My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 426
ศาลาทางใต้กลับมานิ่งเงียบอีกครั้ง
เหล่าผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์ทั้งหลายที่เห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ต่างก็ตื่นเต้นกันหมด แต่สำหรับผู้ที่มีพลังวรยุทธลึกล้ำมากพอสามารถเข้าใจความหมายของสิ่งที่เห็นได้ดี
เหล่าผู้อาวุโสทั้งสามได้แต่จ้องมองดูต้นไม้ที่กำลังเติบโต มันได้แตกหน่อออกดอกออกมาด้วยความสับสนและความกลัว
วิชาเมตตาธรรม, วิชากระจกแห่งแสง และวิชาแสงแห่งพระพุทธองค์ไม่อาจที่จะทำให้ต้นไม้เติบโตและออกดอกได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ พืชทั้งหมดเติบโตเร็วจนเกินไป มันเติบโตราวกับว่าพวกมันได้เห็นต้นกระบองเพชรราชินีราตรีกำลังบานสะพรั่ง
ในเวลานั้นทุกคนก็ได้หันไปมองห้องที่หย่งหนิงกำลังพักอยู่ ทุกคนต่างก็รู้สึกได้ว่ามีพลังชีวิตที่อ่อนโยนพัดผ่านมาจากทางนั้น มันเป็นพลังที่ทำให้ทุกคนสดชื่นราวกับสายลมแรกของฤดูใบไม้ผลิ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสีวู่หยาที่เพิ่งจะก้าวเท้าออกจากถ้ำแห่งเงาสะท้อน เดิมทีตัวเขารู้สึกเหนื่อยล้ามาโดยตลอด แต่ในตอนนี้ความเหนื่อยล้าของเขากับถูกชะล้างด้วยพลังวิเศษที่แสนจะไม่เหมือนใครนี้ สีวู่หยาขมวดคิ้วทั้งๆ ที่ยังตกใจ ตัวเขาเคยสงสัยอยู่หลายครั้งว่าอาจารย์ของตนได้ก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจากทั้งการกระทำและจากข้อมูลที่ตัวเขาได้รับมาหลังจากที่กลับมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า สัญญาณทั้งหมดแสดงให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงที่อาจารย์ของเขาจะเอาชนะขีดจำกัดที่ยิ่งใหญ่ได้แล้ว ความจริงอยู่ใกล้จนแทบที่จะสัมผัสมันได้ แต่ทว่าไม่มีใครกล้าพอที่จะยอมรับมัน นั่นก็เป็นเพราะว่าการยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นมันจะหมายความว่าทุกคนได้ปฏิเสธความเป็นจริงที่มีมาอย่างเนิ่นนาน
สีวู่หยาอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตัวเขาติดอยู่ในความคิดซับซ้อนของตนเอง
พลังที่เหมือนกับสายลมในยามฤดูใบไม้ร่วงกำลังหดหายไป ทุกคนต่างก็จ้องมองไปที่พืชที่อยู่ในกระถาง ดอกไม้ที่เบ่งบานได้ส่องหน้าไปทางดวงตะวันด้วยท่าทีอันสดใน มันเป็นความรู้สึกประเดี๋ยวประดาราวกับว่าเป็นการแสดงที่ได้เห็นว่าฤดูใบไม้ผลิมาถึงก่อนเวลาอันควร
“มีใครเห็นดอกบัวสีฟ้าจางๆ ลอยออกจากห้องก่อนที่จะหายวับไหม?” ฝานซงขยี้ตาของตัวเองซ้ำๆ ก่อนที่จะพยายามยืนยันในสิ่งที่ตัวเขาได้เห็น
“ข้าคิดว่าข้าเองก็เห็นมัน แต่พอพูดถึงดอกบัวสีฟ้า ของแบบนั้นมันมีจริงๆ ด้วยอย่างงั้นเหรอ?” โจวจี้เฟิงพูดแทรกขึ้น
“รู้สึกดีจริงๆ ข้ารู้สึกราวกับว่าเพิ่งจะตื่นจากความฝัน มันเป็นความรู้สึกที่ดีอะไรเช่นนี้ ใครก็ได้หยิกข้าที! โอ๊ย…ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นซะหน่อย!”
“เก็บปากของพวกเจ้าเอาไว้เถอะ ถ้าไม่ยอมเก็บข้าจะเป็นคนตบมันเอง!” หยวนเอ๋อจ้องมองไปที่ทั้งสองคน
ฝานซงและโจวจี้เฟิงที่ได้ยินเช่นนั้นเงียบในทันที
ทุกคนยังคงจ้องมองประตูที่ยังถูกปิดสนิท
…
ทุกอย่างภายในห้องกลับสู่ปกติอีกครั้ง
พลังลมปราณของลู่โจวในขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้หมดลงอย่างสมบูรณ์ แต่อย่างไรก็ตามลู่โจวได้ใช้พลังวิเศษของเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ไปเพียง 1 ใน 4 เพียงเท่านั้น
ลู่โจวเหลือบมองไปที่หย่งหนิง ในตอนนี้นางดูดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับในอดีต ตอนนี้แก้มของนางเริ่มมีเลือดฝาด มันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าอาการบาดเจ็บของนางดีขึ้นแล้ว
“มันได้ผลอย่างงั้นสินะ?” แม้ว่าพลังของเครื่องรางผนึกจะถูกทำลายไปแล้ว แต่นางก็ไม่ควรจะฟื้นตัวเร็วขนาดนี้ ลู่โจวมองไปที่ฝ่ามือของตัวเอง ตัวเขาเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน มันมีดอกบัวสีฟ้าขนาดใหญ่ปรากฏตัวขึ้น มันได้ขยายใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะสลายหายไป
“พลังของเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์พลังที่สี่ พลังแห่งการรักษาอย่างงั้นเหรอ?”
ลู่โจวได้วางตัวของหย่งหนิงลงก่อนที่จะตรวจวัดชีพจรนางอีกครั้ง ตัวเขาได้ทำการยืนยันแล้วว่าเครื่องรางผนึกได้หาบยไปแล้ว พิษที่กัดกร่อนอวัยวะเองก็หายไปเช่นกัน
นาง…หายดีแล้วอย่างงั้นสินะ? ลู่โจวเองก็ไม่อยากที่จะเชื่อเรื่องนี้ ตัวเขาได้ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไรอีกตัวเขาก็ได้เดินออกจากห้องไป
เมื่อประตูถูกเปิดออกลู่โจวก็ได้เห็นสีหน้าอันหลากหลายบนใบหน้าของทุกคนที่กำลังเฝ้ารอ ลู่โจวได้เห็นทั้งความสับสนและความตื่นตกใจแสดงออกมา
‘ทำไมเจ้าพวกนี้ถึงทำหน้าตาแบบนี้กัน? พวกเขากำลังเสียสติเพราะโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ที่ฉันให้ไปอย่างงั้นเหรอ?’ ลู่โจวได้แต่ใช้ความคิดเงียบๆ อยู่ภายในใจ ตัวเขาที่เดินเอามือไขว้หลังออกมาได้พูดขึ้น “นางจะฟื้นตัวจนหายดีเองถ้าหากได้พักผ่อน” หลังจากที่พูดจบลู่โจวก็ได้เดินจากศาลาทางใต้ไป
สีวู่หยาที่ได้ยินเช่นนั้นรู้สึกค้างคาใจ ตัวเขาวิ่งกลับไปที่ห้องของหย่งหนิง
คนอื่นๆ ยังคงตกตะลึงอยู่
ผู้อาวุโสทั้งสามยังเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่หย่งหนิงจะถูกรักษาได้ ชีวิตของนางทำได้มากสุดก็คือการยื้อเอาไว้เท่านั้น ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าหมายความว่าอะไรกัน? นางจะหายหลังจากที่ได้รับการพักผ่อนอย่างงั้นเหรอ? นั่นมันหมายความว่าหย่งหนิงหายดีแล้วอย่างงั้นสินะ?
หลังจากที่ลู่โจวจากไปทุกคนก็เริ่มเข้ามาภายในห้อง
สีวู่หยาเป็นคนแรกที่เดินไปถึงเตียง ตัวเขาได้วิ่งอย่างรวดเร็วดุจดั่งสายลมก่อนที่จะยืนอยู่เคียงข้างหย่งหนิง เมื่อเห็นผิวของนางกลับมามีเลือดฝาดอีกครั้งความสุขก็ได้ผุดขึ้นในใจของตัวเขา สีวู่หยาได้ก้มลงก่อนที่จะตรวจชีพจรของนาง นิ้วของสีวู่หยาตรวจพบเส้นชีพจรของนาง แต่ในตอนนั้นตัวเขาก็จำได้ว่าพลังวรยุทธของตนได้ถูกผนึกเอาไว้ ท้ายที่สุดแล้วสีวู่หยาก็ตรวจสอบชีพจรนางไม่ได้
“ให้ข้าได้ตรวจสอบเองเถอะ” ฝานลี่เทียนได้โยนขวดน้ำเต้าไปให้กับฝานซงก่อนที่จะเดินเข้าไป ตัวเขาได้พับแขนเสื้อขึ้นก่อนที่จะตรวจสอบพลังลมปราณของหย่งหนิง หย่งหนิงในตอนนี้เริ่มกลับมาเดินพลังภายในตัวได้อีกครั้ง
ทุกๆ คนต่างก็จับจ้องไปที่ฝานลี่เทียนเพื่อรอผลการตรวจชีพจร
สีหน้าของฝานลี่เทียนค่อยๆ เปลี่ยนไปจากความสับสน คิ้วของเขาได้ขมวดเข้าหากันก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างขึ้น ความกลัวและความตกใจได้แสดงออกผ่านดวงตาของเขาได้อย่างชัดเจน ‘นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน? เป็นไปไม่ได้!’
“ตาแก่ฝาน เป็นยังไงบ้าง?” ฝานซงได้เดินเข้าไปใกล้ก่อนที่จะถามออกมาด้วยความอยากรู้
“เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน?” ฝานลี่เทียนพึมพำออกมาอย่างไม่หยุดพัก
ทุกๆ คนได้แต่ส่ายหัว ฝานลี่เทียนหมายความว่าอะไรกัน? อะไรที่เป็นไปไม่ได้?
เล้งลั่วก้าวไปที่ด้านหน้า ตัวเขาได้ยกฝ่ามือขึ้นมาก่อนที่จะมันจับไปที่หย่งหนิง การเคลื่อนไหวของเขาคล่องแคล่วกว่าฝานลี่เทียนมาก แต่เมื่อตรวจสอบชีพจรไปได้พักหนึ่ง เล้งลั่วก็เริ่มเคลื่อนไหวได้ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีใครได้เห็นสีหน้าของเล้งลั่วก็เพราะหน้ากากสีเงินบนใบหน้า ตัวเขาได้ถอยออกมาก่อนที่จะอุทานด้วยความตกใจ “นี่มันแปลกจริงๆ”
ฮั๊ววู่เด๋าไม่อาจที่จะยับยั้งความอยากรู้ของตัวเองได้อีกต่อไป นางได้ตรวจสอบหย่งหนิงด้วยคน
ไม่มีใครคิดที่จะสงสัยกับคำยืนยันของผู้อาวุโสทั้งสามเลย ยังไงซะคำพูดของพวกเขาก็ต้องเป็นสิ่งที่มีน้ำหนักจนเชื่อถือได้แน่
ทุกๆ คนมองไปที่ผู้อาวุโสทั้งสามเพื่อที่จะรอคำตอบ
“ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย นางเป็นยังไงบ้าง?”
เมื่อฮั๊ววู่เด๋ากำลังจะตอบ ฝานลี่เทียนก็ได้ลุกขึ้นก่อนที่จะเหยียดตัว ตัวเขาได้พูดออกมาซะก่อน “อืม…ข้ามีอะไรที่จะต้องทำ…” ตัวเขารีบออกจากห้องไป ฝานลี่เทียนได้เคลื่อนไหวรวดเดียว ตัวเขาได้ไปไกลกว่า 300 ฟุตจากการเคลื่อนไหวนั้น สุดท้ายฝานลี่เทียนก็ได้หายไปในพริบตา
ทุกๆ คนที่เห็นแบบนั้นต่างก็งุนงง นี่เป็นวิธีที่ผู้อาวุโสควรจะทำอย่างงั้นเหรอ? ช่างไร้ยางอายซะจริง!
เล้งลั่วส่ายหัว ตัวเขาได้วางมือไขว้หลังก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป เล้งลั่วเป็นคนประหลาดที่ชอบโดดเดี่ยวและแตกแยก
ทุกๆ คนที่เห็นแบบนั้นไม่มีใครกล้าหยุดเขา ทุกคนต่างมองเล้งลั่วเดินจากไปโดยที่ไม่พูดอะไร ไม่นานนักตัวเขาก็ได้หายตัวไปเช่นกัน
ทุกคนทำได้เพียงหันไปมองฮั๊ววู่เด๋า ไม่ทันที่ฮั๊ววู่เด๋าจะได้จากไป ทุกๆ คนก็ได้ขวางทางตัวเขาเอาไว้ซะก่อน
“ผู้อาวุโสฮั๊ว นางเป็นยังไงบ้าง?”
ฮั๊ววู่เด๋าได้ไอออกมา หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้ฝืนตอบกลับมา “นางไม่เป็นไรแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้นสีวู่หยาก็รู้สึกโล่งไปทั้งตัว
“ผู้อาวุโสฮั๊ว ไหนบอกว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะช่วยเหลือนางน่ะ?” ซู่ฮ่องกงได้ถามออกมา
“ข้าน่ะเหรอที่พูด?”
“ท่านไม่ได้พูดหรอกหรอ?”
“ข้าไม่ได้คิดแบบนั้นเลย” ฮั๊ววู่เด๋าไม่กล้าที่จะแสดงออกอะไรอีก ตัวเขาได้เดินออกจากห้องไป
ในครั้งนี้ไม่มีใครคิดหยุดฮั๊ววู่เด๋าเอาไว้
หลังจากที่ผู้อาวุโสทั้งสามจากไปทุกคนก็ได้แต่กลอกตามองบน
“ข้าบอกแล้วว่าท่านอาจารย์ต้องทำได้!” หยวนเอ๋อได้พูดต่อ
จ้าวยู่ที่ได้ฟังแบบนั้นได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมา “พอได้แล้ว ปล่อยให้นางได้พักผ่อนอย่างสงบกันเถอะ
ทุกๆ คนที่ได้ยินดังนั้นได้แยกย้ายออกจากห้องของหย่งหนิงไป
…
ในตอนนั้นเอง
ลู่โจวไม่ได้เดินกลับไปยังศาลาตะวันออก ตัวเขาได้เดินเข้าไปที่ป่าด้านหลังภูเขาแทน ลู่โจวที่ได้เดินเข้าไปได้พบกับพืชพรรณที่ได้เหี่ยวเฉา ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นได้ยกมือขึ้น
พลังตัวอักษรของเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ได้ผุดขึ้นมาในใจของลู่โจวอีกครั้ง
“เยือนทุกสถานที่ เยือนทุกสรรพสิ่งโดยที่ไม่ต้องเคลื่อนไหว เก็บเกี่ยวทุกความรู้เก็บเกี่ยวทุกความรู้สึก”
ดอกบัวสีฟ้าขนาดเล็กได้ปรากฏขึ้นมาจากฝ่ามือของเขาก่อนที่จะส่องแสงสีฟ้าจางๆ ออกมา
ลู่โจวจงใจที่จะระงับการระเบิดพลังของพลังวิเศษที่ตัวเขามี ตัวเขาได้ปล่อยมันออกมาอย่างช้าๆ ก่อนที่จะผลักมันไปด้านหน้า
ดอกบัวสีฟ้าได้พุ่งออกมาจากฝ่ามือของลู่โจวก่อนที่จะตกลงบนต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา ต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัด มันเริ่มแตกกิ่งก้านก่อนที่จะเติบโตอีกครั้ง บางทีมันอาจจะเป็นเพราะลู่โจวได้ใช้พลังวิเศษเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เพราะแบบนั้นต้นไม้ที่ได้รับพลังไปจึงเติบโตขึ้นมาเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะหยุดตัวเองลง
สิ่งนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าลู่โจวนั้นคิดถูก