My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 596 ท้องฟ้าไม่มีวัน
หลังจากที่ได้อ่านจดหมายจู่โจวก็รู้สึกว่าผู้ชี้แนะคนนี้เป็นคนใจแคบมากเกินไปตลอดประวัติศาสตร์ไม่ว่าราชวงศ์ไหนก็ล้วนแต่จํากัดความคิดของทุกคนเอาไว้ทั้งเจตจํานงอิสรภาพความรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่จําเป็นต่อการพัฒนาของมนุษย์ล้วนแต่ถูกจํากัดไว้
แม้ว่าจู่โจวจะไม่ได้อาศัยอยู่ในโลกใบนี้ตั้งแต่แรก แต่ถึงแบบนั้นเทียนเดํา หยุนเทียนลั่ว หลิวภู่ หยวนคู่ทุกๆ คนต่างก็พยายามที่จะฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ แม้แต่ศิษย์ที่อายุสั้นอย่างยู่ฉางตงเองก็เคยคิดแบบนั้น
เมื่อยุคสมัยแห่งการแยกดอกบัวเริ่มต้นขึ้น ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายก็เลือกที่จะฝึกฝนตัวเองให้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบในทันที
ครึ่งปีแล้วที่ยุคสมัยใหม่เริ่มต้นขึ้น แม้แต่หลิวคู่เองก็ยังฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลับครึ่งได้ ยังไงซะทุกคนก็คงจะตามทันไม่ช้าก็เร็วในตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วใครกันจะหยุดดูทุกคนไม่ให้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้?
แม้ว่าจู่โจวจะไม่ได้เผยแพร่ทฤษฎีการตัดดอกบัว แต่ถึงแบบนั้นก็ยังมีหมากกระดานของหยุนเทียนถั่วงานศึกษาของหลิวคู่ และความพยายามของยู่ฉางตงยังไงซะการตัดดอกบัวทองคําของยู่ฉางตงก็ย่อมที่จะเปิดเผยความจริงให้กับทุกคนได้รู้อยู่ดี
ไทเฮาที่ได้ฟังแบบนั้นถอนหายใจก่อนจะพูดออกมา “ยังไงซะมันก็ขึ้นอยู่กับฟ้าแล้วล่ะ”
“แต่ข้าคิดว่าทั้งหมดขึ้นอยู่ในมือเรา”
ไทเฮาที่ได้ฟังแบบนั้นได้พยักหน้ายอมรับแต่โดยดี
ลู่โจวได้นึกถึงแม่นางแซ่หลัวที่ถูกพูดถึงในจดหมายได้ “เจ้าเคยได้ยินเรื่องของแม่นางแซ่หลัวไหมไทเฮา?”
ไทเฮาที่ได้ฟังแบบนั้นกําลังครุ่นคิด บางทีอาจจะเป็นเพราะนางมีอายุที่มากแล้ว เพราะแบบนั้นนางจึงต้องใช้เวลาในการนึกถึงอดีตเพิ่มมากขึ้น เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งนางก็เริ่มส่ายหัว “ผู้ชี้แนะไม่เคยที่จะพูดถึงแม่นางแซ่หลัวเลย บางทีเขาอาจจะบอกใครสักคนเกี่ยวกับเรื่องของนางก็ได้ ข้า ได้ยินจากองค์จักรพรรดิมาก่อนในตอนนั้นเขาบอกว่าผู้ชี้แนะมักจะใช้เวลาอยู่กับตัวเองผู้ชี้แนะคนนั้นมักจะใช้เวลาคิดถึงบ้านเกิดที่จากมาผู้ชี้แนะเคยพูดถึงการค้นหาใครบางคนบางทีคนคนนั้นอาจจะหมายถึงแม่นางแซ่หลัวก็เป็นได้
“นางไม่เคยปรากฏตัวในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มาก่อนเลยเหรอ?” ลู่โจวรู้สึกสับสน
หลี่หยุนเฉาเป็นผู้ตอบกลับมา “ข้าเป็นผู้ที่รับใช้องค์ไทเฮามานานมากที่สุดแล้วข้ารู้เรื่องเกี่ยวกับองค์ไทเฮาดีข้ารับรองได้เลยว่าองค์ไทเฮาไม่เคยรู้เรื่องของแม่นางแซ่หลัวมาก่อน แต่ถึงแบบนั้นเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก็ยังกว้างใหญ่มีผู้คนมากมายที่ใช้แซ่หลัว พวกเราคงจะต้องมองหาผู้ที่เป็นไปได้ผู้ที่สําคัญมากพอควรค่าแก่การตามหามากกว่า”
ลู่โจวลูบเคราก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าเข้าใจแล้ว”
ในตอนนั้นเองทหารราชสํานักก็ได้ปรากฏตัวขึ้น “องค์ไทเฮา โจวยไคประมุขแห่งสถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่และเม้งหนานเฟยประมุขแห่งสถานศึกษาผืนฟ้าขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”
ไทเฮาที่ได้ฟังแบบนั้นถอนหายใจ “บอกให้พวกเขารออยู่ที่ตําหนักต้าเฉิงซะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ณ ตําหนักต้าเฉิง
โจวยไคและเม้งหนานเฟยก่าลังสั่นไปทั้งตัวในขณะที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
ไทเฮาได้นั่งอยู่ทางด้านขวาในขณะที่ลูโจวกําลังนั่งอยู่ทางด้านซ้าย
โจวยไคโคกศีรษะก่อนจะเริ่มต้นพูด “ผู้อาวุโสจี ได้โปรดเชื่อข้าด้วย ข้าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผู้อาวุโสทั้งสิบได้ทําไป…ข้าพยายามห้ามปรามพวกเขาไว้แล้ว แต่ถึงแบบนั้นพวกเขากลับไม่ฟัง!”
เม้งหนานเฟยพูดต่อ “ตั้งแต่เรื่องที่เกิดขึ้นในมณฑลหยาน ข้าก็ได้กําชับสาวกซ้ําแล้วซ้ําเล่า แต่ถึงแบบนั้นพวกเขากลับไม่เชื่อฟัง…”
บนยอดเขาใกล้ๆ กับมณฑลหยาน ลู่โจวได้เคยพบกับโจวยไคและเคยได้พูดคุยกันมาก่อน แล้ว
ในบรรดาประมุขทั้งสอง ทุกๆ คนต่างก็คิดสงสัยในตัวเม้งหนานเฟยมากกว่า
“บอกเหตุผลที่จะทําให้ข้าเชื่อเจ้า”
โจวยไคเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะหยิบเครื่องรางออกมา “นี่เป็นเครื่องรางของข้าที่มอบให้กับสาวก หลักไป ถ้าหากมีสาวกคนไหนห่างจากสถานศึกษา เครื่องรางชิ้นนี้ก็จะจางหายไปเอง ผู้อาวุโสจี ท่านมีพลังวรยุทธที่ลึกล้ํา ท่านจะต้องตรวจสอบเวลาที่เครื่องรางเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นได้แน่”
ลู่โจวโบกแขนของตัวเอง หนึ่งในเครื่องรางได้ลอยเขาหาฝ่ามือเข้า มันเป็นความจริงที่เครื่อง รางมีร่องรอยอยู่เล็กน้อย บนเครื่องรางมีตราประทับที่แสนเรียบง่ายถูกประทับเอาไว้
“แล้วเจ้าล่ะ?” จู่โจวหันกลับไปมองเม้งหนานเฟยแทน
เม้งหนานเฟยสั่นไปทั้งตัว ดวงตาของเขาเบิกกว้างในขณะที่ตอบโต้ “ผู้อาวุโส ข้าพูดความจ ริง…ข้าเองก็ใช้วิธีการเดียวกัน แต่ว่า…”
สิ่งที่เม้งเฟยหนานพูดไม่น่าเชื่อถือมากพอ
บนยอดเขาใกล้ๆ กับมณฑลหยาน ในตอนนั้นเม้งเฟยหนานปฏิเสธที่จะตอบรับคําเชิญของลู่โจว เม้งเฟยหนานในตอนนั้นเลือกที่จะส่งสาวกไปที่ยอดเขาแทนลู่โจวในตอนนั้นจึงไม่มีทางเลือ กอื่น ตัวเขาได้ใช้การ์ดวิเศษเพื่อปลอมแปลงพลังข่มขู่
ในตอนนั้นเองฮัวจงหยางก็เริ่มพูด “ผู้อาวุโสจี ข้ามีอะไรบางอย่างที่จะต้องพูด!”
“ว่ามา”
“เมื่อสํานักอเวจีบุกโจมตีเมือง ในตอนนั้นข้าเห็นสาวกจากสถานศึกษาผืนฟ้าหลายคนรวมตัว กัน!” ฮั่วจงหยางรีบรายงาน
คําพูดของฮั่วจงหยางเป็นดั่งตะปูที่ตอกอยู่บนฝาโลงของเม้งหนานเฟย “เจ้า…เจ้าจะต้องเข้าใจผิดแล้วแน่!”
ฮั่วจงหยางถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “ข้าพอจะแยกแยะได้ว่าสาวกของสถานศึกษาผืนฟ้ากับทหารราชสํานักมันต่างกันยังไง”
กลุ่มหนึ่งเป็นผู้สวมใส่ชุดเกราะอีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธชุดขาว ฮัวจงหยางย่อมรู้ดี
ล่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นตัดสินใจได้แล้ว ตัวเขาเหลือบมองไปที่ฮั่วจงหยาง “สาวกของสํานักอเวจตายไปกี่คน?”
“พวกเรายังไม่สามารถระบุจํานวนได้อย่างแน่นอน แต่ก่อนจะเริ่มการต่อสู้ พวกเรามีสาวกกว่า 70,000 ตอนนี้พวกเราเหลือไม่ถึง 40,000 แล้ว…” ฮั่วจงหยางใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับไป
พรึบ!
ในตอนนั้นเองสาวกจากสํานักอเวจีกว่าหลายคนได้มายังทางเข้าของตําหนักต้าเฉิง ทุกคนเหลือบมองเม้งหนานเฟยด้วยดวงตาอันแดงก่า
ผู้นําทัพย่อยทั้ง 12 คนแห่งสํานักอเวจีได้คุกเข่าลงในทันที “เมื่อเจ้าสํานักของพวกเราไม่อยู่ผู้อาวุโสจีได้โปรดตัดสินใจแทนเราด้วย!”
สาวกจากสํานักอเวจีต่างก็พูดกันอย่างพร้อมเพรียง
“ได้โปรดตัดสินใจแทนด้วย ท่านผู้อาวุโส!”
“ได้โปรดตัดสินใจแทนด้วย ท่านผู้อาวุโส!”
เสียงของสาวกดังกังวานไปทั่วตําหนักตาเฉิง
“ทุกอย่างย่อมมีเหตุผลทุกความขับข้องใจต้องมีทางออก ทุกความแค้นต้องสะสาง
หลิวก่ตายไปแล้วไม่จําเป็นที่จะต้องพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
ลู่โจวมองไปที่เม้งหนานเฟย “แม้ว่าข้าจะให้อภัยเจ้า แต่เมื่อคํานึงถึงเลือดเนื้อของสาวกสํานักอเวจีที่เสียไป ข้าเองก็คงจะตัดสินใจไม่ได้”
หัวใจของเม้งเฟยหนานเต้นรัว “ผู้อาวุโส…ผู้อาวุโสจี…ข้าไม่มีทางเลือก…ข้าก็แค่ต้องรับใช้ผู้เป็นเจ้านายก็เท่านั้น!”
ลู่โจวไม่ได้สนใจคําแก้ตัว “ฮั่วจงหยาง”
“ครับ ท่านผู้อาวุโส”
“ในขณะที่ยู่เฉิงไห้ไม่อยู่ เจ้าจงรับผิดชอบเรื่องในสํานักอเวจีซะ….ข้าขอฝากเม้งหนานเฟยไว้กับเจ้าด้วย” ลู่โจวโบกแขนเสื้อหลังสั่งการ
เมื่อฮั่วจงหยางได้ฟังเช่นนั้น ตัวเขาก็ได้คุกเข่าลง “ขอบคุณผู้อาวุโสจี”
เมื่อได้ฟังคําพูดของลู่โจว ผู้นําทัพย่อยทั้งหมดต่างก็รู้สึกยินดี
ฮัวจงหยางเหลือบไปมองเม้งหนานเฟยแทน “มากับเราซะ”
เมื่อเม้งหนานเฟยไม่เคลื่อนไหว ฮั่วจงหยางก็เลือกที่จะลากเขาออกไปแทน ฮั่วจงหยางในตอนนี้บาดเจ็บตัวเขาเองก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะรับมือกับเม้งหนานเฟย
เม้งหนานเฟยสะดุ้ง
ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้ยกฝ่ามือขึ้น! เพียงแค่พลังอวตารดอกบัวห้ากลีบก็สูงมากพอที่จะถูกยอมรับให้กลายเป็นยอดฝีมือ
ตู้ม!
เม้งหนานเฟยไม่กล้าแม้แต่จะหลบหลีก ตัวเขากระเด็นกลับไปหลังจากที่ถูกโจมตีที่ริมฝีปากเต็มไปด้วยรอยเลือด
ลู่โจวไม่ได้สนใจอะไรเม้งหนานเฟย “ฮั่วจงหยาง ข้าจะอยู่ที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์อีกหลายวันเจ้าจะต้องเก็บกวาดเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ให้ได้…ในเมื่อข้ายังอยู่เจ้าก็อย่าได้เกรงกลัวอะไร”
ฮั่วจงหยางกังวลว่าสํานักอเวจจะมีปัญหาถ้าหากลูโจวจากไป ท้ายที่สุดแล้วทั้งเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์และสํานักอเวจีต่างก็สูญเสียด้วยกันทั้งคู่ แต่เป็นเพราะศาลาปีศาจลอยฟ้าเพราะแบบนั้นทุกอย่างจึงราบรื่น
ฮั่วจงหยางและสาวกจากสํานักอเวจีต่างก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก “ขอบคุณผู้อาวุโส!”
บนกําแพงเมืองของมณฑลเหลียง
หวางซื่อเจียมองไปยังชายผู้ใช้ดาบชุดเขียว “ท่านสอง ท่านกําลังคิดหาวิธีสังหารแม่ทัพคาร์รอลอยู่อย่างงั้นสินะ?”
ยู่ฉางตงตอบโดยที่ไม่หันหลังกลับมา “ไม่”
“แล้วท่านกําลังคิดอะไรอยู่กัน?”
“ข้าสงสัยว่าทําไมคาร์รอลถึงยังไม่โจมตี” ยู่ฉางตงตอบกลับมา
“เจ้านั่นคงจะกลัว”
“แทนที่จะตั้งรับอยู่เฉยๆ ทําไมพวกเราไม่คิดเริ่มโจมตีล่ะ?”
“ท่านสองท่านหมายความว่าอะไรกัน?” หวางซื่อเจียตกใจ
ในตอนนั้นเองใครคนหนึ่งได้บินมาหาทั้งคู่ “ท่านเจ้าเกาะ มีจดหมายมาจากท่านเจ็ด”
“เขียนว่าอะไร?”
“เจ้าสํานักยู่เฉิงไห่มีปัญหาแล้ว”