My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 539
ตอนที่ 539 ข้าไม่มีเวลาจะมาคุยกับเจ้า
ติดตามข่าวสารได้ที่เพจผู้แปล FB: ND Translate นิยายแปลไทย
เสียงสั่งการของอดีตจักรพรรดิได้ดังถึงหูของซู่เฉิงที่อยู่ด้านนอก ขู่เฉิงจะต้องต่อสู้กับเลือดลมที่กำลังพลุ่งพล่านของตนในขณะที่นอนอยู่บนพื้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด พลังฝ่ามือเพียงแค่ครั้งเดียวทำให้ชูเฉิงไม่อาจเคลื่อนไหวได้เป็นเวลานาน ความแตกต่างของพลังฝ่ามือมันมีมากเกินไป! เมื่ออยู่ต่อหน้าปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าชูเฉิงก็ไร้ซึ่งพลัง ตัวเขาจะต้องอดทนเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ก่อนที่จะลุกขึ้นและกลับไปยังห้องโถงใหญ่อีกครั้ง
หลิวเก้อมองไปที่ขู่เฉิง
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ ขู่เฉิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากต้องคุกเข่าต่อหน้าหอยสังข์
เมื่อหอยสังข์เห็นแบบนั้นนางดูสับสนก่อนที่จะไปซ่อนตัวอยู่ที่ด้านหลังหมิงซูหยิน
หมิงหยินหันไปพูดกับสาวน้อย “โอ้ เจ้าก็รู้สึกกลัวเหมือนกันสินะ? หอยสังข์”
“ข้าไม่ได้กลัว” หอยสังข์ตอบกลับ
“ถ้าหากเจ้าเป็นศิษย์น้องเก้า นางก็คงจะเตะเจ้านั่นไปแล้ว เจ้าน่ะยังขาดความกล้าหาญอีกนะ” หมิงหยินพูดต่อ
ในแง่ของการเป็นเด็กสาวที่สนุกสนานกับการทรมานผู้อื่น ทั้งหอยสังข์และหยวนเอ๋อต่างก็อยู่ในระดับเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตามหอยสังข์ยังดูกล้าหาญน้อยกว่าเมื่อเทียบกับหยวนเอ๋อ
ก่อนที่หอยสังข์จะตอบอะไร สู่โจวก็ได้โบกมือก่อนจะพูดขึ้นซะก่อน “ที่นี่คือศาลาปีศาจลอยฟ้า ไม่ใช่พระราชวัง เจ้าไม่ควรจะเอาวิถีชาววังมาใช้กับพวกเรา”
หลิวเก้อพยักหน้าเห็นด้วย “ชูเฉิง ขอบคุณพี่จีเร็วเข้า”
ซูเฉิงรีบหันไปหาลูโจว “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ยั้งมือ”
หมิงซี่หยินกลอกตาก่อนจะพูดตอบ “ถ้าหากเจ้าเชื่อฟังข้า เจ้าก็คงจะไม่น่าอนาถเหมือนกับในตอนนี้หรอก”
“ท่านสี่ ท่านพูดถูกต้องแล้วล่ะ” ใบหน้าของอู่เฉิงแดงก่ำ มันเป็นดังสุภาษิตที่ว่า “ตีสุนัขให้ดูเจ้าของ
แน่นอนว่าคำพูดนี้ใช้กับลูโจวไม่ได้ ตัวเขาไม่ได้คิดถึงหลิวเก้อเลย สู่โจวที่สั่งสอนบทเรียนให้ฟูเฉิงเป็นเหมือนเพียงการเย้ยหยันหลิวเก้อก็เท่านั้น
“พี่จี ทำไมท่านถึงต้องโกรธด้วย” หลิวเก้อถาม
“ข้าไม่มีเวลาให้กับเจ้า” ลูโจวมองหอยสังข์ก่อนที่จะกวักมือเรียกนาง
หอยสังข์เดินไปหาลูโจวอย่างเชื่อฟัง
ลูโจวรีบตรวจชีพจรของนางก่อนจะเบิกตากว้าง “ขั้นสัมผัสแห่งการควบคุม?”
“ท่านอาจารย์ ข้ามีพลังขั้นสัมผัสแห่งการควบคุมแล้วอย่างงั้นเหรอ?”
แม้ว่ามันจะไม่น่าเชื่อก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นมันก็เป็นความจริง จู่โจวพยักหน้าก่อนจะตอบกลับไป “ถูกต้อง เจ้าฝึกฝนตัวเองอยู่ขั้นสัมผัสแห่งการควบคุมไปแล้ว”
หอยสังข์ดูยินดี
ลูโจวยังคงถามออกไป “แต่ใครสอนเจ้าให้ควบคุมพลังลมปราณด้วยเสียงกัน?”
หมิงซี่หยินพูดต่อ “ท่านอาจารย์ ข้าไม่ได้สอนนางอาจจะเป็นศิษย์น้องแปดก็ได้” ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการโยนความผิดออกจากตัว
“ท่านอาจารย์ ข้าเรียนรู้มันด้วยตัวเอง” หอยสังข์ตอบกลับ
ทั้งขู่เฉิงและกู่ยี่หรานต่างก็ตกตะลึง
ในตอนแรกขู่เฉิงคิดว่าหอยสังข์เป็นยอดฝีมือที่ปกปิดพลังวรยุทธที่มีมาโดยตลอด แต่ในตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้น สาวน้อยคนนี้จะต้องเป็นผู้ฝึกยุทธมือใหม่ไม่ผิดแน่! ยิ่งคิดว่าตัวเองพยายามท้าสู้กับสาวน้อยคนนี้ ชูเฉิงก็ยิ่งละอายใจมากขึ้น
ลูโจวตักเตือนนาง “อย่าได้รีบร้อนฝึกฝนไป เจ้าควรจะฝึกฝนพัฒนาวรยุทธของเจ้าก่อนที่จะฝึกควบคุมพลังด้วยเสียง”
“ข้าเข้าใจแล้วท่านอาจารย์” หอยสังข์ตอบรับ
จากนั้นลูโจวก็หันไปหาแขกทั้งสามคนอีกครั้ง “เจ้าสี่ พาหอยสังข์ออกไปจากห้องโถงซะ”
“ครับ ท่านอาจารย์” หมิงหยินรีบพาหอยสังข์ออกจากห้องโถงใหญ่
ชูเฉิงและกู้ยีหรานได้สบตากัน ทั้งคู่ก็สงสัยเช่นกันว่าพวกเขาควรจะออกจากห้องโถงใหญ่ด้วยไหม
หลิวเก้อได้สั่งการในท้ายที่สุด “ออกไปซะ”
“พ่ะย่ะค่ะฝาบาท” ภู่ยี่หรานยืนขึ้นก่อนที่จะชี้ไปยังผู้คุ้มกันของอดีตจักรพรรดิ ทุกคนต่างก็ยื่นกล่องไว้ที่ด้านหน้าก่อนจะจากไป
ไม่นานนักลูโจวและหลิวเก้อก็เป็นเพียงสองคนที่ยังเหลืออยู่
“ฟังข้าซะ…เจ้ามาที่นี่ทำไม?” สู่โจวถามออกมา
หลิวเก้อถอนหายใจก่อนที่จะตอบกลับมา “เวลาช่างโหดร้าย 100 ปีมันเป็นเรื่องแค่พริบตาข้ามาที่นี่ก็เพราะมีเรื่องถามท่านเป็นการส่วนตัว”
ลูโจวยังคงนิ่งเงียบ
หลิวเก้อถามออกมาตรงๆ “ท่านฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจริงหรือ? พี่จี” สายตาหลิวเก้อกำลังจับจ้องไปที่ลูโจวอย่างไม่ลดละ
ห้องโถงใหญ่เงียบชั่วขณะ
ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่โจวก็ตอบกลับด้วยคำถามแทน “ทำไมเจ้าถึงได้ถามแบบนั้นล่ะ?”
“ท่านยังจำสุดยอดฝีมือผู้ลึกลับคนนั้นได้ไหมพี่จี?” หลิวเก้อถามออกมา
“ถ้าหากเจ้าจะมาเพราะเรื่องนั้น เจ้าก็ไปซะเถอะ ข้าไม่มีเวลาจะมีเสียกับเจ้า” ลูโจวที่พูดเสร็จลุกขึ้นยืน
การอัปเกรดระบบของตัวเขาจะเสร็จสิ้นภายในสองเดือน ตัวเขาได้ใช้พลังวิเศษส่วนหนึ่งไปกับการใช้พลังฝามือในก่อนหน้านี้แล้ว ลูโจวต้องการเวลาฟื้นพลัง ตัวเขาไม่ต้องการใช้เวลาไปกับการพูดคุยอย่างเปล่าประโยชน์
“…” หลิวเก้อประหลาดใจเล็กน้อย ตัวเขาได้พูดต่อ “ยอดฝีมือผู้ลึกลับคนนั้นได้ขี่โลงศพมาจากดินแดนทางตอนเหนือ เขาข้ามดินแดนของชนเผ่าอื่นก่อนที่จะมาดินแดนหยานแห่งนี้”
ลูโจวจำลานนี้ ชาวรั่วหลานที่มาพร้อมกับโลงศพสีแดงได้ดี ตัวเขาหยุดเดินก่อนที่จะพูดออกมา “เข้าเรื่องซะเถอะ”
“เหตุผลที่ราชสำนักของดินแดนหยานอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้ก็เพราะความช่วยเหลือของสุดยอดฝีมือผู้ลึกลับคนนั้นเขาได้บอกเอาไว้ว่าไม่ให้พวกเราพยายามฝึกฝนจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ มิเช่นนั้นจะต้องมีผลที่ไม่คาดคิดตามมาแน่”
สู่โจวรู้สึกทิ้ง ตัวเขาหันไปมองก่อนจะถามออกมา “แล้วคนคนนั้นอยู่ไหนแล้วล่ะ?”
หลิวเก้อส่ายหัว “เขาเคยอยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เมื่อนานมาแล้ว สุดยอดฝีมือคนนั้นได้ทั้งอะไรบางอย่างเอาไว้ก่อนจะจากไป ราชสำนักพยายามตามหาเขามากว่าหลายปีแล้ว แต่ถึงแบบนั้นพวกเราก็ไม่เคยพบเขาอีกเลย”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเชื่อยอดฝีมือผู้ลึกลับคนนี้มากเลยสินะ”
“ข้าไม่เคยสงสัยในตัวเขามากกว่า” หลิวเก้อพูดเสริม “สวรรค์มีเจตจำนงและกฎเกณ์ข้ไว้เพื่อมนุษย์อย่างเรา และการที่พวกเราละเมิดมันจะพวกเราต้องจ่ายค่าตอบแทนคืนแน่ เดิมที่ผู้ฝึกยุทธอย่างพวกเรามันก็ดีมากแล้ว อายุขัย 1,000 ปีมันไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความโลภของคนเราอย่างงั้นเหรอ?”
“ข้าไม่คิดแบบนั้น”
“แล้วท่านคิดว่ายังไงล่ะ พี่จี? ข้าอยากที่จะฟัง”
“ตามที่เจ้าได้บอกเอาไว้ ผู้ฝึกยุทธควรจะพึงพอใจกับอายุขัยกว่า 1,000 ปี แต่ถึงแบบนั้นคนธรรมดากลับมีอายุเฉลี่ยเพียงแค่ 100 ปีเท่านั้น มันไม่เคยเลยที่จะมีความยุติธรรมระหว่างผู้ฝึกยุทธกับมนุษย์ทั่วไป ความไม่ยุติธรรมนี้เองไม่ได้ทำให้พวกเราผู้ฝึกยุทธละเมิดกฎของมนุษย์ทั่วไปอย่างงั้นเหรอ?” ลูโจวยังพูดเสริมต่อ “ถ้าเป็นแบบนั้นจริง การฝึกยุทธก็คงจะขัดต่อเจตจำนงของสวรรค์ตั้งแต่ต้นแล้ว”
“การฝึกยุทธนั้นขัดต่อเจตจำนงของสวรรค์อย่างงั้นเหรอ?” หลิวเก้อได้ถามขึ้นมา “นั่นก็คงจะเป็นเพียงความเห็นของคนกลุ่มน้อยก็เท่านั้น”
“ชาวลัทธิขงจื้อเกรงกลัวต่อบัญชาสวรรค์จึงต้องฝึกฝนตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น ยังมีชาวพุทธที่กลัวกรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไหนจะเป็นชาวลัทธิเต๋ที่ปรารถนามีชีวิตที่ยืนยาวอยู่เคียงคู่ฟ้าดินนั่นก็ด้วย นั่นน่ะมันไม่ขัดต่อเจตจำนงของสวรรค์เหรอไงกัน?”
“…” หลิวเก้อพูดไม่ออก ตัวเขาเองก็เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ตลอดประวัติศาสตร์อัน
ยาวนาน ที่ผ่านมา ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายต่างฝึกฝนตนก็เพื่อตัวเอง ฝึกฝนยุทธเพื่อที่จะแย่งชิงอำนาจ ฝึกฝนยุทธเพื่อความเป็นใหญ่ หรือฝึกฝนยุทธก็เพราะปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ยืนยาว ไม่ว่าจะฝึกยุทธเพื่ออะไรแต่สุดท้ายแล้วผู้ฝึกยุทธทุกคนก็ได้ขัดต่อเจตจำนงของสวรรค์อยู่ดี
“นี่ก็คงจะเป็นความแตกต่างในเรื่องของความคิดเห็นท่านมีเหตุผลของท่าน ข้าเองก็มีเหตุผลของข้าเช่นกัน”
สู่โจวลูบเคราก่อนที่จะถามต่อ “แล้วเจ้าจะบังคับให้ทุกคนต้องเชื่อความเห็นของเจ้าอย่างงั้นเหรอ?”
หลิวเก้อพูดไม่ออกอีกครั้ง ตัวเขาจ้องมองลูโจวอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะตอบคำถามด้วยคำตอบ “เมื่อไหร่กันที่ท่านพูดจาฉะฉานได้ขนาดนี้ พี่จี?”
เมื่อได้ยินแบบนั้นลูโจวก็ค่อยก้าวเดินอีกครั้ง “ถึงเวลาที่ข้าต้องไปแล้ว”
หลิวเก้อยังคงพูดต่อ “ข้าก็แค่มาที่นี้ก็เพื่อที่จะยืนยันว่าท่านมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบเปล่าพี่จี ถ้าหากท่านมีจริงได้โปรดเห็นแก่ส่วนรวมด้วยเถอะ”
สู่โจวหันกลับมาก่อนที่จะซัดพลังฝ่ามือใส่ พลังฝ่ามือสีทองได้พุ่งไปหาหลิวเก้อ
หลิวเก้อกางแขนตัวเองออกมาก่อนที่จะเดินพลังลมปราณ ตัวเขาได้ใช้พลังสกัดกั้นพลังฝ่ามือของลูโจวเอาไว้ได้ “พลังฝ่ามือนี่ถูกควบคุมพลังมาเป็นอย่างดี ดูเหมือนว่าวรยุทธที่ท่านมีจะก้าวหน้าอีกแล้วนะพี่จี”
สู่โจวได้ใช้พลังในฐานะผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวสองกลีบโจมตีใส่หลิวเก้อ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่หลิวเก้อจะรับพลังฝ่ามือเอาไว้ได้
หลิวเก้อยังคงพูดต่อ “ถ้าหากมีใครฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจริง เมื่อนั้นจะต้องเกิดหายนะอย่างแน่นอน พี่จี ท่านระวังไว้ให้ดี”
สู่โจวคิดว่าสิ่งที่หลิวเก้อพูดเป็นแค่เรื่องขบขัน “ฟ้าจะถล่ม? ดินจะทลาย? หรือน้ำจะท่วมโลกกันล่ะ?”
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าหายแบบไหนกำลังรออยู่ แต่ข้าเชื่อสุดยอดฝีมือผู้ลึกลับคนนั้น…” หลิวเก้อยังคงพูดต่อ “มีหลายอย่างที่ข้าอธิบายไม่ได้ แต่เวลาจะบอกทุกอย่างเอง ได้โปรดเชื่อข้าเถอะพี่จี”
สู่โจวนึกถึงโลงศพลึกลับ ตัวเขายังนึกไปถึงตำราลึกลับที่มาพร้อมกับโลงศพอีกด้วย ลวดลายเขตแดนพลังบนโลงศพและชุดเกราะขององค์รัชทายาทต่างก็คล้ายคลึงกัน หลิวจือเป็นผู้ที่มอบชุดเกราะตัวนั้นให้กับหลินซิน มันเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดีว่าสุดยอดฝีมือลึกลับมีอยู่จริง แต่น่าเสียดายที่ตัวเขาไม่ใช่ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจริงๆ และเพราะแบบนั้นจู่โจวจึงไม่สามารถที่จะยืนยันเรื่องนี้ได้
พันธนาการที่สวรรค์ได้มอบให้กับมนุษย์ก็คืออายุขัยของขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็ถูกตีตรา
หลังจากที่ไตร่ตรองเรื่องนี้ได้พักหนึ่ง ลูโจวก็พูดออกมา “โลกยุทธภพจะต้องมีคำตอบภายในสองเดือน” ถ้าหากจะพูดตามตรง ลูโจวก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะใช้เวลาแค่ไหนกว่าที่จะมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้ ตัวเขาได้คิดคำตอบนี้ขึ้นมาหลังจากที่พิจารณาเวลาที่เหลือจากระบบ คงจะต้องมีใครพูดอะไรในช่วงเวลาอีกสองเดือนนี้เอง
“สองเดือน?”
“ยุคแห่งการตัดดอกบัวทองคำมาถึงแล้ว..และข้าก็จะไม่ใช่ผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบเพียงคนเดียว”
หลิวเก้อตกตะลึงกับคำพูดของลูโจว ถ้าหากการตัดดอกบัวทองคำช่วยให้ผู้ฝึกยุทธมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้ในตอนนี้ก็คงจะไม่มีใครหยุดยั้งอะไรได้แล้ว แม้แต่ลูกชายของหลิวเก้อย่างหลิวภู่เองก็ยังพยายามฝึกฝนเพื่อพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบเช่นกัน แล้วในตอนนี้จะมีประโยชน์อะไรอีกถ้าหากหลิวเก้อยังคงรบกวนศาลาปีศาจลอยฟ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อ?