกขึ้นได้ว่าชาวไซเรนเป็นสิ่งมีชีวิตธาตุที่พิเศษ พวกนางมีพื้นฐานแตกต่างจากผู้ฝึกตนของทวีปเทียนหลันแทบจะสิ้นเชิง
“เถ้าแก่ บทบาทใหม่ของกลอรี่เปิดให้เล่นหรือยัง?” เอเลน่ากล่าวถามถึงเรื่องที่สนใจ
“ยังไม่” ลั่วฉวนส่ายศีรษะก่อนจะคว้าสองเม็ดยาบนถาดส่งเข้าปาก
“ทราบแล้ว” หลังได้ทราบคำตอบ เอเลน่าจึงไปร่วมต่อแถวรอซื้อชานม
ปู้หลี่เกื๋อไม่ได้พูดกล่าวถึงเรื่องราวตอนเข้ามายังร้านเมื่อเช้าให้ลูกค้าคนอื่นได้ทราบ สาเหตุหลักก็เพราะเกรงจะเสียหน้า แค่เพราะกลิ่นก็เกือบตายแล้ว เรื่องนี้รู้ถึงไหนอายถึงที่นั่น
ด้วยเพราะไม่มีกิจธุระอื่น ลั่วฉวนจึงเข้ามิติพัฒนาเกมเพื่อจัดการบทบาทของกลอรี่ที่เตรียมเอาไว้ให้พร้อมปล่อยในวันพรุ่งนี้
ตัวละครทั้งห้าต่างก็มีเอกลักษณ์โดดเด่นแตกต่างกันออกไป
บุคคลลึกลับที่ถือดาบหักไว้ในมือ ใบหน้าสวมใส่หน้ากากปิดบัง ทั้งยังมีชุดเกราะสีดำ อีกด้านคือสิ่งมีชีวิตจากห้วงทะเลลึกที่ยากพูดกล่าวถึงรายละเอียดให้ชัดเจน และยังมีหญิงสาวที่ร่างโปร่งแสงเป็นความสามารถพิเศษ…
ทั้งหมดนี้มีเอกลักษณ์น่ารับชม อย่างน้อยก็ในความเห็นของลั่วฉวน ลูกค้าคนอื่นที่จะได้เห็นภายหน้าก็ต้องพึงพอใจไม่แพ้กันอย่างแน่นอน
ส่วนอื่นแทบพร้อมแล้ว จะขาดก็ตรงเสียงพากย์
คงต้องไปสอบถามเหยาซือหยานว่ามีอะไรแนะนำบ้างหรือไม่
ตอนนี้คือจัดการเรื่องราวเล็กน้อยให้เสร็จก่อน
ลั่วฉวนเกิดรู้สึกขึ้นมา ว่าในโลกนี้คงมีเพียงเถ้าแก่เช่นเขาที่มานั่งสร้างตัวละครในเกมอะไรแบบนี้
แม้อัตราการไหลเวียนของเวลาเหมือนโลกจริง แต่ที่มิติพัฒนาเกมนั้นยากตระหนักทราบว่าเวลาผ่านไปแล้วเพียงใด
ที่นี่มีเพียงแสงขาว ทั้งยังเป็นแสงที่ไร้ต้นกำเนิดแสง มันเป็นแสงที่ปรากฏจากความว่างเปล่า
ลั่วฉวนรู้สึกว่าหากต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในที่เช่นนี้คงเกิดจิตคลุ้มคลั่งขึ้นสักวันเป็นแน่
มิติแห่งนี้เงียบสงัด หนึ่งนาทีหรือหนึ่งชั่วโมงก็ยากรับรู้ได้
“ใกล้จะได้แล้ว”
ลั่วฉวนมองห้าตัวละครตรงหน้าพร้อมพยักหน้ารับด้วยความพึงพอใจ
คลื่นแสงปรากฏ ด้านหลังยืนประดับด้วยสิบตัวละครดั้งเดิม
ดูทรงพลังดีไม่น้อย
พรุ่งนี้จะพร้อมให้ใช้เล่น แต่ก่อนหน้านั้นต้องแก้ไขปัญหาเรื่องเสียงพากย์เสียก่อน
ก่อนจะกลับออกจากมิติพัฒนาเกม ลั่วฉวนตรวจสอบเวลา พบว่าใกล้หมดเวลาทำการช่วงเช้าแล้ว
ด้วยเหตุนี้เขาจึงกลับโลกความเป็นจริงก่อน เสียงจอแจภายในร้านเริ่มดังเข้ามา
เหยาซือหยานนั่งอยู่ใกล้เคียง นางถือโทรศัพท์วิเศษพลางจับจ้อง นัยน์ตาสีม่วงสะท้อนแสงจากหน้าจอไปมา เส้นผมยาวของนางปล่อยไว้ถึงกลางหลังเป็นลอนคลื่นอย่างงดงาม
ตระหนักพบสายตาลั่วฉวนมองมา นางจึงหันไปยิ้มตอบรับ
“การพากย์?” เหยาซือหยานใช้ปลายนิ้วแตะริมฝีปากตนเอง ท่าทีเช่นนี้นางมักแสดงให้เห็นตอนกำลังครุ่นคิด “ต้องสอบถามราชสีห์สัตว์อสูรผู้อื่นก่อนว่าจะช่วยทำงานนี้กันได้หรือไม่”
ลั่วฉวนบอกกล่าวให้เหยาซือหยานทราบถึงสิ่งที่คิดออกไปแล้ว นางตอนนี้จึงคิดอยากหาทางช่วยให้สำเร็จ
“ฝากด้วย” ลั่วฉวนกลับไปทำงานเฝ้าร้านแทนนาง
“ทราบแล้ว” เหยาซือหยานหัวเราะตอบรับก่อนจะลุกขึ้นเดินไปทางเหยาซือเย่ว์และผู้อื่นที่เล่นไพ่กันอยู่
หากมีเทียบอันดับลูกค้าผู้ภักดีต่อร้านต้นตำรับ เช่นนั้นเหล่าราชวงศ์สัตว์อสูรย่อมอยู่แถวหน้าไม่มีผิดอย่างแน่นอน
ลั่วฉวนไม่ช้าจึงได้เห็นเหยาซือหยานเข้าไปพูดคุยกับเหยาซือเย่ว์เสียงเบา
“…พากย์เสียง?” หู่ขวงเกาศีรษะเผยท่าทีงุนงง สีหน้าที่เผยออกตอนนี้ค่อนข้างแปลก “ยากหรือไม่ พวกเราทำได้หรือ?”
“คิดมากทำอะไร? ข้าว่าเจ้าเหมาะสมกับเสียงพากย์กู่หลงเอ๋าด้วยซ้ำไป ทุ้มต่ำลงสักนิด แล้วก็ใส่ความโหดเหี้ยมเข้าไปหน่อย” อวี่เว่ยเผยยิ้ม
“นี่ไม่ได้ล้อกันเล่นใช่หรือไม่?” หู่ขวงแทบไม่เชื่อ สายตาตอนนี้จึงเผยความสงสัยไม่ปิดบัง
“ข้าจะโกหกเจ้าไปทำอะไร?” อวี่เว่ยเลิกคิ้วขึ้นเป็นการกล่าวถาม
หู่ขวงจึงหัวเราะรับไปสองคำโดยไม่คิดโต้เถียงใดอีก
“ก็ประมาณนี้” เหยาซือหยานเผยยิ้มพร้อมโบกมือเรียก “เถ้าแก่กล่าวว่าจะพากย์เสียงในคืนนี้ หากคิดว่าใครเหมาะสมก็พามาได้”
“ทราบแล้ว เดี๋ยวแจ้งพวกเขาให้ทราบผ่านทางโทรศัพท์วิเศษเอง” อวี่เว่ยพยักหน้าตอบรับ “สิบห้าตัวละคร แต่ละตัวละครต้องการเพียงพากย์ของแต่ละคนที่ต่างกันออกไป หนึ่งคนสามารถพากย์เสียงหลายตัวละครได้หรือไม่กัน?”
“เถ้าแก่ไม่ได้กล่าวถึง ขอไปสอบถามก่อน” เหยาซือหยานเดินกลับมาเพื่อสอบถามลั่วฉวน
“หนึ่งคนหนึ่งตัวละครกำลังดี หากไม่เหมาะสม หนึ่งคนแปลงเสียงพากย์ตัวอื่นด้วยก็ไม่มีปัญหา” ลั่วฉวนกล่าวตอบ
“รับทราบ” เหยาซือหยานตอบรับ
เหล่าลูกค้าในร้านต่างตระหนักพบเห็นความเคลื่อนไหว ตอนนี้จึงพูดกล่าวกันด้วยความสงสัยขึ้นมา
“เหมือนเถ้าแก่จะหารืออะไรสกัอย่างกับพี่ซือหยาน หรือจะเป็นสินค้าใหม่ของทางร้าน?”
“เมื่อวานก็เพิ่งเปิดขายชานมไม่ใช่หรือยังไง? คิดว่ายังเร็วไปนะ”
“แค่กแค่ก พวกเจ้าลองคาดเดาว่าเถ้าแก่ทำอะไรดีไหม? พี่ซือหยานไปพูดคุยกับเหล่าสัตว์อสูรราชวงศ์แล้ว”
“แล้วจะทราบยังไง เดินดุ่มไปถามงั้นหรือ?”
“นั่นคงไม่ดี…”
เมื่อหมดเวลาทำการช่วงเช้า ลูกค้าแต่ละคนภายในร้านจึงเริ่มเดินทางกลับกันไป
ลั่วฉวนยกโคล่าขึ้นมาดื่มอึกหนึ่งพลางรับชมการถ่ายทอดสดบนโทรศัพท์วิเศษเป็นการฆ่าเวลา