My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 557
ตอนที่ 557 เสียงสังหาร
หยวนเอ๋อก้าวออกมาข้างหน้า “ท่านอาจารย์…ได้โปรดอย่าดข้าเลย ข้าฝึกฝนอย่างหนักมาโดยตลอด”
นางไม่ได้เลือกที่จะบอกว่าตัวเองมีพลังอวตารดอกบัวกใบ นางเลือกที่จะแสดงพลังอวตารออกมาแทนพลังงานอันมหาศาลที่เสียดสีไปในอากาศได้สร้างเสียงที่คุ้นหูให้ดังขึ้นมาอีกครั้ง พลังอวตารของนางกำลังอยู่บนฝ่ามือเล็กๆ
ทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่ใต้เท้าของร่างอวตาร ที่ตรงนั้นมีดอกบัวทองคำอยู่ นั่นหมายความว่านางไม่ได้ตัดมัน หยวนเอ๋อมี…กลีบดอกบัวห้ากลีบ ทุกคนต่างพูดไม่ออก นางกังวลว่าจะถูกตำหนิ? ถ้าหากนางถูกตำหนิจริงทุกคนก็คงจะถูกลงโทษทุบตีจนตายไปหมดแล้ว กลีบดอกบัวทั้งห้าดูเหมือนจะจี้ใจดำของทุกคนได้เป็นอย่างดี
หยวนเอ๋อมองไปที่ผู้เป็นอาจารย์ก่อนที่จะรอคำตัดสิน
ลูโจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะชำเลืองมองนาง “เจ้าจะไม่ตัดดอกบัวทองคำสินะ?”
“มันเจ็บ”
ทุกๆ คนต่างก็พูดไม่ออก
ผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่มักจะอ้างว่าพลังวรยุทธที่มีต่ำต้อย ความสามารถที่มีไม่สูงมากพอ หรือแม้แต่กลัวที่จะตายจนไม่กล้าตัดดอกบัวทองคำ แต่สำหรับหยวนเอ่อแล้วเหตุผลของนางก็คือการกลัวเจ็บตัว
หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดแทรก “ศิษย์น้องเก้า ข้าทำให้เจ้าไม่เจ็บได้นะ…”
“หืม?”
“หลังจากที่เจ้าเรียกพลังอวตารออกมา ข้าก็ผลักเจ้าให้กระเด็นไป จากนั้นข้าก็จะฟันกลีบดอกบัวของเจ้าก่อนที่พลังอวตารของเจ้าจะหาย…” หมิงซี่หยินทำท่าทางเคลื่อนไหวในขณะที่พูด ตัวเขาที่เคลื่อนไหวได้ใช้มือทำท่าทางฟาดฟันออกมา “ด้วยวิธีนี้เจ้าก็จะไม่รู้สึกเจ็บปวดแน่”
เมื่อได้ยิบแบบนี้ หยวนเอ๋อก็รีบถอยกลับไปกับหอยสังข์ นางรีบส่ายหัวก่อนที่จะตอบกลับมา “ไม่”
“ศิษย์น้องเก้า เชื่อข้า…มันจะต้องไม่มีปัญหาแน่”
เมื่อจู่โจวเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กำลังกลัวจนวิ่งหนี ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดห้ามขึ้น “พอได้แล้ว”
หมิงหยินที่ได้ฟังแบบนั้นเงียบไปในทันที
จู่โจวลูบเคราของเขาก่อนจะพูดออกมา “ห้ากลีบ…มันเป็นความเร็วที่น่าทึ่งจริงๆ ถ้าหากเจ้าฝึกฝนจนมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบได้ เมื่อถึงตอนนั้นก็ยังไม่สายที่เจ้าจะตัดดอกบัวทองคำ”
“…” เมื่อได้ยินคำพูดของลู่โจว ในตอนนั้นเองหยวนเอ๋อก็คิดอะไรขึ้นมาได้ นางไม่เคยคิดที่จะพยายามฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบมาก่อน แม้ว่าศิษย์พี่สื่อย่างหมิงซูหยินจะน่ารำคาญ แต่คำพูดก่อนหน้านี้ของเขาก็ยังช่วยเตือนสติอะไรนางได้ แม้ว่าหยวนเอ๋อจะไม่ตัดดอกบัวทองคำ พลังวรยุทธที่นางมีมันก็ยังเพียงพอที่จะสร้างความประทับใจให้กับผู้อื่นได้อยู่ดี
เมื่อการประเมินของหยวนเอ๋อสิ้นสุดลง หลังจากนั้นทุกคนก็หันไปมองสาวกคนสุดท้าย สาวกคนที่สิบที่เพิ่ง จะเข้ามายังศาลาปีศาจลอยฟ้า ทุกคนต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอการประเมินของนาง ในศาลาปีศาจลอยฟ้า ทุกคน ต่างก็รู้ว่านางสามารถเข้าสู่ขั้นสังหรณ์หยั่งรู้โดยที่ไม่ต้องผ่านการฝึกฝนและยังสามารถฝึกฝนตัวเองจนไปสู่ขั้น สัมผัสแห่งการควบคุมได้โดยใช้เวลาเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้นเวลา 5 เดือนผ่านไปทุกคนต่างก็สงสัยถึงความ ก้าวหน้าครั้งใหม่ของนาง
“หอยสังข์ เจ้ามีอวตารแล้วสินะ?” ลูโจวถาม ในตำราการฝึกยุทธที่ตัวเขามอบให้กับนาง ภายในนั้นมีคำแนะนำการสร้างพลังอวตารอย่างละเอียดอยู่ ผู้ฝึกยุทธจะสามารถสร้างพลังอวตารได้ก็ต่อเมื่อคนคนนั้นฝึกฝนตัวเองจนสู่ขั้นสังหรณ์หยั่งรู้
หอยสังข์พยักหน้า “ข้าทำได้”
ทุกๆ คนไม่ได้แปลกใจเลย เป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้มีพรสวรรค์อย่างนางจะไม่สามารถสร้างอวตารได้ แม้แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์เพียงน้อยนิดก็ยังจะสร้างพลังอวตารได้ถ้าหากใช้ความพยายามมากพอ
“แสดงให้ข้าดูซะ”
“ค่ะ” หอยสังข์ยกมือขึ้นก่อนที่จะเรียกพลังอวตารออกมา พลังลมปราณในตัวของนางเริ่มพลุ่งพล่านก่อนที่มันจะเปล่งประกาย ไม่นานนักพลังอวตารสีทองก็ปรากฏตัวออกมา
สำหรับผู้ฝึกยุทธ รูปลักษณ์ของร่างอวตารจะเป็นสิ่งที่จำแนกระดับของร่างอวตารได้ดีที่สุด
เมื่อทุกคนมองเห็นพลังอวตารสีทองตัวเล็กๆ ทุกคนก็อุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “พลังอวตารเบญจจักรวาล?!”
พลังอวตารเบญจจักรวาลสอดคล้องกับพลังวรยุทธขั้นมหาราชครูนั่นเอง ในขั้นนี้ผู้ฝึกยุทธทุกคนจะต้องเชื่อมต่อเส้นพลังลมปราณทั้งแปดที่มีภายในร่างกายให้ได้ เมื่อผู้ฝึกยุทธคนใดมีพลังอวตารเบญจจักรวาลแล้ว นั่นก็หมายความว่าคนคนนั้นสามารถเชื่อมต่อเส้นพลังลมปราณทั้ง 5 ได้แล้วนั่นเอง!
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธหญิงจากวังจันทรา ฝานซง หรือแม้แต่โจวจี้เฟิง ทุกๆ คนต่างก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออกพรสวรรค์ของหยวนเอ๋อมันมีมากเกินกว่าที่ทุกคนจะเข้าใจได้แล้ว แต่ในตอนนี้หอยสังข์ยิ่งกว่า นางสามารถเชื่อมต่อเส้นพลังลมปราณทั้ง 5 ได้โดยใช้เวลาเพียงแค่ 5 เดือน พรสวรรค์ที่หอยสังข์มีจะต้องทำให้สำนักใหญ่ทุกสำนักจะต้องอิจฉาแน่ มีผู้ที่ใช้เวลากว่าหลายทศวรรษในการฝึกฝนไปสู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ ผู้ฝึกยุทธเหล่านั้นอาจจะต้องคิดทบทวนตัวเองใหม่อีกครั้ง
โจวจี้เพิ่งเคยภาคภูมิใจในความอัจฉริยะของตัวเองมาโดยตลอด ในตอนแรกตัวเขารู้สึกภาคภูมิใจที่มีคุณสมบัติพอจนเข้ามาอยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ โจวจี้เฟิงถือเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักดาบสวรรค์ เขาเป็นผู้ฝึกดาบที่มีพรสวรรค์ก็ว่าได้ ผู้ที่สามารถขึ้นสู่ขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ในวัยเท่าโจวอี้เฟิงได้ถือว่าเก่งกาจมากแล้วตัวเขาจำได้ว่าลูโจวเคยไปเยี่ยมเยียนครอบครัวเจียง และก็เพราะแบบนั้นจึงทำให้ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าสนใจที่จะรับโจวจี้เฟิง แต่ในตอนนี้โจวจี้เฟิงไม่ได้รู้สึกต่างอะไรกับขยะ ตัวเขาไม่สามารถเทียบเคียงได้กับศิษย์สาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าได้เลย
ลู่โจวเองก็ตกใจเช่นกัน ความเร็วในการฝึกยุทธของหอยสังข์ถือเป็นความเร็วที่น่าประทับใจเลยทีเดียวแม้ว่าจู่โจวจะมีประสบการณ์มากว่าพันปี แต่ตัวเขาก็ไม่เคยเห็นใครฝึกฝนตัวเองด้วยความเร็วเช่นนี้มาก่อน จู่โจวเดินมาที่ด้านหน้าหอยสังข์ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ยื่นมือของเจ้าออกมาสิ”
หอยสังข์ดูเหมือนจะคาดการณ์เอาไว้แล้ว นางขานรับก่อนที่จะยกแขนเสื้อและยื่นมือออกมา
ลูโจวได้วางนิ้วทั้งสองนิ้วไว้บนแขนของนาง ครูต่อมาตัวเขาก็ถอนมือออก
หอยสังข์ที่เห็นแบบนั้นได้ถามออกมา “ท่านอาจารย์…ข้ายังสบายดีสินะ?”
“เจ้าฝึกฝนตัวเองจนถึงขั้นมหาราชครูแล้ว”
ศาลาตะวันออกกลับมาเงียบราวกับสสาน
อัจฉริยะคืออะไรกันแน่?
มีหลายตำราที่ว่าไว้ว่าพรแสวงสามารถเอาชนะพรสวรรค์ได้ บางตำราก็บอกเอาไว้ว่าพรสวรรค์คือผู้ที่มีความสามารถอันโดดเด่นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง บางทีสิ่งที่หอยสังข์มีอาจจะไม่ใช่พรสวรรค์ นางอาจจะมีคุณสมบัติอะไรบางอย่างที่เกินกว่าความเข้าใจของทุกคนได้ บางทีมันอาจจะเป็นสถานะ “หลับใหล อย่างที่หมิงหยินบอกบางทีนางอาจจะรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว เพียงแต่ว่านางอาจจะลืมมันไปก็เท่านั้น ในตอนนี้การปลุกโดยการฝึกยุทธทำให้ความรู้และความสามารถที่ซ่อนอยู่ของนางตื่นขึ้น เมื่อจู่โจวคิดเรื่องนี้ ในตอนนั้นก็มีอะไรบางอย่างกวนใจของตัวเขา ยิ่งตัวเขาทำความเข้าใจหอยสังข์มากเท่าไหร่ ลูโจวก็จะเชื่อมั่นสิ่งที่ตัวเองคิดมากขึ้นเท่านั้น
ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่คนจะมีพรสวรรค์ในการใช้ท่วงทำนองเพลงหรือฝึกฝนตัวเองไปสู่ขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ได้โดยตรงตั้งแต่เกิด ถ้าหากคนคนนั้นไม่มีความรู้เลย คนคนนั้นจะเรียบเรียงตัวโน้ตให้เป็นเพลงได้ยังไงกัน?
ในท้ายที่สุดก็พูดออกมา “เจ้าอย่าได้ภูมิใจที่ตัวเองมีพรสวรรค์จนมากเกินไป จงฝึกฝนต่อไปอย่าให้ขาด”
“ขอบคุณท่านอาจารย์” หอยสังข์พยักหน้ายอมรับอย่างมีความสุข
“ยินดีด้วยศิษย์น้องเล็ก” ทุกๆ คนต่างก็แสดงความยินดีให้กับนาง
สาวกของลูโจวสามารถพัฒนาตัวเองจนเพิ่มขึ้นอย่างมากในเวลาห้าเดือนที่ผ่านมานี้
ลูโจวเหลือบมองไปบนท้องฟ้า ในตอนนั้นเองคำพูดของหลิวเก้อก็ได้ปรากฏขึ้นมา ถ้าหากพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจะทำให้เกิดหายนะจริง แล้วโลกยุทธภพจะต้านทานกับหายนะได้ยังไงกัน?
ตอนนี้สุดยอดฝีมือผู้ลึกลับอยู่ที่ไหนกันแน่? ชายคนนั้นได้ขี่โลงศพมาที่ดินแดนแห่งนี้เมื่อ 300 ปีก่อน เขาได้มาจากดินแดนทางตอนเหนือ ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เลือกที่จะเดินทางไปยังดินแดนอื่นก่อนที่จะทิ้งดาบแห่งความเงียบ อักษรโบราณ รวมไปถึงโลงศพเอาไว้ ถ้าหากผู้ฝึกยุทธคนนั้นเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบที่แท้จริง ชายคนนั้นจะยังมีชีวิตยืนยาวจนมาถึงตอนนี้ได้ไหม?
“หอยสังข์ เอาขลุ่ยหยกหลานเทียนออกมา”
“ค่ะ”
“เล่นเพลงที่เจ้าคุ้นเคยที่สุด”
หอยสังข์พยักหน้าก่อนที่จะเอาขลุ่ยทาบกับริมฝีปาก
ในตอนนั้นเองเสียงเพลงจากขลุ่ยก็เริ่มดังขึ้น
ไม่มีใครรู้ถึงเจตนาของลู่โจว ทุกคนต่างก็จ้องมองหอยสังข์ด้วยความสงสัย แต่เมื่อทุกคนได้ฟังเสียงดนตรีในตอนนั้นเองทุกคนก็เหลือบมองไปยังด้านนอกของศาลาตะวันออก
“จงใช้สมาธิควบคุมเสียงขลุ่ยของเจ้าให้ดี”
การจะเป่าขลุ่ยให้ดีผู้เป่าจะต้องมีทักษะในการเป่า นั่นเป็นวิถีทางธรรมดาทั่วไป แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธแล้วทุกคนจะสามารถใช้พลังลมปราณเพื่อควบคุมเสียงดนตรีได้
หอยสังข์ได้โคจรพลังลมปราณของนาง ในตอนนั้นเองเสียงของขลุ่ยหยกหลานเทียนก็ได้เปลี่ยนแปลงไปมันฟังดูชัดเจนและไพเราะมากยิ่งขึ้น เสียงที่ดังขึ้นได้แพร่ไปไกลมากขึ้นเช่นกัน
นกในป่าทั้งหลายต่างก็โบยบิน
“นั่นมันจี้เหลียง”
ที่ใจกลางของป่าไม่ใกล้ไม่ไกลมากนัก จี้เหลียงได้บินขึ้นก่อนที่จะวนไปวนมาอยู่รอบๆ หมู่เมฆ ดูเหมือนว่ามันจะตอบสนองต่อเสียงขลุ่ย
“สัตว์ร้ายตัวอื่นกลัวเกินกว่าที่จะสู้กับจี้เหลียงได้สินะ” ลูโจวเองก็สังเกตเห็นขี้เหลียงเช่นกัน ตัวเขายังไม่รู้ว่าจี้เหลียงมีความสามารถอะไรบ้าง ในตอนนี้ลูโจวรู้แต่เพียงจี้เหลียงสามารถบินได้เท่านั้น ตัวเขาตัดสินใจเหลือบมองไปยังหอยสังข์แทน ดูเหมือนว่านางกำลังจะเชี่ยวชาญการใช้เสียงดนตรีจนใกล้ที่จะสมบูรณ์เต็มที่แล้ว “ควบคุมพลังลมปราณของเจ้าให้กลายเป็นพลัง เมื่อทำแบบนั้นได้เสียงดนตรีที่เจ้าเป็นคนสร้างก็จะแปรเปลี่ยนกลายเป็นพลังได้”
สำหรับผู้ฝึกยุทธทั่วๆ ไป พลังลมปราณมักจะถูกควบแน่นจนกลายเป็นพลังงานก่อนที่จะปลดปล่อยพลังงานนั้นออกมาจากร่างกายของพวกเขา แต่สำหรับผู้ใช้เสียงดนตรี คนคนนั้นจะต้องดัดแปลงพลังที่เกี่ยวข้องกับเสียงเพลงในอีกขั้นหนึ่ง ด้วยการผสานเสียงเพลงเข้ากับพลังลมปราณและพลังงาน เมื่อนั้นผู้ใช้เสียงเพลงก็จะสามารถใช้เสียงเพลงเพื่อการต่อสู้ได้
หอยสังข์ที่ได้ฟังคำพูดของลู่โจวได้พยักหน้า นางพยายามที่จะผสานพลังลมปราณที่นางมีควบคู่ไปกับเสียงเพลง