My MCV and Doomsday - ตอนที่ 479
Chapter 479: แค่ผ่านทาง
รถมินิบัสที่ขับมาตลอดทางถนนในชนบทต่างผ่านพื้นที่ในเมืองเจียงเบยตรงๆ อย่างไรก็ตาม ถนนในพื้นที่บางแห่งต่างหายไปอย่างสมบูรณ์และด้วยเหตุนี้นี่เองพวกเขาจำเป็นต้องสร้างถนนของพวกเขาขึ้นมาเอง
ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็เห็นรั้วไม้และลวดหนามปิดกั้นเส้นทางด้านหน้า แต่สิ่งกีดขวางเหล่านี้ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งรถมินิบัสของเจียงลู่ฉีได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพียงแค่เมื่อเจียงลู่ฉีกำลังจะขับผ่านรั้วลวดหนามไป หลันซิหยู่ก็พูดออกมาอย่างฉับพลัน “มันมีคนอยู่ที่นั่นด้วยแหละ!”
เจียงลู่ฉีก็เหลือบไปมองยังที่ที่หลันซิหยู่ชี้และพร้อมกับสายตาที่ดีของเขา เขาก็สังเกตเห็นคนหลายคนซ่อนตัวอยู่ในบ้านนาที่อยูไม่ห่างออกไปและมองพวกเขาผ่านหน้าต่าง
“มันมีผู้รอดชีวิตอยู่ในนั้นด้วย”เจียงลู่ฉีพูดออกมาอย่างประหลาดใจ เขาก็จอดรถมิบัสของเขาและจ้องไปที่ผู้รอดชีวิตที่คิดว่าพวกเขาหลบซ่อนได้เป็นอย่างดีอยู่และหลังจากนั้นเจียงลู่ฉีก็บีบแตรออกมาสักครั้ง
ผู้รอดชีวิตที่อยู่ในบ้านนาต่างตกตะลึงและอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าพวกเขาถูกพบจากระยะขนาดนั้นได้ยังไงพร้อมกับมีไร่นาที่แบ่งแยกพวกเขาไว้อีกด้วย
พวกเขาบีบแตรมั่วซั่วหรือเปล่า?”สมาชิกคนหนึ่งคนถามขึ้นมา
แต่เมื่อเสียงของเขาจางหายไป ผู้รอดชีวิตที่แข็งแกร่งที่อยู่ข้างเขาก็เหลือบตามองมาที่เขา “นายปัญญาอ่อนหรือเปล่า? นอกจากพวกเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วเท่านั้นแล้วละ พวกเขาจะไม่ระมัดระวังตัวขนาดนั้นได้ยังไงกัน? นายลืมไปแล้วหรือว่าซอมบี้กลายพันธุ์และสัตว์ป่าต่างมีสัมผัสที่ดีต่อเสียงหน่ะ!?”ผู้รอดชีวิตที่แข็งแกร่งมองไปที่รถมินิบัสและขมวดคิ้ว ในขณะที่สงสัยว่ามีใครอยู่ด้านในนั้น
ภายใต้ช่วงเวลาของการระบาดของไวรัส คนมีชีวิตแทบทั้งหมดต่างซ่อนตัวอยู่รอบๆ มันค่อนข้างเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะพบกับคนแปลกหน้า
‘พวกเขามาจากที่ไหนกันแน่?’ชายทั้งสองคนต่างสับสน
เจียงลู่ฉีก็แทบจะหมดความอดทนของเขา ดังนั้นเขาจึงบีบแตรอีกครั้งหนึ่ง ถ้าไม่มีใครมีแผนที่จะออกมาแล้วละก็เขาก็คงจะขับพุ่งตรงออกไปในทันที สุดท้ายแล้ว มันก็ไม่มีเส้นทางอื่นนอกจากเส้นทางนี้ ถ้าพวกเขาเลือกที่จะขับผ่านท้องนาแล้วละก็พวกเขาอาจจะหลงทางก็เป็นได้
เสียงแตรก็ดังขึ้นออกมาในพื้นที่รกร้างและมันก็ทำให้ผู้รอดชีวิตที่แข็งแกร่งรู้สึกหงุดหงิดใจ ‘ทำไมพวกเขาถึงบีบแตรอีกครั้งกัน?’
“พวกเขาบีบแตรเป็นเรื่องปกติงั้นเหรอ?”ผู้รอดชีวิตที่ด่าเขามาก่อนหน้านี้ก็ถามออกมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไหร่
“ออกไปกันเถอะ มิฉะนั้นแล้วพวกเขาก็คงบีบแตรอีกครั้งหนึ่งแน่ๆ พวกเราควรที่จะทิ้งคนไว้สองคนที่นี่ ดังนั้นพวกเขาจะได้ไม่รู้ว่าพวกเรามีสมาชิกมากเท่าไหร่กันแน่”ผู้รอดชีวิตที่แข็งแกร่งพูดออกมาและหลังจากนั้นเขาก็หยิบปืนและเดินออกไป ปืนนั้นเป็นปืนรุ่น 95 ซึ่งพวกเขาพบมันตามสถานีเก็บเงิน หลังจากที่จำนวนของซอมบี้ลดน้อยลง กลุ่มผู้รอดชีวิตเหล่านี้ต่างไปรวบรวมอาวุธเหล่านี้ไว้ มิฉะนั้นแล้วละก็พวกเขาจะไม่สามารถตั้งรากฐานขึ้นมาบริเวณแถวนี้ได้ ผู้รอดชีวิตที่แข็งแกร่งเดินออกมาจากประตูพร้อมกับคนอีกสองคนอย่างระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม เพียงแค่พวกเขากำลังจะเดินออกมานอกประตู เสียงแตรก็ดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“ไอ้เวร! ถ้าสัตว์ป่ากลายพันธุ์โผล่ขึ้นมาจะทำยังไงกัน?”
“นายคือใคร? ที่นี่คือฐานทัพของผู้รอดชีวิตของพวกเรา!”ผู้รอดชีวิตที่แข็งแกร่งถามออกมา
“รั้วนี่เปิดออกได้ไหม?”จางไฮ่ถามออกมา
เมื่อเห็นจางไฮ่จับไปที่หน้าต่างด้วยมือเดียว ในขณะที่เขาก็โผล่ตัวออกมาครึ่งตัว ผู้รอดชีวิตที่แข็งแกร่งตกตะลึงมาก เนื่องจากเขาสังเกตเห็นว่าจางไฮ่เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ
“ตอบคำถามฉันก่อน นายเป็นใครและนายมาจากที่ไหนกัน? นายต้องการที่จะเข้าร่วมกับฐานทัพผู้รอดชีวิตของพวกเรางั้นเหรอ? มันไม่มีปัญหานะ แต่ฉันจำเป็นที่จะต้องถามหัวหน้าของพวกเราก่อน”ผู้รอดชีวิตที่แข็งแกร่งตอบ
พวกเขาเคยพบกับผู้รอดชีวิตแบบนี้มาก่อนหรือพูดให้ชัดเจนแล้วก็คือผู้คนที่หลบหนีมาและกำลังตามหาฐานทัพผู้รอดชีวิตเพื่อลี้ภัย ในอีกความหมายหนึ่ง มันเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปที่ทีมที่ทรงพลังจะลี้ภัย นอกจากนี้แล้ว ผู้รอดชีวิตที่แข็งแกร่งก็เชื่อว่าหัวหน้าของเขาจะมีความสุขที่จะรับกลุ่มที่มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเช่นนี้เข้าไปด้วย
“นายโชคดีนะที่พบกับพวกเรา ที่จริงแล้วฐานทัพผู้รอดชีวิตของพวกเราเป็นหนึ่งในฐานทัพที่ดีที่สุดทั่วทั้งทวีปนี้เลยละ”
“อะไรนะ? ทำไมพวกเราจะต้องเข้าร่วมกับนายเพียงเพราะถนนนี่ด้วยกัน? นายเป็นคนที่ซ่อมมันใช่ไหม?”
“ขอโทษนะ นายหมายความว่าอะไร?”ผู้รอดชีวิตที่แข็งแกร่งถามออกมาอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่จางไฮ่พูดออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว
“ไอ้พวกเวร ทำไมพวกเราจะต้องเข้าร่วมกับพวกนายเพื่อที่จะขับผ่านถนนเส้นนี้ด้วยกัน? มันถูกสร้างขึ้นมาโดยนายงั้นเหรอ..”
อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะพูดเสร็จ เขาก็ถูกขัดโดยเจียงลู่ฉีที่ไม่มีความอดทนแล้ว
“อะไรกัน?”ผู้รอดชีวิตที่แข็งแกร่งไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
“พวกเราจำเป็นต้องผ่านถนนเส้นนี้ รั้วที่น่ารำคาญของนายขวางทางพวกเราอยู่!”จางไฮ่ตะโกนออกมา
ปกติแล้วมันเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปอย่างมาก แต่ผู้รอดชีวิตที่แข็งแกร่งถามคนอื่นให้เข้าร่วมกับพวกเขาและแม้กระทั่งโอ้อวดกับฐานทัพผู้รอดชีวิตของพวกเขา
“พี่หลี่ พวกเขาดูเหมือนกับว่าพวกเขาต้องการที่จะผ่านที่นี่ไปครับ…”สมาชิกคนหนึ่งกระซิบข้างหูกับผู้รอดชีวิตที่แข็งแกร่ง
“ฉันได้ยินมันแล้ว”ผู้รอดชีวิตที่แข็งแกร่งพูดออกมาและจ้องไปที่ชายที่น่าสงสารอีกครั้งหนึ่ง
“โอ้ แต่ถ้านายเคลื่อนที่ไปข้างหน้าแล้วนายจะเข้าไปด้านในฐานทัพผู้รอดชีวิตของพวกเรา มันมีคนและเด็กจำนวนมากอยู่ด้านในนั้น ดังนั้นพวกเราจะไม่ปล่อยให้นายเข้าไปได้ง่ายๆ ถ้ามันมีบางสิ่งเกิดขึ้น พวกเราก็ไม่รู้จะจัดการกับมันยังไง นอกจากนี้แล้วพวกเราก็ไม่ได้ขวางเส้นทางสักหน่อย…”ผู้รอดชีวิตที่แข็งแกร่งก็ยังคงเว้นระยะทางเพื่อความปลอดภัยและคุยกับจางไฮ่
“มันมีปัญหา!”จางไฮ่พูดไม่ออก เขาเป็นพวกที่อารมณ์ร้อน แต่เขาก็ถูกหยุดโดยเจียงลู่ฉี “จางไฮ่” เจียงลู่ฉีเรียกจางไฮ่กลับเข้าไปและหลังจากนั้นก็เปิดประตูออกมา
เมื่อเห็นชายหนุ่มในวัยยี่สิบปีเดินออกมาจากรถมินิบัส ผู้รอดชีวิตที่แข็งแกร่งก็ผ่อนคลายเล็กน้อย ในความคิดของเขาแล้วจางไฮ่เป็นชายที่ค่อนข้างยากที่จะจัดการด้วย อย่างไรก็ตามเจียงลู่ฉีก็ดูอ่อนโยนกว่ามาก
“ชายที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังประตูไปแจ้งหัวหน้าของนายแล้วใช่ไหม?”เจียงลู่ฉีถาม
เมื่อได้ยินคำถามของเขา ผู้รอดชีวิตที่แข็งแกร่งก็ตกตะลึงมาก เนื่องจากเขาแอบส่งสัญญาณมือลับไปหาสมาชิกของเขาให้ไปเรียกหัวหน้า แต่ทำไมชายหนุ่มคนนี้ถึงสามารถรับรู้มันได้กัน? เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าการตัดสินใจของเขานั้นผิดพลาด มันเป็นที่เด่นชัดว่าชายหนุ่มตรงหน้าเขาจัดการได้ยากกว่ามาก
“ไม่นาน ไม่นานครับ”ผู้รอดชีวิตที่แข็งแกร่งต่างละทิ้งความคิดที่จะสู้ไป เนื่องจากว่าเขาสามารถที่จะรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มนั้นสังเกตการเคลื่อนไหวของเขาทุกท่วงท่า แม้ว่าเขาจะถือปืนอยู่ในมือแต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายตัว แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะลดปืนลงได้ เมื่อมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ปกป้องเขาได้
“ถ้างั้นพวกเราก็จะรอ”เจียงลู่ฉีพูด พวกเขาสามารถที่จะรอได้ เมื่อมันไม่ได้สำคัญว่าพวกเขาจะถึงเจียงหนิงช้ากว่าปกติหรือเปล่า
ผู้คนบางคนก็เริ่มที่จะแอบทำอะไรบางอย่างอย่างลับๆ แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าการเคลื่อนไหวทั้งหมดของพวกเขาอยู่ในวิสัยทัศน์ของหลันซิหยู่อยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้แล้วเธอก็ขยายพลังของเธอออกไปอีกและด้วยเหตุนี้นี่เองเธอจึงได้ทำการตรวจสอบฐานทัพของพวกเขา ในเวลาเดียวกันเธอก็แบ่งปันวิสัยทัศน์จิตวิญญาณกับเจียงลู่ฉี ดังนั้นมันเกือบไม่มีเรื่องอะไรที่สามารถหลบซ่อนในสายตาของพวกเขาได้ ฐานทัพของผู้รอดชีวิตก็อยู่ห่างออกไปแค่เพียงหนึ่งกิโลเมตรพร้อมกับประชากรที่หนาแน่นเหมือนกับหมู่บ้านเล็กๆหมู่บ้านหนึ่ง
เพียงเวลาไม่นานมอเตอร์ไซค์และรถกระบะปรับแต่งหลายคันก็ขับรถมา กรงเหล็กหนาก็ถูกเพิ่มเติมด้านหลังรถ ด้านหน้าของรถก็ถูกปกคลุมไปด้วยเหล็กและกรงเหล็ก มันดูเชื่องช้าอย่างมาก คนหลายคนก็ยืนอยู่ในกรงเหล็กและอีกสองคนก็ขับมอเตอร์ไซค์ของแต่ละคัน เมื่อพวกเขาคำรามออกมา พวกเขาก็มาถึงรั้วลวดหนาม
“มันเกิดอะไรขึ้น?”ประตูของรถกระบะก็ถูกเปิดออกและชายหนุ่มในชุดเสื้อหนังก็เดินลงมาจากรถและขมวดคิ้ว เมื่อเขาเห็นรถมินิบัสของเจียงลู่ฉี เขาก็ได้รับข่าวว่ามีปัญหาเกิดขึ้นกับพวกเขา แต่เขาก็เห็นแค่รถมินิบัสธรรมดาคนหนึ่งและชายที่ยืนอยู่ด้านข้างรถมินิบัสอย่างใจเย็นเพียงเท่านั้น!
“พี่ชายหลินเว่ย พวกเขาพูดว่าพวกเขาต้องการที่จะขับผ่านฐานทัพของพวกเราไป”ผู้รอดชีวิตที่แข็งแกร่งก็รีบพูดออกมา
เจียงลู่ฉีก็มองไปที่หลินเว่ยที่เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่มีความสามารถที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง เจียงลู่ฉีไม่รู้ว่าเขาเป็นหัวหน้าของฐานทัพนี้หรือเปล่า แต่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไร เขาเพียงแค่ต้องการหาใครบางคนที่ตัดสินใจก็พอ
หลินเว่ยเหลือบตามองไปที่เจียงลู่ฉีและหลังจากนั้นเขาก็มองไปที่รถมินิบัสอีกครั้งหนึ่ง ‘การไหลเวียนพลังงานที่แข็งแกร่งหลายสาย!’ ที่จริงแล้วหลินเว่ยตัดสินใจที่จะปฎิเสธ แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็เปลี่ยนการตัดสินใจ ถึงแม้ว่าเขาจะมีสมาชิกหลายสิบคน มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในการต่อสู้กับทีมฉี่หยิง
“ตั้งแต่ที่นายต้องการที่จะขับรถผ่านที่นี่ นายควรที่จะจ่ายค่าชดเชยให้กับพวกเรานะ”หลินเว่ยพูดออกมาอย่างไม่ลังเลใจ
“นายต้องการอะไรกัน?”เจียงลู่ฉีถามอย่างเบาบาง ถ้าหลินเว่ยต้องการราคาที่สูงแพงมาก เจียงลู่ฉีก็เลือกที่จะสู้กับพวกเขา
หลินเว่ยอยู่ภายใต้ความรู้สึกที่พวกเขาไม่ได้มีของมากเท่ากับของด้านในรถมินิบัส สุดท้ายแล้วมันก็มีผู้คนมากมายอยู่ด้านในนั้น ยังไงก็ตาม พวกเขาจำเป็นต้องได้รับอาหารที่มีสารอาหารเพียงพอ สิงโตนั้นมีความหิวกระหายจำนวนมาก เขานั้นขี้เกียจเกินกว่าที่จะพูดอะไรไร้สาระกับคนเหล่านี้และเขาก็โอหังอย่างมาก
“ข้าวสิบกิโลกรัม?”หลินเว่ยตอบ
“ข้าว?”เจียงลู่ฉีถามออกมาอย่างประหลาดใจ
“อะไรนะ? นายรู้สึกว่ามันมากเกินไปงั้นเหรอ? อย่างน้อยก็ 7.5กิโลกรัมละกัน”หลินเว่ยพูดออกมาอย่างโกรธเคือง
เจียงลู่ฉีพบว่าหัวหน้าคนนี้ทั้งตลกและน่ารำคาญ เขาลดราคาด้วยตัวของเขาเองซะงั้น!
ที่จริงแล้วเจียงลู่ฉีนั้นยังมีข้าวเก็บไว้บางส่วน นอกจากนี้แล้วข้าวก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่พวกเขาใช้กันด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้แคร์อะไรกับข้อตกลงนี้เลย เขาพยักหน้าในทันทีและพูดออกมา “เปิดรั้วซะ พวกเราจะให้ข้าวกับนาย เมื่อพวกเราข้ามผ่านไป”
“โอเค เฒ่าหลี่ พาสมาชิกไปหลายคนเพื่อแยกส่วนสิ่งป้องกันก่อนซะ”หลินเว่ยออกคำสั่ง
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย เสียงเท้าของเจียงลู่ฉีก็หยุดอีกครั้งหนึ่ง มันไม่ได้เป็นอะไรอย่างอื่นนอกจากรั้วพังๆ แต่หลินเว่ยก็ยังเรียกว่าสิ่งป้องกันอยู่อีก…
พวกเขาจำเป็นที่จะต้องเปิดรั้วด้วยตัวของตัวเองและหลังจากนั้นพวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องต่อรั้วมันอีก นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่เจียงลู่ฉีตกลงที่จะแบ่งข้าวให้บางส่วน มิฉะนั้นแล้วเจียงลู่ฉีก็คงไม่ตกลง
เมื่อหลินเว่ยออกคำสั่ง เฒ่าหลี่และคนอื่นก็รีบเปิดรั้วออกมาในทันที หลังจากรอเจ็ดถึงแปดนาที รถมินิบัสของเจียงลู่ฉีก็ผ่านเข้าไปได้ในที่สุด
เมื่อเห็นรถมินิบัสเข้ามาใกล้ หลินเว่ยก็รู้สึกว่ามันพิเศษบางส่วน มันค่อนข้างเป็นเรื่องที่แตกต่างจากรถมินิบัสคันอื่นในความคิดของเขา ในเวลาเยวกัน หลินเว่ยก็ไม่สามารถมองเห็นพื้นที่ภายในรถมินิบัสได้เลย
“ตามรถฉันไป”หลินเว่ยตะโกน เขาสัมผัสได้ถึงการไหลเวียนพลังงานที่แข็งแกร่ง ดังนั้นเขาจึงระมัดระวังตัวอย่างมาก
เพียงเวลาไม่นานเจียงลู่ฉ๊และสมาชิกทีมของเขาก็เห็นหมู่บ้านเล็กๆด้านหน้าพวกเขา ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นเพียงแค่บ้านสองชั้นไม่กี่หลัง บ้านที่เหลือต่างเป็นบ้านกองฟาง มันก็ยังคงมีกำแพงคอนกรีตอิฐที่ถูกเสริมด้วยปูนซีเมนต์ด้านนอกหมู่บ้านและมีหอสังเกตการณ์ที่พึ่งถูกสร้างขึ้นมา ปากกระบอกหลายปืนก็เล็งออกไปยังพื้นที่ด้านนอก หมู่บ้านนี้พึ่งจะสร้างขึ้นมาหลังจากวันโลกาวินาศ ดังนั้นถนนจึงถูกครอบครองไปโดยพวกเขา พวกเขาก็ยังคงจะต้องข้ามผ่านท้องทุ่งนา ผู้คนในหมู่บ้านที่เห็นหลินเว่ยพาคนหลายคนมาพร้อมกับเขาและรถมินิบัสที่ตามรถของหลินเว่ยมา
ในเวลาเดียวกัน ผู้รอดชีวิตจำนวนมากก็หยุดสิ่งที่พวกเขาทำอยู่และมองไปที่อื่น เจียงลู่ฉีก็สังเกตว่าผู้รอดชีวิตเหล่านี้ต่างน่าสงสาร แม้กระทั่งเสื้อผ้าของเขาก็ยังขาดกระจุย พวกเขาต่างทำงานกันอย่างยากลำบากและผู้คนหลายคนก็กำลังคุมงานพวกเขาอยู่ คนเหล่านี้ต่างเต็มไปด้วยความเหย่อหยิ่ง อย่างไรก็ตามเจียงลู่ฉีก็รู้สึกดีที่คนที่ไร้พลังได้รับการสนับสนุน อย่างน้อยผู้รอดชีวิตเหล่านี้ก็สามารถที่จะถูกปกป้องในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
“นี่คือฐานของพวกเรา ไปดูพื้นที่รอบๆก่อนได้นะ หลังจากนั้นฉันจะนำนายออกไปเอง”หลินเว่ยหยุดพูด
เจียงลู่ฉีเปิดหน้าต่างและหยิบถุงข้าวออกมา “ตั้งแต่ที่นายดูมีเครดิตอย่างมาก ข้าวถุงนี้เป็นของนาย”
“โอเค”หลินเว่ยโบกมือและมีใครบางคนก็มาหยิบถุงข้าวไปในทันที เพียงแค่เจียงลู่ฉีกำลังจะปิดหน้าต่าง เขาก็ตะโกนออกมาอย่างลังเลใจ “เจียงลู่ฉี? จริงดิ? เจียงลู่ฉีใช่ไหม?”
เจียงลู่ฉีก็มองตามเสียงไปและหลังจากนั้นเขาก็เห็นคนที่ดูซกมกรุงรังวิ่งมาทางเขาอย่างตื่นเต้น ใบหน้าของชายคนนี้ดำมืดและผมของเขาก็ยาวมาก ดังนั้นเจียงลู่ฉีจึงจำเขาไม่ได้เลย
‘ชายคนนี้คือใครกัน?’
“ฉันเองไง ฉันเอง!”ชายคนนั้นตะโกนออกมาและปาดหน้าของเขาอย่างหนักหน่วง “เจียงลู่ฉี มองฉันให้ดีๆสิ!”