My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม - ตอนที่ 619
กระเป๋านักเรียนสีดำ
ประตูรถปิดลง และเครื่องยนต์ก็เร่งความเร็ว ลูกกระเดือกของชายหนุ่มขยับนิด ๆ เขาหุบร่มเอาไว้ระหว่างขาเขาแล้วค้นหาเหรียญออกมาจากกระเป๋าแล้วโยนเข้าไปในเครื่องออกตั๋ว หลังจากเหรียญกระทบกับถังที่เป็นโลหะเกิดเสียงดัง ผู้โดยสารหลายคนบนรถก็หันมามองชายหนุ่มคนนี้
ถูกคนแปลกหน้าหลายคนมองมา เขาก็รีบก้มหน้าลงเหมือนคิดว่าถ้าเขาไม่เห็นคนพวกนั้น คนพวกนั้นก็จะไม่เห็นเขา รถเมล์ออกตัว และชายหนุ่มคนนั้นก็จับราวบันไดไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองหล่นลงไป บางทีอาจจะเพราะความกระวนกระวายของเขา ที่หลังมือของเขาจึงมีเส้นเลือดสีเขียวปูดโปนเห็นได้ชัดเจน
“หน้าใหม่?” ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่หมอได้เจอกับชายหนุ่มคนนี้ คิ้วของเขาเลิกขึ้นนิด ๆ และริมฝีปากเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้พูดอะไร
สองนาทีต่อมา ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ เงียบ ๆ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าผู้โดยสารเลิกให้ความสนใจเขาแล้ว เขาเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าเงียบ ๆ ดึงโทรศัพท์ออกมา มันเหมือนเขาคิดจะเปิดใช้งานกล้อง
“การพยายามถ่ายรูปก็ออกจะเกินไปสักนิด” เฉินเกอนั้นไม่ยินดีให้รถขนคนตายของเขาถูกเปิดเผยออกไป ดังนั้นก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้ทำอะไร เขาก็ลุกขึ้นเดินไปทางนั้น เห็นมีคนเดินเข้ามาหา ชายหนุ่มก็กลัวจนโทรศัพท์เกือบจะลื่นหลุดจากนิ้ว
“มีที่นั่งว่าง ๆ ตั้งมากอยู่บนรถ ทำไมคุณถึงมายืนอยู่ตรงนี้” รอยยิ้มของเฉินเกอนั้นเหมือนจะติดต่อถึงคนอื่นได้ และน้ำเสียงของเขาก็เป็นมิตร
“ผม…” ชายหนุ่มไม่ได้อธิบายว่ามันเป็นเพราะว่าเขาขี้ขลาดเกินจะทำอย่างนั้น ตั้งแต่ขึ้นมาบนรถ เขาก็พบว่ากระทั่งสมองของเขาก็เริ่มทำงานช้าลง และเพราะอะไรไม่รู้ เขาไม่สามารถหาข้ออ้างที่น่าเชื่อถือออกมาได้
“คุณยังเรียนอยู่ใช่ไหม?” เฉินเกอวางมือลงที่แขนของชายหนุ่มอย่างเป็นธรรมชาติ “นั่นตรงนี้สิ อยู่ให้ไกลลมหน่อย ไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นไข้เอาได้”
ก่อนที่ชายหนุ่มจะทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ถูกเฉินเกอลากไปยังแถวสุดท้าย คำนวนระยะห่างระยะห่างระหว่างตัวเขากับประตู และจากนั้นก็หันไปมองหน้าต่างที่ล็อกอยู่ เขาเดาว่ามันน่าจะเร็วกว่าถ้าจะทุบกระจกให้แตกแล้วกระโดดออกไป
“ไม่ต้องกระวนกระวายขนาดนั้นหรอก นี่เป็นครั้งแรกที่คุณขึ้นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายสาย 104 ใช่ไหม?” เฉินเกอนั้นเหมือนกับพี่ชายข้างบ้าน “คุณน่าจะเข้าใจผิดจากข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงบนออนไลน์ อันที่จริงแล้ว บริษัทขนส่งมวลชนนั้นบางครั้งก็จะเสริมรถเที่ยวสุดท้ายที่วิ่งตอนเที่ยงคืนในบางวันน่ะ ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่คุณไม่จำเป็นต้องกังวล พวกเราล้วนเป็นคนเป็น ๆ กันทั้งนั้น”
เพื่อเพิ่มแรงเกลี้ยกล่อม เฉินเกอกระทั่งเปิดกระเป๋าของเขา อุ้มเจ้าแมวขาวออกมา “คุณเห็นผีที่ไหนเลี้ยงแมวเหรอ?”
เจ้าแมวขาวที่ถูกดึงออกมาอวดเริ่มรำคาญ มันโบกกรงเล็บไปมาแต่ว่าอยู่ไกลเกินกว่าจะแตะถูกเฉินเกอได้จริง ๆ ดังนั้นมันจึงโกรธจนขนพองฟู
เห็นสิ่งมีชีวิตที่แสนมีชีวิตชีวาแล้ว ความกลัวในใจของชายหนุ่มก็สลายไป เขาเกาหัวแล้วพูดอย่างไม่แน่ใจ “แต่มันเที่ยงคืนและฝนยังตกหนัก ทำไมถึงมีผู้โดยสารเยอะแบบนี้ล่ะ?”
“ถึงจะเป็นกลางคืน แต่ก็มีหลายคนที่ต้องทำงานเพื่อดำรงชีวิตนะ อย่างพนักงานรับโทรศัพท์ คนขับรถกะกลางคืน ยามกะกลางคืน และยังนักจัดรายการวิทยุช่วงเช้ามืดอีก งานของคนเหล่านี้น่ะมองข้ามไม่ได้หรอกนะ เพราะก็มีส่วนในการพัฒนาเมืองของเรา”
คำพูดเชิงบวกเหล่านี้ให้ความรู้สึกประหลาดเมื่ออยู่ในรถเมล์หลอน ๆ คันนี้ แต่ว่าเฉินเกอก็ไม่สนใจความไม่เข้ากันนี้ “แล้วก็นะ คุณทำงานอะไรเหรอ? ทำไมถึงยังออกมาข้างนอกตอนดึก ๆ อย่างนี้?”
“ผม…” ชายหนุ่มลังเล เขาหันไปมองผู้โดยสารคนอื่น ๆ เพราะไฟในรถเมล์นั้นไม่ได้เปิด เขาจงมองเห็นแค่เงาตะคุ่ม ๆ เท่านั้น ฝ่ามือของเขาลื่นไปด้วยเหงื่อ หลังจากนั้นเป็นนาน เขาก็เก็บโทรศัพท์ลงแล้วบอกเฉินเกอ “ผมเป็นนักเรียนที่โรงเรียนมัธยมหลินเจียง”
“นักเรียนมัธยม?” เฉินเกอมองใบหน้าเด็กคนนี้ “คุณดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ”
“ผมซ้ำชั้นสองปีแล้ว และดูเหมือนว่าจะต้องซ้ำชั้นอีกปีด้วย แต่ว่านั่นก็ไม่สำคัญแล้วแหละ” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มนั้นเต็มไปด้วยความขมขื่นที่เกินอายุไปมาก
“น้องชาย คุณเรียนซ้ำชั้นมาสองปีแล้ว มีอะไรที่สำคัญกว่าเรื่องนั้นใช่ไหม?”
“ใช่” เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างหนักแน่น เขาดึงโทรศัพท์ออกมา “ในห้องผม มีนักเรียนหายตัวไปสามคน ผมรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน แต่ว่าตำรวจไม่เชื่อผม”
เปิดโทรศัพท์แล้วเด็กหนุ่มก็ให้เฉินเกอดูรูปหมู่รูปหนึ่ง “พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทของผม”
ในรูปมีคนอยู่สี่คน เด็กหนุ่มคือคนที่ถือลูกบาสเก็ตบอลเอาไว้และยืนอยู่ด้านหลัง ฝาแฝดคู่หนึ่งที่ดูนิสัยต่างกันยืนอยู่สองข้างของเขา คนทางซ้ายนั้นดูมืดมน เขาถือกระเป๋าสะพายหลังสีดำใบหนึ่งเอาไว้ในมือ ขณะที่คนทางขวานั้นมองไปยังเด็กสาวทางด้านหน้า ในดวงตานั้นมีความรักใคร่
“ทำไมจู่ ๆ พวกเขาก็หายตัวไปล่ะ?” เฉินเกอมองเด็กนักเรียนที่ในรูป ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับกระเป๋าที่เด็กชายทางซ้ายถืออยู่ ในเกมของเสี่ยวปู้ มีกระเป๋านักเรียนสีดำใบหนึ่งวางเอาไว้ที่แถวหลังสุดของรถเมล์ และเมื่อเสี่ยวกู่ขึ้นรถขนคนตาย เขาก็เจอกับเด็กนักเรียนมัธยมคนหนึ่งบนรถเมล์ เด็กนักเรียนคนนั้นก็มีกระเป๋าสีดำเหมือนกัน
“กระเป๋านักเรียนสีดำ ฝาแฝดคู่หนึ่งที่หน้าตาเหมือนกันแต่ว่าบุคลิกภาพต่างกัน…” เฉินเกอดูเหมือนจะนึกถึงบางอย่างได้ “พวกเขาสามคนหายตัวไปหลังจากขึ้นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายสาย 104?”
เด็กหนุ่มพยักหน้าอีกครั้ง “ฝาแฝดคู่นั้นแซ่เป้ยที่หาได้ยาก ถึงพวกเขาจะหน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบ แต่พวกเขาก็ต่างกันมาก คนพี่ชื่อเป้ยเย่ เขาโมโหง่ายและมีเพื่อนไม่มากนัก กิจกรรมที่เขาชอบที่สุดก็คือเล่นแผลง ๆ แบบที่มีแต่เขาสนุกอยู่คนเดียว คนน้องชื่อเป้ยเหวิน เขาเป็นเด็กนักเรียนที่ดี เงียบและขี้อาย เขาเก็บตัวยกเว้นว่าจะมีคนเข้าหา
“พวกเราสี่คนสนิทกัน ดังนั้นจึงกลับบ้านด้วยกันเป็นปกติ จนเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยเหตุผลประหลาด ๆ เป้ยเย่กับเป้ยเหวินก็เกิดทะเลาะกันอยู่ที่ป้ายรถเมล์ เหมือนว่าเป้ยเย่เหนื่อยที่จะอยู่เป็นเงาของเป้ยเหวินแล้ว
“ตอนนั้น พวกเราไม่ได้คิดมากนัก เป้ยเย่กระแทกเท้าเดินหนีไป แต่ว่าวันต่อมา พวกเราก็พบว่าเป้ยเย่ไม่ได้กลับบ้านเมื่อคืนนี้ ระหว่างเรียน เป้ยเย่ก็กลับมา และน่าแปลก สิ่งแรกที่เขาทำก็คือขอโทษเป้ยเหวิน จากนั้นเขาก็บอกความลับอย่างหนึ่งกับพวกเรา เขาบอกว่า หลังเที่ยงคืน จะมีรถเมล์คันหนึ่งบรรทุกคนตายมุ่งหน้าสู่จิ่วเจียงตะวันออก
“แน่นอนว่าพวกเราไม่เชื่อเขา เป้ยเย่ชวนพวกเรารอรถเมล์คันนั้นกับเขา ไม่ว่าเป้ยเหวินหรือผมก็อยากจะมีเวลาให้เขาวันนั้น แต่ว่าเขากลับมัดมือชกพวกเราด้วยการท้าเป้ยเหวินต่อหน้าเด็กผู้หญิงคนนี้”
เด็กหนุ่มหยุดเพื่อหายใจ เขามองโทรศัพท์ตัวเองและยิ่งคิดเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งกลัว
“แล้วจากนั้นล่ะ?”
“จากนั้นพวกเขาสามคนก็หายตัวไป เป้ยเย่กับพ่อของเขาหายตัวไปในวันเดียวกัน จากนั้นก็เด็กผู้หญิง และในที่สุดก็เป้ยเหวิน”
เรื่องที่เกิดขึ้นต่อเนื่องนี้คล้ายกับเรื่องในความทรงจำของเฉินเกอ เขารู้สึกเหมือนมีโอกาสอย่างมากที่เป้ยเหวินและเป้ยเย่จะติดอยู่ในโลกหลังประตูในเมืองหลี่ว่าน
“คุณลงจากรถเมล์ที่ป้ายถัดไป ถ้าผมเจอเพื่อนของคุณ ผมจะพาพวกเขากลับมา”
“คุณพาพวกเขากลับมาได้เหรอ? ไม่มีทาง” เด็กหนุ่มส่ายหน้า “คุณไม่รู้หรอกว่าผมต้องรวบรวมความกล้าแค่ไหนก่อนที่จะขึ้นมาบนรถนี่ได้…”
“ทำตามคำสั่งของผมถ้าคุณไม่อยากตาย” รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินเกอยังคงนุ่มนวล แต่เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนเขาถูกสาดด้วยน้ำเย็นหนึ่งถังกลางฤดูหนาว เขาอดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้
เด็กหนุ่มคนนี้นั้นดูเหมือนตัวละครหลักในหนังสยองขวัญทั่ว ๆ ไปเรื่องหนึ่ง แต่ว่าเขาโชคดีที่มาเจอเข้ากับเฉินเกอ