My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 545
ตอนที่ 545 การต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือ
ติดตามข่าวสารได้ที่เพจผู้แปล FB: ND Translate นิยายแปลไทย
บนท้องฟ้าเหนือศาลาปีศาจลอยฟ้า พลังแสงสีฟ้าที่ออกมาจากตัวของลูโจวไม่ได้ต่างอะไรจากท้องฟ้าสีครามมากนัก
“ฝ่าบาท!” ชู่เฉิงและกู่ยี่หรานต่างก็ร้องเรียกหลิวเก้อในขณะที่พวกเขาพยายามตั้งหลัก ทั้งคู่ต้องพยายามพลิกร่างกายไปตามแรงกระแทกเพื่อที่จะลดความเสียหายที่ได้รับแต่ถึงจะทําแบบนั้น ร่างกายของพวกเขาก็ได้รับความเสียหายอยู่ดี แขนและขาของทั้งสองคนต่างก็ชาจากแรงกระแทกทั้งคู่ตั้งหลักใหม่ด้วยความยากลําบากก่อนที่จะพยุงตัวของหลิวเก้อได้ในที่สุด
ในที่สุดทั้งสามคนก็สามารถตั้งหลักได้อีกครั้ง ทุกคนต่างก็เหลือบมองไปยังจู่โจวที่ยังคงนั่งทําสมาธิพร้อมกับหลับตาอยู่เช่นเคย ตัวเขาดูสงบและเยือกเย็น ความสงบที่ลูโจวมีได้ทําให้บรรยากาศที่มียิ่งแปลกประหลาดมากยิ่งขึ้น!
หมิงซี่หยินบินขึ้นไปบนศาลาปีศาจลอยฟ้าก่อนที่จะทําลายความสงบ “เฮ้ ช่างเป็นตาแก่สามคนที่ไร้ยางอายไม่มีใครเทียบได้จริงๆ ! เจ้าไม่สามารถเอาชนะท่านอาจารย์ได้แม้กระทั่งในตอนที่ตัวเขาหลับใหล! พวกเจ้าไม่ละอายแก่ใจกันบ้างเหรอไงกัน?”
หลิวเก้อยกมือขึ้นมาก่อนที่จะพยายามโคจรพลังลมปราณเพื่อให้เลือดลมไหลเวียนสงบอีกครั้ง
ชู่เฉิงและกู่ยี่หรานเหลือบมองไปที่ลูโจว ลู่โจวไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
“ฝ่าบาทเป็นยังไงบ้าง?” ชู่เฉิงถาม
“ข้าไม่เป็นไร” พลังลมปราณและเลือดลมที่พลุ่งพล่านของหลิวเก้อค่อยๆ สงบลง
ทั้งสามคนไม่แม้แต่จะสนใจหมิงซี่หยิน สําหรับพวกเขาศิษย์สาวกที่มีพลังอวตารดอกบัวสี่ถึงห้ากลีบไม่ควรค่าแก่ความสนใจ
“เดินหน้าต่อซะ” ดวงตาของหลิวเก้อยังคงเปล่งประกายไปด้วยความมุ่งมั่น
ในความเป็นจริงทั้งขู่เฉิงและกูหรานต่างก็อยากจะคิดล่าถอยกันหมดแล้ว แม้แต่อาวุธระดับสรวงสวรรค์ขั้นสุดยอดอย่างดาบแห่งความเงียบก็ยังไม่อาจเจาะทะลุพลังงานอันแปลกประหลาดได้ แล้วจะมีประโยชน์อะไรกันถ้าหากพวกเขาเดินหน้าต่อสู้ต่อ การต่อสู้ที่นี่มันแตกต่างจากการต่อสู้จากในสนามรบในสนามรบมันเต็มไปด้วยจิตสังหารและพลังจากการเข่นฆ่า แต่การต่อสู้ที่นี่มันมีไว้เพื่ออะไร? แต่ไม่ว่าจะยังไงทุกคนก็มีบทบาทของตัวเอง เมื่อผู้เป็นเจ้านายออกคําสั่งในฐานะที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองคนมีแต่จะต้องเชื่อฟังเท่านั้น
หลิวเก้อชี้ไปยังแสงสีฟ้าของลูโจวก่อนที่จะพูดออกมา “ดูนั่นให้ดี”
ซู่เฉิงและกู่ยี่หรานต่างก็เบิกตากว้างก่อนที่จะจ้องมองไปที่แสง
“ข้าเห็นแล้ว…พลังสีฟ้านั่นกําลังหดตัวลง”
นี่คือเหตุผลที่ทําให้หลิวเก้อกล้าเดินหน้าลุยต่อ ตัวเขาสังเกตเห็นพลังงานสีฟ้ารอบตัวของลู่โจวอ่อนตัวลงหลังจากที่ถูกการโจมตี
“ข้ายินดีที่จะเป็นแนวหน้าให้เอง”
“ข้าเองก็เช่นกัน”
แม่ทัพทั้งสองพยายามแสดงความภักดีออกมา
หลิวเก้อเริ่มสะบัดฝ่ามือของตัวเอง ในตอนนั้นดาบแห่งความเงียบที่ตกใส่ม่านพลังก็บินกลับมาหาฝ่ามือของหลิวเก้อ ลวดลายสีแดงที่เคยจางหายไปบัดนี้ได้กลับมาส่องสว่างอีกครั้ง “ดี…นี่มันก็นานแล้วสินะที่ข้าไม่ได้ต่อสู้เคียงข้างกับพวกเจ้า”
ผู้อาวุโสทั้งสี่ของศาลาปีศาจลอยฟ้าต่างก็บินขึ้นไปบนยอดศาลา ทุกคนต่างก็ยืนเรียงกันเป็นแถวเพื่อจ้องมองการต่อสู้ การมีอยู่ของอาวุธระดับสรวงสวรรค์ขั้นสุดยอดเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคน ในช่วงเวลาอันสําคัญแบบนี้ไม่มีผู้อาวุโสคนไหนสามารถช่วยอะไรได้อีกต่อไป จากประสบการณ์ที่ผู้อาวุโสทุกคนมีทําให้ทุกคนรู้สถานการณ์ดีในตอนนี้การเคลื่อนไหวโดยประมาทไม่ได้ต่างอะไรกับการเอาชีวิตไปทิ้งโดยเปล่าประโยชน์
“เจ้าจะต้องผ่านข้าไปให้ได้ก่อน!” หวางซื่อเจียเริ่มเคลื่อนไหว ที่ร่างกายของเขามันเต็มไปด้วย พลังลมปราณไม่นานนักหวางชื่อเจียก็บินกลับขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง
“หวางชื่อเจีย…ในเมื่อเจ้าต้องการที่จะตาย ข้าก็จะเติมเต็มความปรารถนาเจ้าเอง” กู่ยี่หรานที่พูดเสร็จได้หันไปมองหลิวเก้อและชู่เฉิง ทั้งสามคนต่างก็ส่งสายตาให้กัน
“การต่อสู้ระหว่างเรามันยังไม่จบ!” หวางซื่อเจียเคลื่อนไหวฝ่ามืออย่างรวดเร็ว ไม่นานนักพลังงานรูปร่มก็เริ่มปรากฏขึ้น พลังงานรูปร่างร่มได้ยิงเข็มพลังงานนับพันออกมา
“ใครจะไปตอบแทนน้ําใจของเจ้าเกาะหวางได้กัน?” ฝานลี่เทียนที่เห็นการต่อสู้เอ่ยปากขึ้น
“ก็เป็นเพราะท่านปรมาจารย์ของพวกเรายกเกาะเพิ่งไหลทั้งเกาะด้วยฝ่ามือเพียงข้างเดียวมา แล้วเป็นเพราะแบบนั้นหวางซื่อเจียเลยต้องตอบแทนบุญคุณ”
ทุกๆ คนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย หวางซื่อเจียถือเป็นยอดฝีมือผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบมันไม่ใช่ปัญหาเลยที่เขาจะรับมือกับกู่ยี่หรานแต่เพียงผู้เดียว แต่ในตอนนี้ตัวเขาจะต้องรับมือกับชู่เฉิงและหลิวเก้อ ลําพังหวางซื่อเจียเพียงคนเดียวจะไปทําอะไรได้?
ชู่เฉิงเป็นผู้ที่นําหน้ามา ในตอนนี้ตัวเขาได้อยู่ต่อหน้าลูโจวแล้ว ชูเฉิงไม่รอช้าใช้พลังเครื่องรางอันเข้มข้นจู่โจมเข้าใส่ลูโจวอย่างไม่ปรานี
“เครื่องรางขงจื้อ!” ซูยู่ชูที่เห็นเครื่องรางส่ายหัว “เป็นไปตามคาดจริงๆ เจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่น เขาจงใจที่จะใช้เครื่องรางระดับต่ําในการต่อสู้กับข้าพี่ใหญ่จะทํายังไง?”
“ช่างน่ารังเกียจ!”
“เจ้าแก่ไร้ยางอายนั่น!”
“ชั้นต่ํา!”
ฮั๊ววูเดําหันไปมองหมิงซี่หยินที่เป็นผู้พูดคนสุดท้าย “แล้วชั้นต่ําเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงกัน?”
“เรื่องนั้นมันไม่สําคัญหรอก ด่าพวกมันต่อไปเถอะ” หมิงหยินยังคงจับจ้องไปที่ขู่เฉิง
ตุ๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
เครื่องรางได้ตกลงใส่ลูโจว แต่ไม่ทันที่พลังของเครื่องรางจะแสดงออกมา พลังงานแสงสีฟ้ารอบๆ ตัวเขาก็ได้กําจัดเครื่องรางไปซะก่อน
ชู่เฉิงยังคงใช้พลังฝ่ามือและเครื่องรางจู่โจมลูโจวต่อเป็นเวลากว่า 15 นาทีด้วยกัน
ตู๊ม!
แม้ว่าจะใช้การโจมตีมากมายแค่ไหนแต่พลังสีฟ้ารอบตัวลู่โจวก็กําจัดพลังทั้งหมดได้
ชู่เฉิงถอยหลังกลับมา ตัวเขาได้ถอยหลังกลับมากว่า 100 เมตร ในตอนนี้ชู่เฉิงเริ่มรู้สึกกลัว “ถ้าหากผู้อาวุโสจียังหมดสติยังเก่งกาจขนาดนี้? แล้วพวกเราจะต่อสู้กับผู้อาวุโสจีในยามที่เขาตื่นได้ยังไง?
“ฝ่าบาท พลังงานสีฟ้าเริ่มลดลงอีกแล้ว” แม้ว่าชู่เฉิงจะถอยกลับมา แต่การโจมตีของเขาในก่อนหน้านี้ก็ยังได้ผล
หลิวเก้อพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ดาบแห่งความเงียบในมือของเขาสั่นเครือเล็กน้อย หลิวเก้อหันมาเฝ้าดูการต่อสู้ระหว่างคู่ยี่หรานและหวางซื่อเจีย ทั้งสองฝ่ายกําลังต่อสู้กันในขณะที่ถอย ห่างออกไปมากยิ่งขึ้น การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายนั้นทัดเทียมกัน มันเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าฝ่ายไหนจะคว้าชัย
ชู่เฉิงพูดออกมาอย่างไม่พอใจ “ไม่จําเป็นจะต้องห่วงเรื่องแม่ทัพกู้ไปฝ่าบาท แม่ทัพคู่กับข้าต่างก็เป็นชาวลัทธิขงจื้อ คู่ยี่หรานเป็นผู้ที่จะต่อสู้ได้อย่างอาจหาญในทุกๆ ครั้ง ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องเอาชนะหวางซื่อเจียได้ในไม่ช้า”
“ดี” หลิวเก้อตอบกลับ หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้ยกดาบขึ้น ลวดลายสีแดงได้เรืองแสงเจิดจ้าอีกครั้ง
ชู่เฉิงยังคงประสานฝ่ามือตัวเอง ตัวเขาคิดที่จะใช้เครื่องรางจู่โจมอีกครั้ง “ข้าเองก็จะสู้เคียง ข้างท่านฝ่าบาท”
สีหน้าของผู้อาวุโสทั้งสี่แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าเริ่มเปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่ได้เห็นภาพการต่อสู้นี้
“พลังป้องกันของท่านปรมาจารย์ดูอ่อนแอลงแล้ว”
“ชู่เฉิงและหลิวเก้อคงจะร่วมมือกันกําจัดพลังพวกนั้นเจ้าพวกนี้น่ารังเกียจซะจริง”
“ต้องทําอะไรสักอย่างเพื่อดึงดูดความสนใจของเจ้าพวกนั้น”
เมื่อคิดได้แบบนั้นผู้อาวุโสทั้งสี่ก็ได้แต่สบตากัน
ชู่เฉิงและหลิวเก้อพยายามที่จะโคจรพลังลมปราณก่อนที่จะมุ่งหน้าบินไปหาลู่โจว
เครื่องรางจํานวนนับไม่ถ้วนได้ล้อมรอบทั้งสามคนเอาไว้
ชู่เฉิงต้องการที่จะลดพลังการป้องกันของลู่โจวให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะสร้างช่องว่างให้กับหลิวเก้อได้โจมตี
ในตอนที่เครื่องรางทั้งหลายกําลังจะถาโถมเข้าใส่สู่โจว
ซู่ววว!
ที่ด้านหลังหน้าผาของศาลาตะวันออก มีใครบางคนที่แต่งกายด้วยชุดสีขาวราวกับหิมะได้ปรากฏตัวขึ้น
ผู้ฝึกยุทธคนนี้ได้มาพร้อมกับพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ!
ตู๊ม!
คลื่นพลังลมปราณมหาศาลได้กระเพื่อมออกมาจากอวตารที่สูงกว่า 100 ฟุต พลังลมปราณเหล่านั้นได้ทําลายเครื่องรางทั้งหมดที่มี เครื่องรางทั้งหลายร่วงหล่นสู่พื้น
ชูเฉิงไม่ทันได้ระวังตัว ตัวเขาที่ถูกคลื่นกระแทกกระเด็นถอยไป ชู่เฉิงในตอนนี้ได้รับบาดเจ็บจากพลังป้องกันของลูโจวมาก่อน ด้วยเหตุนี้ตัวเขาจึงได้รับบาดเจ็บมากยิ่งขึ้น ชู่เฉิงที่กระเด็นกระอักเลือดออกมาเต็มปาก
“นี่มันฝีมือใครกัน?” หลิวเก้อหันไปมองก่อนที่จะใช้พลังฝ่ามือ หลิวเก้อได้ใช้พลังฝ่ามือเพื่อช่วยเหลือชู่เฉิงเอาไว้นั่นเอง
พลังอวตารหญิงที่สูงกว่า 100 เมตรตั้งตระหง่านอยู่ต่อหน้าลู่โจว ภายใต้แสงสีทองอันเหลืองอร่าม กลีบดอกบัวทั้งแปดกลีบกําลังหมุนรอบดอกบัวอย่างช้าๆ ที่ใกล้ๆ กับร่างอวตารมีหญิงสาวสวมชุดขาวยืนอยู่ คนคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น นางก็คือยี่เทียนซินนั่นเอง
“ศิษย์น้องหก?” หมิงซูหยินอุทานออกมาด้วยความตกใจ
ผู้อาวุโสทั้งสี่เองก็ตกใจเช่นกัน
“นี่คือลูกศิษย์คนที่หกของศาลาปีศาจลอยฟ้า ยี่เทียนซินอย่างงั้นเหรอ?”
“ศิษย์พี่หก…มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ!” น้ําเสียงของซูฮ่องกงฟังดูไม่อยากจะเชื่อ
ในขณะเดียวกันกลุ่มผู้ฝึกยุทธหญิงก็ได้มารวมตัวกัน พวกนางได้ตั้งแถวสี่เหลี่ยมก่อนที่จะพูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “ยินดีต้อนรับกลับ ท่านเจ้าวัง!”
ผู้ฝึกยุทธหญิงทุกคนต่างก็เคยเป็นสาวกหญิงของวังจันทรามาก่อน พวกนางต่างก็นับถือยี่เทียนซินให้เป็นประมุขของพวกนางตอนนี้ยเทียนซินกลับมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าในฐานะผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ พวกนางแทบที่จะสงบสติอารมณ์ไม่ได้เลย พวกนางจ้องมองไปที่นี่ เทียนซินด้วยน้ําตาที่เอ่อนอง ประมุขของทุกคนบัดนี้ได้กลับมาแล้ว
ยี่เทียนซินไม่ได้ตอบโต้อะไรพวกนาง ในตอนนี้ยเทียนซินรู้ว่ามีเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องจัดการก่อน
จากการสนทนารอบข้าง หลิวเก้อก็รู้ได้ทันทีว่าใครคือแม่นางชุดขาว “ข้าประเมินพี่จีต่ําไปจริงๆ ใครจะไปคิดกันว่าเขาจะมีลูกศิษย์ที่มีฝีมือเช่นนี้ ยี่เทียนซินผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ?” ในน้ําเสียงของหลิวเก้อมีทั้งความตื่นตกใจ ความสงสัย และไม่อยากจะเชื่อปะปนอยู่
ยี่เทียนซินเงยหน้ามองทุกคนด้วยท่าทีที่เย็นชา “เจ้าพวกผู้บุกรุก มีเพียงชะตากรรมที่เลวร้ายกว่าความตายเท่านั้นที่จะรอคอยพวกเจ้าอยู่!” เทียนซินเพิ่งจะกลายเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ คลื่นเสียงของนางที่ปล่อยออกมามีพลังจากเคล็ดวิชาคลื่นนภาของปะปนอยู่ คลื่นเสียงของนางกําลังมุ่งหน้าหาผู้บุกรุกไม่ได้แตกต่างอะไรจากจากคลื่นยักษ์อันเกรี้ยวกราด
หลิวเก้อได้ใช้มือทั้งสองข้างจับดาบแห่งความเงียบเอาไว้ ตัวเขาได้ก้าวไปข้างหน้าก่อนที่จะใช้ดาบในมือผ่าคลื่นเสียง
ชู่เฉิงที่กระเด็นไปได้ระเบิดพลังลมปราณออกมาเช่นกัน “เจ้าเองก็อยากที่จะตายสินะ…”