God Level Store Manager เถ้าแก่ขั้นเทพ - ตอนที่ 1006
ตอนที่ 1006
วิธีการที่บุคคลในชุดดำมาเยือนร้านต้นตำรับยามค่ำคืน มันออกจะทำลั่วฉวนกับเหยาซือหยานสะท้านใจ
แม้เหยาซือหยานไม่หัวเราะ แต่ดวตาสีม่วงนั้นเผยยิ้มจนแทบไม่อาจหุบ
ดวงตาลั่วฉวนก็เผยเส้นโค้งออกเล็กน้อยเช่นกัน
หากเขาคาดเดาไม่ผิด บุคคลในชุดดำน่าจะสะดุดเข้ากับหินซุ้มประตู มันเป็นก้อนหินสีดำที่ลั่วฉวนนำกลับมาจากนครไซเรนและมีการเชื่อมต่อไปยังมิติมืดที่เป็นบ้านของก้อนดำน้อย
ลั่วฉวนรับรู้ได้ถึงความสงสัยที่น่าจะปรากฏขึ้นในใจของบุคคลในชุดดำ
เมื่อลุกขึ้น ร่างนั้นมองทาง “ผู้ร้าย” ที่สกัดตนเอาไว้
เป็นก้อนหินสีดำที่เหมือนดังความมืดยามราตรี
มันเป็นอะไรที่สะดุดตาในระยะการมองเห็นจากแสงสว่างที่ส่องออกจากภายในร้าน
แต่พอมาถึง ร่างนั้นกลับไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน!
ความสงสัยปรากฏขึ้นในใจของบุคคลในชุดดำ
ก้อนหินที่… แปลกประหลาด
บุคคลในชุดดำไม่คล้ายจะเขินอายแต่อย่างใด ร่างนั้นมองมันอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าร้านมา
ทั้งร่างนั้นปกคลุมด้วยชุดสีดำ ใบหน้าก็มีหน้ากากสีดำไร้ซึ่งดวงตา หากผู้อื่นพบเห็นคงสงสัยว่าอีกฝ่ายแท้จริงคือใครกันแน่
“มาซื้อสินค้าหรือ?” ลั่วฉวนพบเห็นบุคคลในชุดดำมองไปยังชั้นที่มีไวน์หยกวางอยู่
แม้ไม่อาจมองเห็นหน้าเพราะหน้ากาก อีกทั้งยังราบเรียบเสมือนกระจก แต่กระนั้นสำหรับลั่วฉวนก็เป็นเรื่องไม่ยากที่จะพิจารณาจนทราบ
ร่างในชุดดำตอบสนองค่อนข้างเชื่องช้า ต้องใช้เวลาอยู่หลายชั่วลมหายใจกว่าจะพยักหน้ารับ
เหยาซือหยานตอนนี้กำลังมองลูกค้าพิเศษคนนี้ด้วยความสงสัย
นางตั้งระวังตัวเป็นครั้งแรกให้ได้เห็น
“แต่ร้านต้นตำรับหมดเวลาทำการแล้ว คงต้องมาใหม่วันพรุ่งนี้” ลั่วฉวนกล่าวบอก
ไม่คิดเปลี่ยนกฎของร้านเพราะลูกค้าพิเศษแต่อย่างใด
กฎนี้คงอยู่มาหลายเดือน ลั่วฉวนมองว่าควรรักษามันเอาไว้ต่อไป
แน่นอนว่วาหากมีสถานการณ์พิเศษอื่นใด เช่นนั้นค่อยว่ากล่าวอีกครั้ง
ใครใช้ให้เขาเป็นคนดีขนาดนี้กัน?
“ทราบแล้ว” เสียงตอบรับก็ยังมาค่อนข้างช้า และเป็นเสียงแหบห้าวของสตรี
สตรี?
ลั่วฉวนมองร่างในชุดดำด้วยท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย
ชุดสีดำขนาดใหญ่ปกคลุมทั้งร่างกายเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่อาจพบเห็นสิ่งใด
ลั่วฉวนกระทั่งรู้สึก ว่าการสวมใส่เสื้อผ้าเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับชุดธรรมดายามอยู่ต่อหน้าตน
ร่างในชุดดำหันกลับและคิดออกไป
ทันใดนี้เองที่ร่างนั้นหยุดชะงักและมองทางต้นไม้โลกตรงมุมหนึ่ง
ตอนนี้เองที่ลั่วฉวนรับรู้ได้ ว่าอารมณ์ของนางเกิดความเปลี่ยนแปลงที่พิเศษขึ้น
“รู้จักท่านบรรพชนพฤกษาด้วยหรือ?” เหยาซือหยานอดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม
ไม่มีคำตอบใดกลับมา
ร่างในชุดดำหยุดอยู่ครู่ก่อนจะเดินออกจากร้านและหายไปในความมืด
“ท่าทีของนางแปลกยิ่งนัก” เหยาซือหยานมองตามร่างในชุดดำที่หายไปพร้อมเกิดความกังวลขึ้น “เช่นนี้ไม่เป็นไรหรือ?”
นางค่อนข้างห่วงหาจากใจ
“ไม่เป็นไร” ลั่วฉวนตอบกลับ
เขารู้สึกได้ว่าท่าทีแปลกประหลาดของอีกฝ่ายสมควรเป็นเช่นนี้มานานแล้ว และจะยังเป็นเช่นนี้ต่อไปโดยไม่มีปัจจัยภายนอกใดมากระทบได้
เพียงหนึ่งคืน มันไม่มีทางเกิดปัญหาใหญ่ใดขึ้น
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เหยาซือหยานถอนหายใจโล่งอก
มื้อเย็นยังไม่เรียบร้อย ทั้งสองกลับไปทานอาหารต่อ
ไม่ช้าจึงค่อยทานมื้อเย็นเสร็จสิ้น
หลังเหยาซือหยานเก็บของไปล้าง นางจึงเริ่มคิดเนื้อเรื่องจดจ่อหน้าโทรศัพท์วิเศษ
ลั่วฉวนครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจเข้าไปยังโลกเสมือนจริง
หากไม่มีอะไรทำ เช่นนั้นไปเดินเล่นในออรัน
หลังผ่านไปนาน ลั่วฉวนก็ได้เรียนรู้เรื่องราวมากมายของเมืองต่างโลก
อย่างน้อยก็เกือบจะเดินรอบเมืองได้อีกครั้งแล้ว
สองดวงจันทร์สุกสว่างบนฟากฟ้ายามราตรี มันเผยประกายแสงเย็นเยือกพร้อมหมู่ดาวที่สาดส่อง รูปลักษณ์ดาราจักรไม่ใช่ที่คุ้นเคย เรื่องนี้ทำเอาเข้าต้องมองมันราวเป็นสิ่งลึกลับ
ลั่วฉวนเดินไปตามเส้นทางต่าง ๆ ภายในเมืองพร้อมถืออาหารทานไปด้วย ระหว่างทางยังคอยชมหมู่ดาวบนฟากฟ้าอันกว้างใหญ่ของต่างโลก
มันคงดีกว่านี้หากคนสัญจรที่นี่ไม่แออัดจนเกินไป
ลั่วฉวนค่อยได้ตระหนักพบ ว่าเส้นทางตรงหน้าคล้ายจะโดนคนสัญจรหลายคนขวางเอาไว้
หรือก็คือ พวกเขากำลังรุมล้อมอะไรสักอย่าง
“จับตัวมันเอาไว้! อย่าให้หนีรอดได้!”
“เจ้าพวกนอกรีตถึงกับกล้าปรากฏตัวในออรัน!”
“ระวังด้วย เจ้านี่น่าจะเป็นนักเวทระดับสูง…”
ฝูงชนที่กราดเกรี้ยวเผยเสียงคำรามดังปรากฏ
ลั่วฉวนตระหนักพบเห็น ว่าใจกลางของฝูงชนมันมีเสียงเวทมนตร์ระเบิดดังปรากฏ
ที่ตรงหน้าฝูงชนคือกลุ่มนักเวทจากคฤหาสน์จ้าวเมือง พวกเขาตั้งผนึกพื้นที่เอาไว้เพื่อยับยั้งพลังเวท
นอกรีต?
เหมือนว่าเรื่องราวเช่นนี้จะพบเห็นได้ไม่ว่าที่ใด
ด้วยความสนใจรับชม ลั่วฉวนจึงกัดขนมที่ถืออยู่จนหมดก่อนจะเดินเข้าไป
“พวกปุถุชนเช่นเจ้าไม่มีทางเข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของเทพเจ้า! ท่านคือผู้ควบคุมสรรพสิ่งในโลก! การทำลายล้างคือชะตากรรมของทุกสรรพสิ่ง!”
เสียงคำรามดังปรากฏจากภายในวงล้อม ส่วนเนื้อหาที่ได้ฟัง ในความเห็นของลั่วฉวน เหมือนจะเป็นลัทธิที่มีอีกความเชื่อหนึ่ง
มนุษย์ยามตระหนักได้ถึงอันตรายจะเสาะแสวงหาที่พึ่งทางใจ แน่นอนว่าช่วงเวลาอันสงบย่อมเคยเกิดขึ้น ทว่ามันก็มีเพียงน้อยนิด
บางครั้งลัทธิเช่นนี้ก็ถือกำเนิดขึ้นจากลัทธิใหญ่ดั้งเดิมเพื่อหาทางโค่นล้มกันไปมา
“ไม่นึกเลยว่าจะยังมีพวกนอกรีตอยู่ในเมืองของข้าด้วย” เสียงอันเย็นเยือกของเอลวิสดังปรากฏ “ข้าคิด ว่าแนวคิดของพวกเจ้านั้นออกจะอหังการเกินไป เจ้าพวกหนูโสโครก”
ลั่วฉวนตระหนักพบเห็นว่าจ้าวเมืองออรันอยู่ใกล้เคียง
“มันโผล่มาแล้ว!” เสียงคำรามดังปรากฏ บรรดากลุ่มคนลัทธิอื่นตอนนี้เผยความโกรธเกรี้ยวต่อถ้อยคำของเอลวิส “เมื่อใดวันสิ้นโลกมาถึง เมื่อนั้นคือการที่สรรพสิ่งถูกกลืนกิน!”
“น่าเสียดายที่ข้าไม่เชื่อเรื่องเช่นนั้น” เอลวิสมาถึงตั้งแต่แรก ตอนนี้เขาส่ายศีรษะมองกลุ่มลัทธิตรงหน้าอย่างนึกรังเกียจ… และเดียดฉันท์
ฝูงชนที่รับชมมีทั้งมนุษย์ ครึ่งออร์ค เอลฟ์ และเผ่าพันธุ์อื่นหลากหลาย แต่ท่าทีของพวกเขาแทบจะไปในทางเดียวกัน นั่นก็คือเย้ยหยันต่อคำของอีกฝ่าย
การทำลายล้าง สมควรเป็นคำพูดติดปากของลัทธิดังกล่าว
ลั่วฉวนพบเห็นสิ่งที่เรียกว่าผู้ทำลายซึ่งดูเหมือนชายวัยกลางคนธรรมดา หากจะพิเศษศก็คงเป็นที่ดวงตานั้นเผยความคลุ้มคลั่ง ร่างยังมีความเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาด แขนนั้นค่อนข้างผิดรูป ผิวหนังส่วนหนึ่งกลับกลายเป็นวัตถุประหลาดสีดำ
เพียงไม่กี่คำเขาแทบพอจะคาดเดาได้ ว่าลัทธินี้คือการที่ปล่อยให้โลกถูกทำลาย เพราะความเห็นของพวกเขา จุดสิ้นสุดของโลกคือการทำลายล้าง
ในโลกที่ค่อนข้างคลุ้มคลั่งและยากหาคำอธิบายเช่นเก๋อหลัว ไม่แปลกหากจะมีลัทธิเช่นนี้ปรากฏขึ้น