My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 532
ตอนที่ 532 การฝึกฝนใหม่
ยู่ฉางตงยังคงนิ่งเงียบ
จี้ชิงชิงพูดต่อ “ลืมมันไปซะเถอะ แม้ว่าข้าจะพูดไปอีกมากแค่ไหนเจ้าก็ยังไม่เข้าใจข้าหรอก”
ยู่ฉางตงยิ้มจางๆ มันเป็นยิ้มเพื่อการตอบสนองต่อคําพูดของนาง
“ถ้าหากไม่ใช่เพื่อเขา เจ้าคิดหรอว่าข้าจะออกจากมณฑลยู่อย่างง่ายดายแบบนี้? อย่าคิดว่าข้ายอมทําตามเจ้าก็เพราะเจ้าเหมือนเขากัน ยู่เฉิงไห่เองก็เป็นศิษย์พี่ของชายคนนั้น ถ้าหากข้าฆ่ายู่เฉิงไห่จริง เขาจะต้องเกลียดข้าไปชั่วชีวิตแน่”
“” นับตั้งแต่ที่ยู่ฉางตงท้าทายกับยอดฝีมือจากสํานักต่างๆด้วยดาบยืนยาว เพราะวีรกรรมทั้งหลายทําให้มีหลายคนเฝ้าติดตามเขา ฐานแฟนคลับของยู่ฉางตงมีตั้งแต่ยอดฝีมือผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบจนถึงชาวเมืองทั่วไป แต่อย่างไรก็ตามการที่เหล่าแฟนคลับจะมีโอกาสพบกับยู่ฉางตงเป็นไปได้ยาก มีเพียงคนที่ควรค่าแก่การต่อสู้กับยู่ฉางตงเท่านั้นที่จะได้เจอ และน้อยคนนักที่จะมีชีวิตรอดไปได้
“เอาล่ะ ข้าพูดมามากพอแล้ว ข้าคงต้องไปแล้วล่ะ”
“ช้าก่อน” ยู่ฉางตงรีบหยุดนางไว้
“อะไร?” จี้ชิงชิงหันกลับมา
“เจ้าดูมีรสนิยมดีใช้ได้ ด้วยเหตุนี้ข้าจะแนะนําอะไรเจ้าไว้” ยู่ฉางตงหยุดไปชั่วครู่ก่อนที่จะไปยังรองแม่ทัพที่อยู่ด้านซ้ายของจี้ชิงชิง “ฆ่าเขาซะ”
รองแม่ทัพคนนั้นตัวสั่น เขาได้แต่ก้าวถอยหลัง
จี้ชิงชิงขมวดคิ้ว นางไม่รู้ว่ายู่ฉางตงต้องการอะไร
“ในเมื่อเจ้าหนีทหาร เจ้าก็ควรจะอยู่กับคนรอบข้างที่เชื่อถือได้เท่านั้น…นี่เป็นเพียงคําแนะนําของข้า เจ้าจะฆ่าเขาไหมมันก็แล้วแต่เจ้า” ยู่ฉางตงยิ้มให้จางๆ
ถ้าหากจะพูดอีกนัยหนึ่ง ยู่ฉางตงต้องการจะบอกว่ารองแม่ทัพคนนั้นเกลือเป็นหนอนนั่นเอง
จี้ชิงชิงมองไปที่สีหน้าที่ไม่แยแสอะไรของยู่ฉางตง รองแม่ทัพคนนี้อยู่เคียงข้างนางมาหลายปีแล้ว เป็นธรรมดาที่นางควรจะเชื่อใจเขา แต่ด้วยเหตุผลอะไรที่ไม่อาจทราบได้ นางรู้สึกว่าชายผู้ใช้ดาบชุดเขียวคนนี้ดูน่าเชื่อถือ
โจวฮุย รองแม่ทัพผู้ที่ถูกชี้ได้โค้งคํานับในทันที “ท่านแม่ทัพอย่าไปฟังคําโกหกของเจ้านั่น! ความภักดีที่ข้ามอบให้ท่านทั้งดวงตะวันและดวงจันทร์ต่างก็ยืนยันถึงมันได้ ได้โปรดเชื่อข้าเถอะ ท่านแม่ทัพ!”
จี้ชิงชิงขมวดคิ้ว พลังลมปราณได้เอ่อล้นออกมาจากร่างกายของนาง นางเหลือบมองไปที่โจวฮุยก่อนจะถามออกมาอย่างจริงจัง “โจวฮุยเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่ที่รู้ถึงการเคลื่อนไหวส่วนตัวของข้าตลอด เจ้าเคยเปิดเผยข้อมูลข้าให้กับพวกเขาใช่ไหม?”
“ท่านแม่ทัพ!”
“บอกเหตุผลที่ทําให้ข้าเชื่อเจ้ามา…”
มีหลายอย่างในโลกที่ไม่สามารถให้คําอธิบายได้ แน่นอนว่าหญิงสาวผู้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในสนามรบย่อมที่จะไม่เข้าใจ แม้แต่คู่สามีภรรยาเองก็ยังไม่อาจเข้าใจกันได้หมด แน่นอนว่าเรื่องที่ยู่ฉางตงได้พูดมาย่อมทําให้จี้ชิงชิงรู้สึกไม่มั่นใจ
พรึบ!
ไม่มีคําตอบอะไรจากปากของโจวฮุย ตัวเขาเลือกที่จะวิ่งหนีไปแทน การวิ่งหนีของเขาไม่ต่างอะไรจากการยอมรับผิด
จี้ชิงชิงส่ายหัวด้วยความผิดหวัง นางได้ยกนิ้วทั้งสองขึ้นก่อนที่จะชักดาบออกจากผัก
ดาบพลังงานหลายสิบเล่มได้ก่อตัวขึ้นเป็นวงแหวนรอบตัวนาง
พรึบ! พรึบ! พรึบ!
โจวฮุยกําลังจะใช้อวตารของตัวเอง แต่ดาบพลังงานก็ได้เจาะทะลุหน้าอกของตัวเขาซะก่อน! โจวฮุยไม่มีแม้แต่โอกาสจะปกป้องตัวเองซะด้วยซ้ํา ไม่นานนักโจวฮุยก็ล้มลง
จี้ชิงชิงหันกลับมา ใบหน้าของนางในตอนนี้ช่างไร้อารมณ์ “ขอบคุณสําหรับคําแนะนํา”
“ไม่เป็นไร” ยู่ฉางตงตอบกลับมา
จี้ชิงชิงชื่นชอบมารยาทที่ดูสุภาพและอ่อนโยนของยู่ฉางตง ดังนั้นนางจึงได้ถามออกมา “ให้ข้าได้รู้ชื่อของเจ้าได้ไหม?”
ยู่ฉางตงหันกลับมา ตัวเขาได้ผลักตัวออกจากพื้นดินเบาๆ ก่อนที่จะหายไปในป่าไผ่ม่วง เสียงของเขาได้ลอยตามมาก่อนที่ตัวของยู่ฉางตงจะหายวับไป “ชื่อของข้ามันไม่สําคัญหรอก ดูแลตัวเองให้ดี”
“ท่านแม่ทัพ?” รองแม่ทัพที่อยู่ด้านหลังจี้ชิงชิงได้โค้งคํานับก่อนจะพูดขึ้น “ถ้าหากจําไม่ผิด คะ…คนคนนั้นก็คือยู่ฉางตง ดาบปีศาจแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า”
ดวงตาของจี้ชิงชิงเบิกกว้าง นางรีบเดินตามรอยของฉางตงไป แต่น่าเสียดายที่นางไม่พบตัวเขา
แม้ว่ายู่ฉางตงจะสัญญาว่าจะไว้ชีวิตนาง แต่มันก็ไม่ใช่เพราะว่าตัวเขาชอบนาง ไม่ว่าจะเป็นลูกสาวขององค์ชายฉี ชินจู่ปิง จี้ชิงชิงหนึ่งในแม่ทัพใหญ่ทั้งแปด หรือแม้แต่สาวสวยอีกมากมายแค่ไหน ยู่ฉางตงก็ไม่เคยมองเห็นหญิงสาวเหล่านั้นอยู่ในสายตา มันจะเป็นเช่นนี้ และจะเป็นแบบนี้ตลอดไป
ครึ่งเดือนต่อมา
เมืองทั้งห้าของมณฑลยู่ตกอยู่ภายในการควบคุมของสํานักอเวจี
ในตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายต่างก็พักฟื้นตัวเอง ทุกคนต่างก็ฝึกฝนตัวเองเพื่อจะงอกเงยกลีบดอกบัวขึ้นมาใหม่
ภายใต้การรุกรานของศาลาปีศาจลอยฟ้าและสํานักอเวจี ทําให้เหล่าผู้ฝึกยุทธจากสํานักต่างๆไม่กล้าที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในสงคราม
หนึ่งเดือนต่อมา มณฑลชิงก็ล่มสลายตาม
สามเดือนต่อมามณฑลหยางเองก็เช่นกัน
ปัจจุบันสํานักอเวจีได้ครอบครองมณฑลทั้งเจ็ดแห่งแล้ว
ในเวลาเดียวกันผู้ฝึกยุทธทั่วไปก็เริ่มที่จะผลิกลีบดอกบัวขึ้นมาอีกครั้งด้วยความเร็วที่เพิ่มมากขึ้น
ณ ศาลาทิศใต้ ศาลาปีศาจลอยฟ้า
หมิงซูหยินในตอนนี้กําลังนอนอยู่บนกิ่งไม้ ตัวเขากําลังเฝ้ามองต้วนมู่เฉิงกําลังฝึกฝนอยู่บนหน้าผาอย่างเงียบๆ
“ศิษย์พี่สาม นับจากนี้ไปท่านก็คือวีรบุรุษสําหรับข้า ท่านได้ตัดดอกบัวทองคําของตัวเอง ข้ารู้สึกชื่นชมท่านจริงๆ” หมิงซูหยินยกมือให้กับต้วนมู่เฉิง
หลังจากที่อาจารย์ของพวกเขาเก็บตัวฝึกฝน ต้วนมู่เฉิงก็ตัดสินใจที่จะตัดดอกบัวทองคําก่อนที่จะเริ่มฝึกฝนตัวเองใหม่ ต้วนมู่เฉิงเป็นผู้ตัดดอกบัวทองคําด้วยตัวเอง
“ศิษย์น้องสี่ ลงมานี่”
“ท่านพูดสิ่งที่ต้องการมาเถอะ…ไม่จําเป็นที่ข้าจะต้องลงไป”
ต้วนมู่เฉิงส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจ “ทําไมเจ้าไม่ยอมตัดดอกบัวทองคํากัน?”
“ทําไมข้าต้องทําแบบนั้นกันล่ะ? นั่นเป็นสิ่งที่ผู้ต้องการจะมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบทํากัน…ข้าไม่ได้คิดที่จะเป็นแบบนั้น” หมิงหยินพูดต่อ “มีคนมากมายที่ไม่สามารถฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบไปชั่วชีวิต แต่ถึงแบบนั้นคนส่วนใหญ่ก็ยังยอมตัดดอกบัวทองคํา เพียงเพราะคนอื่นทํา เจ้าพวกนั้นน่ะมันบ้าไปแล้ว”
ต้วนมู่เฉิงเกาหัว คําพูดของหมิงซูหยินฟังดูมีเหตุผล ถ้าหากไม่สามารถฝึกถึงขั้นที่แปดได้ การผ่าดอกบัวทองคําก็ไร้ความหมาย อะไรคือประโยชน์ของการผ่าดอกบัวทองคําเพื่อที่จะฝึกตัวเองไปถึงขั้นที่เก้าล่ะ? การจะฝึกตัวเองจนไปถึงขั้นที่หกหรือขั้นที่เจ็ดได้มันก็ยากพอแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าการจะฝึกไปถึงขั้นที่แปดมันยากมากแค่ไหน การจะทําแบบนั้นได้คงจะได้กลายเป็นผู้อาวุโสของสานักส่วนใหญ่ได้อย่างง่ายดาย แต่ยิ่งต้วนมู่เฉิงใช้ความคิดมากเท่าไหร่ ตัวเขาก็เริ่มคิดว่ามีบางอย่างที่แปลก ต้วนมู่เฉิงมองไปที่หมิงซูหยินก่อนที่จะถามออกมา “ศิษย์น้องสี่ เจ้ากําลังเยาะเย้ยข้าใช่ไหม?”
“ไม่ ไม่ ไม่! ข้ากําลังชมเชยท่านต่างหาก ศิษย์พี่ ท่านจะต้องกลายเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัว เก้ากลีบได้แน่!” หมิงซูหยินรีบพูด
ต้วนมู่เฉิงเห็นด้วยกับคําพูดของหมิงหยิน ตัวเขาตั้งตารอที่จะได้กลายเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ “แล้วทําทําไมศิษย์น้องเก้าถึงไม่ตัดดอกบัวทองคําล่ะ?”
หมิงซูหยินกางแขนออกมา “ศิษย์น้องไม่ต้องการ ใครจะกล้าไปยุ่งกับนางได้กัน?”
นั่นเป็นความจริง
“ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่การที่จะฝึกไปถึงขั้นที่แปดได้โดยไม่ตัดดอกบัวทองคําก็ไม่ใช่เรื่องเสียเปล่า ผู้อาวุโสทั้งสี่เองก็กําลังจะผลิกลีบดอกบัวกลีบที่สีได้แล้ว”
ต้วนมู่เฉิงตกใจที่ได้ยินแบบนั้น “พวกเขาจะทําได้ในเร็วๆนี้อย่างงั้นเหรอ?”
หมิงซูหยินสายหัว “ก็ไม่แน่ ในตอนที่ข้าเขียนจดหมายให้กับศิษย์น้องเจ็ดเมื่อสามเดือนก่อน ในตอนนั้นข้าเขียนไปก็เพราะจะแจ้งข่าวของหอยสังข์ ศิษย์น้องเล็กคนใหม่ของพวกเรา ศิษย์น้องเจ็ดได้ส่งจดหมายกลับมาท่านลองเดาดูสิว่าเขาตอบกลับมาว่าอะไร”
เมื่อต้วนมู่เฉิงได้ยินแบบนั้นตัวเขาก็ขมวดคิ้ว “บอกมาเลย เจ้าจะทําตัวลีลาน่ารําคาญไปทําไมกัน?”
“ศิษย์น้องเจ็ดบอกว่ามียอดฝีมือผู้ใช้ดาบที่สามารถฝึกฝนตัวเองใหม่จนมีพลังอวตารดอกบัวห้ากลีบแล้ว”
“…” ต้วนมู่เฉิงตกใจเป็นอย่างมาก
“ชายคนนั้นจะต้องเป็นยอดฝีมือผู้ที่เคยมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบมาก่อน ก่อนที่จะตัดดอกบัวทองคําออกมา การที่เขาจะฝึกฝนตัวเองใหม่ให้ก้าวกระโดดได้แบบนั้นเป็นความเร็วที่น่าตกใจมาก ข้าคิดว่าคนคนนั้นจะต้องผลิกลีบดอกบัวอีกกลีบในช่วงเวลาสามเดือนที่ผ่านมาแน่ ท้ายที่สุดแล้วการผลิกลีบดอกบัวใหม่อีกครั้งจะเร็วขึ้นเมื่อทําการฝึกฝนใหม่ ข้าไม่คิดว่าสํานักอื่นๆจะฟื้นฟูตัวเองช้าเหมือนกัน” หมิงหยืนพิงอยู่บนลําต้นของต้นไม้ ตัวเขาเหลือบมองต้วนมู่เฉิงจากหางตา “เอ๊ะ? ท่านจะไปไหนกันศิษย์พี่?”
“ข้าจะไปฝึกฝนที่ใต้น้ําตก ถ้าหากไม่มีอะไรสําคัญก็อย่าได้กวนข้าซะล่ะ” ต้วนมู่เฉิงรีบกระโดดลอยตัวก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกันที่ประตูบานหนึ่ง มันเป็นประตูของห้องที่ดูลึกลับและดูมืดมิด ณ เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
“ท่านปู ข้าหลิวจือเอง” เสียงของใครบางคนดังมาจากที่ที่ดูแสนไกล
แม้ว่าจะส่งเสียงเรียกแต่ประตูห้องลับก็ไม่ถูกเปิด
“เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์กําลังถูกรุกราน! ข้าอยากจะพบท่านจริงๆ ท่านปู่!”
เมื่อหลิวจือได้พูดแบบนั้น ประตูหินก็เริ่มส่งเสียงดังขึ้นมา มันเริ่มเปิดออก
ครีดด!
หลิวจือดูมีความสุข ตัวเขาได้ยกแขนเสื้อก่อนที่จะก้าวไปที่ด้านในห้องอย่างระมัดระวัง
ห้องลับที่ซ่อนอยู่หลังประตูกว้างใหญ่มาก ดูเหมือนว่ามันจะเป็นโลกอีกใบก็ว่าได้ ภายในห้องลับมีของทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นชั้นตําราต่างๆ ตําราโบราณ คู่มือการฝึกวรยุทธ วิธีการฝึกฝนของสํานักต่างๆ รวมไปถึงคลังแสงอาวุธ
ชายชราสวมเสื้อคลุมยาวกําลังนั่งอยู่ที่ใจกลางห้องอย่างเฉื่อยชา เขาเป็นคนเดียวที่อยู่ภายในห้องแห่งนี้ แหล่งแสงเพียงแสงเดียวส่องออกมาจากตัวเขา
“ท่านปู่!” หลิวจือคุกเข่าด้วยความเคารพ
ห้องลับเงียบสงบมาก
หลิวจือไม่กล้าพูดอะไรอย่างประมาท
หลังจากนั้นชายชราก็ลืมตาขึ้น
“โลกคิดว่าข้าได้จากไปนานแล้ว และข้าก็ไม่ได้มีส่วนร่วมกับเรื่องทางโลกอีก เจ้ากล้าดีนะที่จะมาหาข้าเพราะเรื่องนี้”
ชายชราคนนี้ก็คือหลิวเก้อ จักรพรรดิหย่งโชว ชายคนนี้ก็พ่อของจักรพรรดิหย่งชิงผู้ล่วงลับไปแล้ว!
หลิวจือยังคงคุกเข่าก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ําเสียงที่สั่นเครือ “ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะรบกวนท่าน แต่ตอนนี้ดินแดนหยางตกอยู่ในความวุ่นวาย ศิษย์คนแรกของศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างยู่เฉิงไห้ได้อาละวาดไปทั่ว
“หลิวอยู่ที่ไหนกัน?”
“เสด็จพ่อ…แม้ว่าเขาจะเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ แต่เขาก็ไม่สามารถทําอะไรกับสํานักอเวจีได้!” หลิวจือตอบกลับ
หลิวเก้อขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นตัวเขาก็ถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าพ่อของเจ้าหรอก นอกจากนี้ข้ายังเป็นแค่คนแก่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง”