My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 537
ตอนที่ 537 สาวน้อยปะทะยอดฝีมือ
ติดตามข่าวสารได้ที่เพจผู้แปล FB: ND Translate นิยายแปลไทย
หมิงหยินตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล “ถูกต้องแน่นอน” ตัวเขาชะงักไปชั่วครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “เล้งลั่วเป็นผู้ที่เคยมีชื่ออยู่บนอันดับสูงสุดของบัญชีดำเมื่อ 300 ปีก่อน ท่านน่าจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าข้านะฝ่าบาท ส่วนซูยู่ชูและฝานลี่เทียนเองก็เช่นกัน ข้าไม่คิดว่าต้องแนะนำชื่อเสียงของพวกเขาทั้งคู่ให้กับท่าน และคนสุดท้ายฮัวคู่เด้ เขาคนนี้เคยเป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักหยุนมาก่อนฮัวรู่เดำได้ออกจากสำนักมาก็เพราะสำนักหยุนตกอยู่ในความวุ่นวาย เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้”
“ข้าได้ยินมาว่าหยุนเทียนถั่วไม่ใช่ชายผู้มีนิสัยเลวร้ายน แล้วทำไมเขาถึงได้ปล่อยชั่ววูเด้ให้จากไปได้? นอกจากนี้การที่ผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบจะไปไหน เขาคนนั้นก็จะต้องกลายเป็นแขกผู้มีเกียรติอยู่แล้ว” หลิวเก้อเริ่มสงสัย
“จิ้งจอกเฒ่าคนนี้ไม่ได้ใจง่ายอย่างที่คิดสินะ?” ในระหว่างที่คิดแบบนั้นหมิงหยินยังคงรักษาสีหน้าเอาไว้ดังเดิมได้ “อย่าไปสนใจเรื่องยิบๆ ย่อยๆ เลย ท่านเป็นถึงราชาแห่งดินแดน ฝ่าบาท ท่านจะต้องหาคำตอบให้กับเรื่องนี้ได้อยู่แล้วล่ะ”
หลิวเก้อพยักหน้า ตัวเขามองไปที่หมิงหยินก่อนจะตอบกลับมา “ข้าน่ะเคยเป็นราชา แต่ในตอนนี้ที่นี่ข้าอยู่ในฐานะสหายเก่าที่ต้องการจะมาทักทายอาจารย์ของเจ้าเท่านั้น”
“ข้าบอกท่านแล้ว อาจารย์ของข้าเก็บตัวฝึกฝนอยู่ ท่านอาจารย์คงจะใช้เวลาฝึกฝนตัวเองไปอีก 2 เดือน แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าไปรบกวนเขาได้”
ในตอนนั้นเองซูเฉิงก็พูดขึ้น “ข้าได้ยินมาว่าผู้อาวุโสจีฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้เมื่อนานมาแล้ว แล้วทำไมเขาถึงต้องเก็บตัวฝึกฝนอย่างเคร่งครัดด้วยล่ะ? พลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบเป็นพลังที่ไม่ต่างจากพลังอันคงกระพัน แล้วทำไมคนที่มีพลังสูงส่งถึงขั้นนั้นถึงต้องเก็บตัวฝึกฝนด้วย?”
หมิงหยินหันมากลอกตาใส่ “เส้นทางของการฝึกยุทธน่ะมันไม่มีที่สิ้นสุดหรอก ท่านอาจารย์ข้าฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้ เป็นเรื่องธรรมดาที่ท่านอาจารย์จะต้องทำความคุ้นชินกับพลังแบบนี้ ว่าแต่เจ้าเป็นใครกัน?”
“ข้าชูเฉิง แม่ทัพใหญ่ผู้รักษาการณ์ประตูทางตะวันตกเฉียงเหนือ” ขู่เฉิงแนะนำตัวเองอย่างภาคภูมิใจ
“อืม…ข้าไม่เคยได้ยินชื่อเจ้ามาก่อนเลยนะ”
“ทำไมเจ้านี่ถึงทำเหมือนกับว่ารู้จักข้า แต่บอกว่าไม่เคยได้ยินชื่อข้ากัน?” ชูเฉิงพูดไม่ออกชั่วขณะ จากนั้นตัวเขาก็ได้ถามออกมา “แล้วทำไมผู้อาวุโสซูถึงอยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าด้วยล่ะ?”
หมิงซี่หยินไม่ได้ตอบคำถามขู่เฉิงโดยตรง ตัวเขาสัมผัสได้ว่าซูยู่ชูอาจจะทำให้แผนการของตัวเขาล้มเหลวได้ และยิ่งคิดถึงตอนที่พบกับซูยู่ชูในครั้งแรก ในตอนนั้นภาพความกลัวก็ปรากฏชัดเจน ถ้าหากหมิงซี่หยินไม่ยอมเอ่ยถึงอาจารย์ ซูยู่ชก็คงจะฆ่าเขาไปแล้ว ท้ายที่สุดหมิงซูหยินก็สลัดความคิดเหล่านั้นไป “ผู้อาวุโสซูชื่นชมอาจารย์ของข้ามานานแล้ว…ข้าแน่ใจว่าเจ้าจะต้องคาดการณ์ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในหลังจากนั้น”
หลิวเก้อพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะพูดขึ้น “ตอนที่ข้ารู้จักพี่จีในตอนแรก มีหลายคนพยายามประจบประแจงเขาอย่างสวยหรู มีเพียงผู้ที่ถูกยอมรับเท่านั้นถึงจะยืนหยัดต่อไปได้”
“…” หมิงหยินพูดไม่ออก ทำไมชายชราคนนี้ถึงได้ไร้ยางอายเช่นนี้? “เอาล่ะข้าพูดกับท่านมามากพอแล้ว ท่านได้เข้ามาและได้เห็นศาลาปีศาจลอยฟ้ากับตาตัวเอง ถึงเวลาที่ท่านต้องจากไปแล้ว”
หลิวเก้อค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “เนื่องจากพี่จีไม่สามารถพบข้าได้ ข้าก็จะรอเขา ข้ามั่นใจว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าอันกว้างใหญ่จะต้องมีที่ให้ข้าได้อยู่คอยเขาแน่”
“ท่านจะอยู่ต่ออย่างงั้นเหรอ?” หมิงหยินตกใจ
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่รบกวนพี่จีในช่วงสามเดือนนี้” หลิวเก้อตอบกลับอย่างไม่ลังเล
เรื่องต่างๆ เริ่มซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ผู้มาเยือนทั้งสามคนนี้ต่างก็เป็นยอดฝีมือ ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นในระหว่างที่คนนอกทั้งสามคนยังอยู่ที่นี่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้เตรียมตัวมาก่อน
ถ้าหากความขัดแย้งเกิดขึ้นในตอนนี้ ความจริงที่ผู้อาวุโสทั้งสี่ตัดดอกบัวทองคำออกไปจะต้องถูกเปิดเผยขึ้นมาแน่ ถ้าหากทั้งสามคนยังอยู่ต่อ พวกเขาจะต้องนำพาความยุ่งยากและความวุ่นวายมาสู่ศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างแน่นอน
ในตอนนั้นขู่เฉิงได้พูดต่อ “ผู้อาวุโสทั้งสี่ของศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ยับยั้งพลังในก่อนหน้านี้ดังนั้นข้าก็เลยสัมผัสพลังที่แท้จริงของพวกเขาไม่ได้ ข้าสงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงต้องสะกดพลังในขณะที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่มีคนนอกด้วย?”
หมิงซี่หยินตกตะลึงในคำพูดของซู่เฉิง เป็นไปตามคาด แผนการของเขาไม่สามารถหลอกผู้มีประสบการณ์ได้อย่างง่ายๆ
ชูเฉิงพูดต่อ “ผู้อาวุโสซูเป็นผู้ฝึกยุทธจากชาวลัทธิจงจื้อ นอกจากนี้ยังเป็นยอดอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยากเมื่อ 500 ปีก่อนอีกสิ่งที่นางเกลียดมากที่สุดก็คือการเก็บความลับ…”
แม้ว่าชูเฉิงจะไม่ได้เปิดเผยเจตนาจากพูดออกมา แต่หมิงซูหยินสามารถอนุมานได้ถึงเจตนาของเขาในทันที หมิงซูหยินได้ตอบกลับไป “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับศาลาปีศาจลอยฟ้าซะแล้ว”
คำพูดของหมิงซี่หยินทำให้ชูเฉิงประหลาดใจเล็กน้อย
มันเป็นความจริง ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้ไม่เหมือนกับที่ไหนๆ ช่เฉิงไม่ควรจะใช้ตรรกะทั่วไปกับที่แห่งนี้
เมื่อขู่เฉิงได้สติ ตัวเขาก็คารวะก่อนจะพูดออกมา “ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริง…ข้าก็อยากจะขอประลองกับผู้อาวุโสซู”
“…” เจ้าพวกนี้มันอะไรกัน! จิตใจของหมิงซูหยินเริ่มหวั่นไหวในทันที ผู้อาวุโสทั้งสี่ได้ตัดดอกบัวทองคำก่อนที่จะฝึกฝนตัวเองใหม่ ถ้าหากพวกเขาประลองกับขู่เฉิงในตอนนี้ พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้แน่ แต่ถ้าหากผู้อาวุโสไม่ยอมรับคำท้าของขู่เฉิง ศาลาปีศาจลอยฟ้าก็คงจะดูไม่ดีแน่นอนน่าปวดหัวซะจริง!
ในขณะที่หมิงหยินกำลังครุ่นคิดเรื่องนั้นอยู่ ชูเฉิงก็ได้พูดต่อ “ข้าก็แค่อยากจะได้บทเรียนเท่านั้น ไม่ได้มีแรงจูงใจอะไรแอบแฝง เนื่องจากที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ามียอดฝีมือมากมายราวกับหมู่เมฆ…ข้าแน่ใจว่าพวกเขาจะต้องไม่รังเกียจที่จะสั่งสอนผู้ที่ด้อยประสบการณ์อย่างข้าแน่”
ชูเฉิงก้าวต่อไปอย่างไม่ลังเล บางทีความลังเลที่หมิงซี่หยินมีทำให้ตัวเขาและภู่ยี่หรานเชื่อว่าศาลาปีศาจลอยฟ้ากำลังปิดบังอะไรบางอย่างไว้ ทั้งคู่พยายามที่จะค้นหาความจริงอันนั้นโดยอ้างถึงการประลองและการเรียนรู้ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะไม่ทำให้ศาลาปีศาจลอยฟ้าต้องขุ่นเคือง
“เจ้าพวกจิ้งจอกเฒ่า!”
หลิวเก้อที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ เห็นได้ชัดว่าเขายอมรับสิ่งที่ชูเฉิงทำ
ในที่สุดหมิงซูหยินก็ได้ตอบกลับมา “ไม่จำเป็นจะต้องประลองเพื่อบทเรียน..ศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ใช่สนามการเรียนรู้ของพวกเจ้า”
ในขณะนั้นเองเสียงดนตรีอันสง่างามก็ได้ลอยเข้ามา เสียงดนตรีจากขลุ่ยสดชื่นราวกับสายลมในยามฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านใบหน้าของทุกคนไป..แม้ว่ามันจะไม่ดังมากแต่ทุกคนก็ได้ยินอย่างชัดเจน
หลิวเก้อรู้สึกตะลึงกับเสียงที่ได้ยิน ตัวเขามองออกไปที่ด้านนอกห้องโถงใหญ่ก่อนที่จะถามออกมา “มีคนที่มีพรสวรรค์ในการเล่นดนตรีอยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าด้วยเหรอ?”
หมิงซี่หยินตอบกลับไป “ถูกต้องแล้ว”
ทันทีที่หมิงซูหยินพูดจบ ดาบพลังงานขนาดเล็กก็ได้พุ่งเข้ามา มันบินไปรอบๆ อย่างไร้จุดหมาย แม้ว่าดาบพลังงานจะไม่ได้ทรงพลัง แต่มันก็เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว
กู่ยี่หรานอุทานออกมาด้วยความตกใจ “ควบคุมดาบพลังงานด้วยเสียงอย่างงั้นเหรอ? ใครกันที่อยู่นอกห้องโถงใหญ่?”
หมิงซูหยินที่ฟังแบบนั้นได้คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ตัวเขาที่เริ่มคิดอะไรออกจึงเริ่มพูดออกมา “นางก็แค่ควบคุมพลังลมปราณด้วยเสียงได้ ไม่มีอะไรที่น่าพูดถึง”
ชูเฉิงและกู้ยี่หรานต่างก็อึดอัดใจเมื่อได้ฟังคำพูดของหมิงซี่หยิน จากที่แม่ทัพทั้งสองคิด นี่ถือเป็นความสามารถที่น่าทึ่งมาก ในฐานะที่เป็นผู้มีประสบการณ์ในการออกรบ พวกเขารู้ดีว่าความสามารถแบบใดที่จะใช้ชิงความได้เปรียบได้สงครามได้ ไม่ว่าจะเป็นวิชาแห่งการรักษาของชาวพุทธวิชากระจกแห่งแสง หรือจะเป็นการใช้คลื่นเสียงจู่โจมอย่างพระสูตรแห่งพราหมณ์ วิชาจำเพาะทั้งหลายต่างก็เป็นอาวุธอันทรงพลังถ้าหากถูกใช้ในสงคราม เขตแดนพลังขงจื้อเองก็เช่นกัน ถ้าหากพลังถูกใช้ถูกที่ถูกเวลา พลังของเขตแดนอาจจะสามารถทำให้กองทัพทั้งกองทัพอยู่ยงคงกระพันได้
ในตอนนั้นเองมีดาบพลังงานพุ่งเข้าหาขู่เฉิง
พรึ่บ!
สีหน้าของซูเฉิงเปลี่ยนไป “ลอบโจมตี?!” ชูเฉิงสะบัดนิ้วทั้งสอง เครื่องรางทั้งสองชิ้นได้พุ่งเข้าหาดาบพลังงาน เครื่องรางทั้งหมดเปล่งแสงออก มันได้คลุมดาบพลังงานไว้ก่อนที่จะดูดซับพลังจากดาบพลังงาน
ในเวลาเดียวกันเสียงดนตรีที่เคยดังก็ได้จางหายไป
ที่นอกห้องโถง เสียงของขลุ่ยได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง ดูเหมือนว่าผู้เปาขลุ่ยจะดูไม่เต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้นี้ เมื่อการต่อสู้ครั้งใหม่เริ่มต้นขึ้น จังหวะและท่วงทำนองของเสียงดนตรีก็เร็วมากยิ่งขึ้น
ขู่เฉิงที่ฟังแบบนั้นหัวเราะก่อนที่จะพูดออกมา “น่าสนใจ!” ซูเฉิงโบกสะบัดฝามือ ในตอนนั้นเองตัวอักษรหลากหลายขนาดก็ได้ลอยขึ้นไปบนอากาศ มันได้ชนกันก่อนที่เสียงดังอึกทึกจะดังขึ้น
เสียงดังอึกทึกและเสียงเพลงของขลุ่ยปะปนกัน
ครูต่อมาเสียงของขลุ่ยก็ได้เงียบไป หลังจากนั้นเสียงของขลุ่ยที่ดังอีกครั้งมันดังสูงขึ้น ถ้าก่อนหน้านี้เป็นเหมือนกับกระแสน้ำที่ไหลริน ตอนนี้มันก็คงจะเปลี่ยนจนกลายเป็นคลื่นยักษ์แล้ว
ชูเฉิงดูยินดี “ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเหล่าสาวกทั้งเก้าของศาลาปีศาจลอยฟ้าจะมีผู้ใช้เสียงในการต่อสู้ โชคดีจริงๆ ที่ข้ามาเห็นกับตาตัวเองแบบนี้ แม้ว่าข้าจะเป็นคนหยาบคาย แต่ข้าก็ชื่นชอบดนตรีมาก ข้าคิดว่าวันนี้ข้าได้พบกับการต่อสู้ที่เหมาะสมกับข้าแล้ว เอาล่ะอีกครั้ง” ขู่เฉิงลุกขึ้นยืน พลังฝ่ามือของเขาขยับเร็วกว่าแต่ก่อน ชูเฉิงได้สร้างพลังฝ่ามืออย่างรวดเร็ว
หากการประลองในก่อนหน้านี้เป็นการประลองสบายๆ ในตอนนี้มันก็คงจะกลายเป็นการประลองที่จริงจังไปแล้ว
พลังลมปราณเริ่มเพิ่มสูงขึ้น พลังตัวอักษรของพลังขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เองก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน
ชูเฉิงกำลังเอาจริงในการประลองครั้งนี้
เมื่อเห็นแบบนั้นหมิงหยินก็รู้สึกใจคอไม่ดีมากขึ้น ตัวเขารู้ดีว่าใครคือผู้ที่เปาขลุ่ยอยู่ด้านนอก สาวน้อยที่เพิ่งจะฝึกฝนวรยุทธจะไปสู้กับขู่เฉิง หนึ่งในแม่ทัพใหญ่ทั้งแปดของราชสำนักได้ยังไงกัน!
ก้อง! ก๊อง! ก๊อง!
พลังอักษรที่ชนกันมันฟังดูคล้ายกับเสียงระฆังที่ถูกตี
ในขณะที่เสียงของขลุ่ยจางหายไป คลื่นเสียงของพลังอักษรที่ชนกันก็เริ่มไหลไปที่ด้านนอกมากยิ่งขึ้น
หมิงซูหยินรีบเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะหยุดพลังคลื่นเสียงเอาไว้
ซูวว!
พลังคลื่นเสียงของซู่เฉิงถูกสะท้อนกลับมา
ที่ด้านนอกห้องโถงใหญ่ มีพลังอวตารดอกบัวห้ากลีบขวางปรากฏตัวขึ้น เป็นเพราะพลังอวตารที่เห็นทำให้พลังคลื่นเสียงของซูเฉิงถูกสะท้อนกลับมาได้
เสียงจากทั้งสองฝ่ายเงียบดับลงในชั่วพริบตา
หมิงซูหยินต้องยื่นมือช่วย ถ้าไม่อย่างงั้นศิษย์น้องเล็กของเขาก็คงจะต้องรับบาดเจ็บจากคลื่นเสียงแน่
ช่เฉิงขมวดคิ้ว “ทำไมท่านถึงต้องยื่นมือเข้ามาล่ะ?”
“ที่นี่คือศาลาปีศาจลอยฟ้า มันไม่ใช่ที่ที่เจ้าทำอะไรก็ได้หรอกนะ
“เขาคนนั้นเป็นผู้ท้าทายข้าก่อน แต่ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้โต้กลับ?” ชูเฉิงไม่เข้าใจตรรกะแบบนี้ได้เลย
หมิงซี่หยินส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าบอกเจ้าแล้ว…ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรจะอยู่”
ชูเฉิงตอบกลับ “เมื่อการประลองเริ่มต้นขึ้น มันก็ต้องสิ้นสุดลง” เมื่อพูดจบขู่เฉิงก็เริ่มใช้ฝ่ามืออีกครั้ง พลังตัวอักษรที่ออกมาจากฝ่ามือได้พุ่งออกมาก่อนที่จะจัดเรียงกันจนกลายเป็นวงกลมแห่งแสง วงกลมแห่งแสงส่งเสียงสะท้อนไปในอากาศ เสียงที่สะท้อนออกมามันคล้ายกับบทสวดของชาวพุทธ
หมิงหยินขมวดคิ้วเล็กน้อย
ในตอนนั้นเองเสียงที่ดังกึกก้องและฟังดูเกรี้ยวกราดก็ได้ดังออกมาจากด้านหลังห้องโถงใหญ่มีพลังคลื่นเสียงแผ่ออกมา พลังคลื่นเสียงนี้ได้แผ่ออกมาพร้อมกับแรงสั่นสะเทือน “สามหาว!”