My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 579
ตอนที่ 579 ราคาที่ต้องจ่าย
ในขณะเดียวกันกองกําลังของสํานักอเวจีที่ประตูทางด้านใต้ เหนือ และตะวันตกต่างก็เริ่มการโจมตีเช่นกัน
ตุ้ม! ตู้ม! ตุ้ม!
ณ ท้องฟ้าเหนือประตูทางตะวันออก
ฮั่วจงหยางกําลังลอยอยู่ในอากาศ ในตอนนี้ตัวเขากําลังศึกษากําแพงเมือง ทันใดนั้นเองฮั่วจงหยางก็มองเห็นกระสุนขนาดใหญ่หลายร้อยลูกพุ่งตรงมา
“หยุดซะ!” ฮัวจงหยางได้ใช้พลังอวตารของตัวเองก่อนจะปล่อยคลื่นพลังงานอันมหาศาลออกมาพลังงานที่หลั่งไหลได้ขับไล่กระสุนหน้าไม้ทั้งหมดทิ้งไป
กระสุนหน้าไม้ทั้งหมดถูกทาลายในทันที เศษกระสุนที่ถูกทําลายตกลงสู่พื้น
เหล่าสาวกจากสํานักอเวจียังคงโจมตีอยู่บนภาคพื้นดินอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นเองก็มีผู้ฝึกยุทธผู้ใช้ธนู 5 คนบินขึ้นมาจากกําแพงเมืองทางทิศตะวันออก เหล่ามือธนูล้วนง่างสายธนูก่อนจะจู่โจมเหล่าสาวกจากสํานักอเวจีบนพื้น
พรึบ! พรึบ! พรึบ!
ลูกศรที่ถูกยิงแต่ละลูกได้จัดการสาวกไปทีละคน
ยอดมือธนูยังคงจู่โจมต่อไปอย่างไม่หยุดพัก ไม่นานนักพวกเขาก็ได้คร่าชีวิตของเหล่าสาวกสํานักอเวจีไป กว่าหลายสิบคน
บนรถม้าลอยฟ้า ยู่เฉิงไห่ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดขมวดคิ้ว
“นี่มันฝีมือของยอดมือธนูอย่างงั้นเหรอ?”
สําหรับยอดมือธนูแล้วการต่อสู้ที่เป็นฝ่ายตั้งป้องกันจะทําให้เหล่ามือธนูได้เปรียบมากยิ่งขึ้น
สีรู่หยายิ้มก่อนที่จะตอบกลับ “ถ้าหากยอดมือธนูถูกปล่อยตัวออกมาเร็วแบบนี้ แสดงว่าการป้องกันที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มีคงจะไม่ได้แข็งแกร่งอะไรแน่”
“เจ้าพูดมีเหตุผลศิษย์น้องผู้หลักแหลมของข้า”
ยู่เฉิงไห่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัวเขาเริ่มเห็นพี่น้องร่วมสํานักล้มลงบนพื้นมากยิ่งขึ้นแต่ยังไงซะนี่ก็คือสงครามไม่มีทางเลยที่สงครามจะไม่ก่อให้เกิดผู้บาดเจ็บล้มตายนี่คือสิ่งที่ยู่เฉิงไห่จะต้องจ่ายถ้าหากหยุดการต่อสู้เพื่อไว้อาลัยให้กับผู้จากไปในตอนนี้การทําแบบนั้นก็คงจะไม่ต่างอะไรกับการดูถูกพวกเขาสิ่งที่สําคัญที่สุดก็คือการพิชิตเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์…สานต่อเป้าหมายของทุกๆคน
“ข้าจะจัดการพวกเขาเอง” สีรู่หยากระโดดขึ้น พัดขนนกยูงได้ลอยออกจากมือก่อนที่จะเปล่งแสงระยิบระยับ
“ขนนกยูงรําพัน!” พัดขนนกยูงสลายหายไปกลายเป็นปีกที่อยู่ด้านหลังของสีคู่หยาแทนปีกคู่สีทองอันสง่างามค่อยๆคลี่ออกมาจากทางด้านหลังอย่างพร้อมเพรียงกัน สบู่หยาได้ลอยผ่านกําแพงเมืองไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้องไปกลัว!”
ยอดมือธนูทั้งห้ามองเห็นสีปูหยาดี ดวงตาของทุกคนเบิกกว้าง ในตอนนี้เป้าหมายของทุกคนก็คือสีรู่หยา
“ถอยเร็ว!”
ทหารรักษาการณ์กว่าหลายสิบคนที่คอยปกป้องยอดมือธนูทั้งหมดรีบเดินหน้ามา
สีรู่หยายิ้มออกมาอย่างเย็นชา “อวตาร!” พลังอวตารดอกบัวหกกลีบของสีคู่หยาขยายตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วที่ปีกคู่ของสีรู่หยาได้ปลดปล่อยเข็มพลังงานจํานวนมากใส่คู่ต่อสู้ทั้งห้าอย่างไม่หยุดพัก
“ป้องกันมันซะ!”
เข็มพลังงานทุกเล่มแหลมคมมาก
พรึบ! พรึบ! พรึบ!
เข็มพลังงานสีทองทกเล่มไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากหยาดน้ําแข็งอันแหลมคมในฤดูหนาว เข็มพลังงานได้เจาะทะลุร่างกายของทหารรักษาการณ์ผู้โชคร้ายกว่าหลายคน
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น!
เข็มพลังงานได้ปะทะเข้ากับยอดมือธนู
ยอดมือธนูทั้งหมดจ้องไปที่หน้าอกของตัวเอง หน้าอกของพวกเขาเปื้อนของเหลวสีแดงทุกคนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้เห็น ไม่นานนักยอดมือธนูทั้งหลายก็เริ่มล้มลง ดวงตาของทุกคนเต็มไปด้วยความตกใจ เข็มพลังงานจํานวนมากได้พุ่งทะลุหน้าอกอย่างหมดจดเข็มพลังงานที่พุ่งทะลุผ่านไปค่อยๆจางหายไปในอากาศ
ตับ!
ยอดมือธนูคนแล้วคนเล่าเริ่มล้มลง ไม่มีใครเลยที่สามารถหนีรอดจากการโจมตีได้
“ติ้ง! สังหารเป้าหมายสําเร็จ: 100 แต้มบุญ”
“อึ้ง! สังหารเป้าหมายสําเร็จ: 100 แต้มบุญ”
“ติ้ง! สังหารเป้าหมายสําเร็จ: 100 แต้มบุญ”
“ติ้ง! สังหารเป้าหมายสําเร็จ: 100 แต้มบุญ”
งหารเป้าหมายสําเร็จ: 100 แต้มบุญ”
ลูโจวลืมตาตื่นขึ้นมา ตัวเขาหยุดทําสมาธิก่อนที่จะเดินออกจากศาลาตะวันออกอย่างช้าๆ
ในตอนนั้นเองลูโจวก็เอ่ยปากขึ้นมา “ฮัวยู่จึง”
ฮัวยู่จึงกําลังฝึกฝนตัวเองอยู่ในศาลาตะวันตก เมื่อนางได้ยินเสียงเรียกของลู่โจวฮัวยู่จิงก็เลิกฝึกฝนตัวเองก่อนที่จะเดินทางมายังศาลาตะวันออกอย่างรวดเร็ว
“ท่านปรมาจารย์เรียกหาข้ามีอะไรให้รับใช้?” ยั่วยจิงที่กล่าวทักทายโค้งคํานับให้อย่างนอบน้อม
“ตอนนี้เจ้ามีพลังวรยุทธถึงขั้นไหนแล้ว?”
สีหน้าที่เต็มไปด้วยความสํานึกผิดได้เข้าปกคลุมใบหน้าของฮัวยู่จึง “ข้าได้ฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวสองกลีบแล้ว”
ลูโจวพลิกฝ่ามือของตัวเอง ในตอนนั้นกระจกทองคําไท่ซูก็ปรากฏขึ้น เมื่อกระจกทองคําดูดซับพลังลมปราณของลูโจวไปไม่นานนักมันก็เรืองแสงออกมาแสงที่ว่าได้ส่องไปยังฮั่วยจิงไม่นานนักภาพพลังอวตารของนางก็ปรากฏขึ้นเป็นอย่างที่ฮัวยู่จึงพูดเอาไว้ภาพที่ลูโจวได้เห็นคือพลังอวตารดอกบัวสองกลีบ
“ไม่เลว” ลูโจวพยักหน้าด้วยความยินดี
“ท่านปรมาจารย์หมายความว่ายังไงกัน?”
“มุ่งหน้าไปที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ซะ จําเอาไว้ว่าให้ความสําคัญกับความปลอดภัยของตัวเองก่อน”จู่โจวพูดออกมาอย่างเยือกเย็น
“ค่ะ ท่านปรมาจารย์!” ฮัวยู่จึงขานรับอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่ฮัวยู่จึงจะจากไป ในตอนนั้นเองฮั่ววูเดําก็ได้เข้ามาซะก่อน “ท่านปรมาจารย์ ข้ายินดีที่จะไปเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์กับยู่จึง”
ลูโจวไม่เห็นด้วยกับคําขอของฮั่ววูเดํา ตัวเขาได้ยกกระจกขึ้นก่อนที่จะส่องมันไปยังฮั่ววูเดําแทนไม่นานนักพลังอวตารของฮั่ววูเดําก็ถูกเผยให้เห็นมันเป็นพลังอวตารดอกบัวสี่กลีบหลังจากที่ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งลู่โจวก็พูดขึ้น“ฮั่ววูเดํา”
“ท่านปรมาจารย์โปรดสั่งการด้วย”
“เจ้าจงไปปกป้องฮัวยจิง จําเอาไว้ล่ะว่าความปลอดภัยสําคัญที่สุด อย่าให้การต่อสู้ที่นั่นทําให้พวกเจ้าเป็นอันตรายได้”
“ครับ ท่านปรมาจารย์!” ฮัวคู่เดําและฮัวยู่จิงโค้งคํานับให้อย่างพร้อมเพรียงกัน ทั้งสองคนได้หันหน้าก่อนจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจ “เจ้าพวกศิษย์ไม่รักดี”
ไม่นานนักผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น
ลูโจวหันไปมองผู้อาวุโสทั้งสามก่อนที่จะถามออกมา “พวกเจ้าเองก็คงจะอยากไปสินะ?”
ซยู่ขโค้งคํานับก่อนจะตอบกลับ “ถ้าหากท่านต้องการ ข้าก็จะไป”
ลู่โจวส่ายหัว “เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มีเขตแดนพลังทั้งสิบ แม้ว่าจะเป็นตัวข้า ข้าก็ยังไม่มั่นใจว่าจะทําลายเขตแดนพลังได้ ถ้าหากพวกเจ้าไปที่นั่น ก็คงไม่ต่างอะไรกับการส่งพวกเจ้าไปเผชิญหน้ากับความตายฮัวยู่จึงน่ะเป็นยอดมือธนู นอกเหนือจากนั้นนางยังมีธนูจันทรา ถ้าหากต่อสู้อยู่ที่ด้านนอกเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์โดยที่มีฮั่ววูเด่คอยป้องกัน ทั้งสองคนจะต้องปลอดภัยแน่อย่างน้อยๆ พวกเขาก็คงจะจัดการกับศัตรูได้ราวๆพันคน”
ผู้อาวุโสทั้งสามที่ได้ฟังเหตุผลต่างพยักหน้าเห็นด้วย ยังไงซะทุกคนก็แก่กันหมดแล้ว เมื่อคนชราอย่างทั้งสามต้องต่อสู้กับคนหนุ่มสามภายใต้เขตแดนพลังทั้งสิบคงจะไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากนี้เพราะตัวตนทําให้ ทั้งสามคนไม่สามารถต่อสู้อยู่ที่ด้านนอกเมืองได้ดังนั้นการที่ทั้งสามคนจะไปที่นั่นจึงไม่มีประโยชน์อะไร
ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับสํานักอเวจี ในตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะพิชิตเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้ไหม
ในตอนนั้นเองหอยสังข์และหยวนเอ๋อก็ได้เดินเข้ามา “ท่านอาจารย์
ลูโจวเหลือบไปมองสาวน้อยทั้งสอง “มีเรื่องอะไรกัน?”
หยวนเอ๋อพิมพ์ออกมา “ท่านอาจารย์ ข้าได้ยินเรื่องของศิษย์พี่ใหญ่จากศิษย์พี่สี่แล้ว ข้ารู้สึกสงสารศิษย์พี่ใหญ่ข้าควรจะไปช่วยเขาไหม?”
“พวกเจ้าฝึกฝนต่อไปจะดีกว่า”
“ข้ารู้ดีว่าท่านอาจารย์หมายถึงอะไร ถึงแม้ว่าเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มีเขตแดนพลังทั้งสิบปกป้องเอาไว้…แต่หอยสังข์สามารถทําอะไรกับมันได้!” หยวนเอ่อที่พูดจบได้หันไปมองหอยสังข์ “ใช่ไหมล่ะหอยสังข์?”
หอยสังข์พยักหน้าตอบรับ “อืม…ท่านอาจารย์ ข้าสามารถขอให้พวกสัตว์ร้ายช่วยได้”
ผู้อาวุโสทั้งสามรู้สึกมีความหวังมากยิ่งขึ้น อันที่จริงแล้วเหล่าสัตว์ร้ายทั้งหลายถือเป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยม
ลูโจวยกมือขึ้นมาก่อนที่จะใช้กระจกทองคําส่องไปทางหอยสังข์ ไม่นานนักพลังอวตารก็ได้ปรากฏขึ้น
“พลังอวตารฉะกาสามสาย!”
เมื่อได้เห็นพลังอวตารของหอยสังข์ ผู้อาวุโสทั้งสามก็ได้แต่ตกใจ
“สาวน้อยคนนี้มีพรสวรรค์ที่หายากจริงๆ !”
“ถ้าหากสาวน้อยมีพลังอวตารฉะกาสามสายแล้ว…แสดงว่าสาวน้อยคนนี้จะต้องมีพลังวรยุทธอยู่ในขั้นศักดิ์สิทธิ์แล้วแน่”
“สาวน้อยสามารถขึ้นสู่ขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ได้โดยตรงก่อนที่จะใช้เวลาห้าเดือนฝึกฝนตัวเองจนถึงขั้นมหาราชครูได้และในที่สุดนางก็ฝึกฝนตัวเองจนถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์ภายในเวลาหนึ่งเดือน!ข้าเริ่มไม่แน่ใจแล้วล่ะว่านางจะเป็นมนุษย์” ซูยู่ขู่แสดงความเห็น
เมื่อได้ยินแบบนั้นหอยสังข์ก็เดินถอยหลัง นางกลัวการจ้องมองของซูยู่ช
ล่โจวยังคงจําพลังอวตารดอกบัวสีแดงได้ดี ยังมีความลับมากมายเกี่ยวกับตัวตนที่หอยสังข์มี “พอได้แล้วล่ะ”
ทุกคนต่างก็โค้งคํานับให้
“หอยสังข์เป็นลูกศิษย์ข้า เป็นธรรมดาที่ข้าจะต้องปกป้องนาง นับตั้งแต่วันนี้ไปไม่ให้ใครเผยแพร่เรื่องของนางออกจากภูเขา ข้าจะพูดแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น” น้ําเสียงของลู่โจวแข็งกระด้างกว่าครั้งไหนๆ
ผู้อาวุโสทั้งสามต่างก็โค้งคํานับให้อย่างเชื่อฟัง “ครับ/ค่ะ ท่านปรมาจารย์!”
แม้จะโค้งคํานับอย่างเชื่อฟัง แต่ถึงแบบนั้นฝานลี่เทียนก็อดใช้ความคิดไม่ได้ เป็นไปได้ไหม…สาวน้อยคนนี้เป็นลูกสาวลับๆ ของท่านปรมาจารย์จริงๆ?
“ผู้อาวุโสฝาน เจ้ามีอะไรจะถามอย่างงั้นสินะ?” ลูโจวมองออกว่าฝานลี่เทียนกําลังคิดสงสัย