My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 420
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะมองไปยังสีวู่หยาที่เพิ่งจะคุกเข่าลง “ถ้าหากเจ้าตอบข้าได้ ข้าก็จะนับถือเจ้าว่าเป็นอาจารย์เอง”
“…” สีวู่หยาตัวสั่นไปทั้งตัว ตัวเขารู้สึกหนาวไปถึงกระดูก ถ้าหากอาจารย์ของเขาคนนี้เป็นเหมือนแต่ก่อน ชายชราคนนี้ก็คงจะใช้กำลังลงโทษตัวเขาไปแล้ว แต่อาจารย์ในตอนนี้กลับไม่สนใจ ตัวเขาเลือกที่จะถามกลับมาแทน สีวู่หยาเริ่มเชื่อขึ้นมาแล้วว่าทัศนคติของผู้เป็นอาจารย์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
ทุกๆ คนต่างก็จ้องมองลู่โจวด้วยความตกตะลึง ลู่โจวต้องมั่นใจว่าคำพูดที่ตัวเขากำลังจะสั่งสอนจะสามารถเปิดใจของสีวู่หยาได้
สีวู่หยาไม่กล้าที่จะตอบอะไรกลับมา ตัวเขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามอง
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะใช้ความคิด ในฐานะที่ลู่โจวเป็นผู้ที่มาจากต่างโลก ตัวเขาสามารถที่จะถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องของคณิตศาสตร์อย่างแคลคูลัสได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางคณิตศาสตร์ระดับโลกหรือปัญหาทางวิชาการก็แล้วแต่ มันจะต้องทำให้สีวู่หยาตอบกลับมาไม่ได้แน่ แต่การที่จะทำอะไรแบบนั้นมันเป็นเรื่องที่ไร้ความหมาย มันไม่ใช่วิธีการที่ดีเลยที่จะสั่งสอนสีวู่หยาด้วยวิธีการแบบนั้น มันเป็นหน้าที่ของผู้ที่เป็นอาจารย์ที่ตัวเขาจะต้องสั่งสอนศิษย์ตัวเองให้ได้ดี หลังจากที่ใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ในที่สุดตัวเขาก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้น “ผู้ที่มีอำนาจไม่ควรที่จะเกรงกลัวการขาดแคลน ถ้าหากข้ามีอาวุธเพียงแค่แปดชิ้น…ข้าจะแจกจ่ายมันทั้งหมดให้กับศิษย์ของข้าอย่างเท่าเทียมได้ยังไงกัน?”
สีวู่หยาผงะ ตัวเขารู้สึกสับสนว่าควรจะตอบคำถามกลับไปได้ยังไง
ทุกๆ คนต่างก็หันมามองสีวู่หยา อาวุธทั้งแปดชิ้นจะแบ่งให้สาวกทั้งเก้าได้ยังไงกัน? นอกจากนี้มันยังเป็นการแบ่งปันกันอย่างเท่าเทียม อาวุธจะยังคงเป็นอาวุธถ้าหากถูกแยกออกมาแล้วอย่างงั้นเหรอ? หรือจะต้องฆ่าลูกศิษย์สักคนก็เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมาย? มันจะต้องตอบว่าอะไรกัน?
“ตอบข้ามา” ลู่โจวได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมากยิ่งขึ้น
ลู่โจวดูเหมือนจะจงใจต้อนสีวู่หยาให้จนตรอก แต่คนอื่นๆ ต่างก็คิดว่าสิ่งที่ได้เห็นมันมีความหมายมากกว่าที่ได้เห็นแน่ สีวู่หยาจะกล้าตอบหรือไม่? หรือตัวเขาคิดที่จะกบฏ พยายามที่จะให้อาจารย์ของตัวเองพยายามเรียกตัวเองว่าอาจารย์ไหม?
“ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนมีที่มา…ถ้าหากเป็นเช่นนั้นต้นกำเนิดของโลกใบนี้คืออะไร?” ลู่โจวถามอีกครั้ง
เมื่อได้ยินแบบนั้นสีวู่หยาก็ได้แต่ตัวสั่น
ลู่โจวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นอีกครั้ง “ตอบข้ามา!”
“…” มีคำตอบสำหรับคำถามพวกนี้จริงๆ หรือ แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งหมดเองก็ยังคงส่ายหัว นับประสาอะไรกับสีวู่หยา แม้แต่สีวู่หยาก็ไม่สามารถตอบคำถามพวกนี้ได้
หลายปีก่อนมีคนถามคำถามนี้ในโลกยุทธภพ ในตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นชาวพุทธ, ลัทธิขงจื๊อ หรือแม้ลัทธิเต๋าก็ตามต่างก็ถกเถียงกันอย่างจริงจังเกี่ยวกับเรื่องที่คล้ายกัน ถ้าหากมีคำตอบจริง สีวู่หยาก็คงจะไม่จนปัญญาเช่นนี้
“ตอบไม่ได้อย่างงั้นเหรอ?” ลู่โจวมองไปที่สีวู่หยา
สีวู่หยาส่ายหัว ตัวเขาไม่กล้าที่จะแอบอ้างว่าตัวเองเป็นนักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่าจะภาคภูมิใจในตัวเองมากสักแค่ไหนแต่ตัวเขาก็ไม่มีความกล้ามากพอ
“ถ้าหากมันเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ ทุกคนอาจจะคิดว่าข้ารังแกเจ้า…” ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะครุ่นคิด ในตอนนั้นตัวเขาก็นึกถึงเรื่องของการแยกดอกบัวทองคำ ความจริงจะกลายเป็นความจริงได้เพียงเพราะทุกคนเชื่อถืออย่างงั้นเหรอ? กาลิเลโอเคยปล่อยให้ลูกเหล็กทั้งสองก้อนตกลงมาอย่างพร้อมกันเพียงเพื่อจะพิสูจน์ความจริง ในทำนองเดียวกันดอกบัวทองคำเป็นของที่จำเป็นที่จะต้องมีอย่างงั้นหรอ?
เมื่อคิดได้แบบนั้นลู่โจวก็ได้ถามออกมาอีกครั้ง “ผู้ฝึกยุทธจะต้องสร้างดอกบัวทองคำเพื่อที่จะขึ้นไปสู่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์และต้องผลิกลีบดอกบัวทองคำก็เพื่อที่จะพัฒนาตัวเอง ข้าอยากที่จะถามเจ้าว่าอะไรเกิดก่อนกันระหว่างดอกบัวกับกลีบดอกบัว?”
สีวู่หยาประหลาดใจเล็กน้อย คำถามนี้มันคืออะไรกัน? เมื่อผู้ฝึกยุทธสร้างพลังอวตารร้อยวิถี คนคนนั้นก็จะต้องสร้างดอกบัวทองคำก็เพื่อที่จะผลิกลีบต่อไป อย่างไรก็ตามสีวู่หยาไม่กล้าที่จะตอบคำถาม ตัวเขาได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจเพียงเท่านั้น
ทุกๆ คนต่างก็พบว่าเรื่องที่ได้ฟังมันฟังดูแปลก
“ไม่มีดอกบัวทองคำและจะมีกลับดอกบัวได้ยังไงกัน? มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่จะต้องเป็นดอกบัวทองคำเกิดก่อน” ฮั๊ววู่เด๋าได้ตอบกลับมา
“ถ้าหากเรื่องของการแยกดอกบัวทองคำเป็นเรื่องจริง…ถ้าหากมีคนที่แยกดอกบัวทองคำออกจากพลังอวตารได้ก็เป็นไปได้ที่จะมีกลีบดอกบัวเกิดก่อนดอกบัวทองคำ” ฝานลี่เทียนพูดออกมา
“ปัญหาคือยังไม่มีใครทำสำเร็จ”
คนอื่นๆ เริ่มพูดคุยเรื่องนี้อย่างจริงจัง เมื่อพวกเขากลับมาพูดถึงเรื่องการแยกดอกบัวทองคำ ทุกคนก็เริ่มสงสัยว่าการแยกดอกบัวทองคำเป็นเรื่องที่ผิดพลาดตั้งแต่แรกไหม?
ตลอดหลายวันมานี้ศาลาปีศาจลอยฟ้ายังได้รับข้อมูลบางอย่างจากโลกภายนอก จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข่าวที่มีผู้แยกดอกบัวทองคำและยังมีชีวิตรอดอยู่ได้
สีวู่หยาไม่จำเป็นจะต้องตอบคำถาม เพราะคำตอบที่ผู้อาวุโสทั้งสองตอบมันชัดเจนมากแล้ว
ลู่โจวไม่ได้คาดคิดว่าทุกคนจะให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าหากศิษย์คนที่สองของตัวเขายู่ฉางตงไม่ได้ประสบความสำเร็จในการแยกดอกบัวทองคำ ลู่โจวก็คงจะไม่คิดถามคำถามนี้แน่ ตัวเขามองไปที่สีวู่หยาอย่างสงบ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ลู่โจวเองก็สงสัย แต่เมื่อยู่ฉางตงตอบกลับมาคำถามนี้ก็ได้ถูกคลี่คลายไป
“คิดให้ดีก่อนที่จะตอบคำถามข้า” ลู่โจวกำลังที่จะหันหลังก่อนที่จะกลับไปยังศาลาทางตะวันออก ในตอนนั้นเองจ้าวยู่ก็ได้เดินมาพร้อมกับจดหมายในมือ “ท่านอาจารย์ มีจดหมายจากเจียงอาเฉียน”
“อ่านซะ”
จ้าวยู่ได้กางจดหมายออกก่อนที่จะเริ่มอ่านออกเสียง “ผู้อาวุโส เรื่องของการแยกดอกบัวทองคำได้แพร่มาถึงพระราชสำนักแล้ว พระราชสำนักได้รวบรวมคนกว่าร้อยเพื่อทำการทดลอง ในหลายวันมานี้มีคนกว่าสิบคนได้ตัดดอกบัวทองคำไป และมีเพียงคนเดียว ผู้อาวุโส…ข้ากำลังรู้สึกว่าตัวเองจะได้อยู่ในประวัติศาสตร์ ฮาฮ่า..”
จ้าวยู่ไม่ต้องการที่จะอ่านต่อ นางมักจะรำคาญคำว่า ‘ฮาฮ่าฮ่า’ ที่เป็นคำลงท้ายในจดหมายเสมอ นางได้เงยหน้าขึ้น นางพบว่าทุกคนกำลังมีสีหน้าที่ตกตะลึง จ้าวยู่ที่ใช้ความคิดอยู่กับคำลงท้ายไม่ทันได้จับใจความข้อความในจดหมาย
ท้ายจดหมายระบุเอาไว้ว่ามีคนหนึ่งที่รอดชีวิต
ทุกคนที่อยู่ที่นั่นได้นิ่งเงียบไป
ในที่สุดฝานลี่เทียนก็เป็นฝ่ายที่พูดออกมา “นี่หมายความว่ามันเป็นไปได้สินะที่จะเอาชีวิตรอดได้จากการแยกดอกบัวทองคำ…”
“งั้นกลีบดอกบัวก็มาก่อนดอกบัวทองคำอย่างงั้นสินะ?”
แม้ว่าผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์จะยังไม่เข้าใจคำถามดี แต่สำหรับเล้งลั่ว, ฝานลี่เทียน และฮั๊ววู่เด๋ารู้ดีว่าปัญหาทั้งหมดอยู่ที่ดอกบัวทองคำ
สีวู่หยาขมวดคิ้ว สีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินได้แสดงออกบนใบหน้าของตัวเขา เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนตัวเขามั่นใจว่าคำตอบที่คิดเอาไว้จะต้องถูกต้อง แต่ในตอนนี้คำตอบของเขาถูกพิสูจน์ออกมาแล้วว่ามันผิด ตัวเขารู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง ความอับอายนี้ทำให้สีวู่หยาเจ็บปวดมากกว่าได้รับบาดเจ็บจากร่างกายภายนอกซะอีก
ลู่โจวเหลือบมองไปที่สีวู่หยา ตัวเขายังคงนิ่งเงียบก่อนที่จะมองไปยังศาลาทางตะวันออก
“ขอให้เดินทางปลอดภัยท่านอาจารย์”
ทุกๆ คนเหลือบมองสีวู่หยาก่อนที่จะลงจากภูเขาไปเช่นกัน
ซู่ฮ่องกงคือคนเดียวที่ยังอยู่ ตัวเขาได้เดินไปข้างๆ สีวู่หยาก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์พี่เจ็ด ท่านเพิ่งจะกลับมา ทำไมท่านไม่พักผ่อนก่อนล่ะ?”
เมื่อลู่โจวเดินหายไปจากสายตา สีวู่หยาก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง “ข้าจะไปนอนหลับลงได้ยังไงกัน?” สีวู่หยาได้ถามกลับมา “คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นคนน้อก ในฐานะที่ข้าเป็นศิษย์ของศาลาปีศาจลอยฟ้าข้าจะต้องไม่นำพาความอับอายมาสู่ศาลาปีศาจลอยฟ้า”
ซู่ฮ่องกงเกาหัวของตัวเอง “ดูเหมือนท่านจะพูดมีเหตุผล…ท่านไม่สามารถตอบคำถามของท่านอาจารย์ได้จริงๆ อย่างงั้นเหรอ?”
“ขอให้เดินทางปลอดภัยท่านปรมาจารย์”
สีวู่หยาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ “มันเป็นคำถามที่คลุมเครือ เป็นเรื่องปกติที่คนที่ถูกถามจะไม่สามารถตอบคำถามได้น่ะ”
“ศิษย์พี่พักผ่อนให้พอเถอะ ข้าเองขอตัวก่อน”
…
เมื่อลู่โจวกลับมาที่ศาลาทางตะวันออก ลู่โจวก็เดินไปยังโต๊ะ ตัวเขาได้หยิบพู่กันออกมา ก่อนที่จะวาดดอกบัวทองคำลงบนกระดาษ
หลังจากที่ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งลู่โจวก็ได้ลูบเคราก่อนที่จะพยักหน้า
ตอนนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าการแยกดอกบัวทองคำออกจากร่างอวตารเป็นสิ่งที่สามารถทำได้จริง ขั้นตอนต่อไปก็คือการเพิ่มโอกาสที่จะเอาชีวิตรอด แน่นอนว่าปัญหาส่วนนี้คนทั่วทั้งยุทธภพจะต้องสามารถหาวิธีที่ดีกว่าตัวของลู่โจวได้แน่ รวมกันหลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว เมื่อลู่โจวกำลังจะทำสมาธิเพื่อทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ตัวเขาก็ได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากด้านนอก “ท่านอาจารย์!ขอให้ท่านอาจารย์อายุยิ่งยืนยาว!”
เมื่อได้ยินแบบนั้นลู่โจวก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร มันจะต้องเป็นซู่ฮ่องกงไม่ผิดแน่ “เข้ามา”
ซู่ฮ่องกงเข้ามาก่อนที่จะคุกเข่าลงกับพื้น “ท่านอาจารย์…ข้ารู้สึกว่าศิษย์พี่เจ็ดจะไม่เต็มใจที่จะยอมรับผลที่เกิดขึ้นเลย”
“ไม่เต็มใจอย่างงั้นหรอ?” ลู่โจวมองไปที่ซู่ฮ่องกงด้วยความสับสน แม้แต่ตัวเขาเองก็ตอบคำถามนี้ไม่ได้เช่นกัน อย่าว่าแต่สีวู่หยาเลย มันมีอะไรที่ไม่เต็มใจจะยอมรับได้กัน?
“เขาบอกว่าคำถามของท่านคลุมเครือ และเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจะไม่สามารถตอบคำถามได้” ซู่ฮ่องกงได้พูดออกมาอย่างลังเลใจ
ลู่โจวขมวดคิ้ว เป็นไปตามคาด สีวู่หยาเป็นคนที่แข็งกร้าวมากกว่ายู่ฉางตงซะอีก
‘เอาล่ะฉันจะทำอะไรได้บ้าง’
ทันใดนั้นเองตัวเขาก็นึกถึงความทรงจำที่รู้สึกกลัวเกี่ยวกับการแก้ไขโจทย์ทางคณิตศาสตร์ขึ้นมา ใบหน้าซีดๆ ของลู่โจวกระตุกขึ้นมา ตัวเขาไม่จำเป็นเลยที่จะต้องสร้างปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหรือยกคำถามเกี่ยวกับสุดยอดทฤษฎีในโลกใบเดิม ท้ายที่สุดแล้วลู่โจวก็ไม่สามารถพิสูจน์ทุกอย่างต่อหน้าทุกคนได้ด้วยตัวเองอยู่ดี ในท้ายที่สุดสีวู่หยาก็ยังคงดื้อรั้นอยู่
ลู่โจวได้โบกมือขึ้น ในตอนนั้นกระดาษแผ่นหนึ่งก็ได้ลอยเข้าหาตัวเขา ตัวเขาได้ยกพู่กันขึ้นก่อนที่จะเขียนโจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์จากภาษาของโลกใบนี้ กระดาษแผ่นนั้นเต็มไปด้วยหมึกสีดำ หลังจากที่เขียนเสร็จลู่โจวก็ได้วางพู่กันลงก่อนที่จะพูดขึ้น “เอาไปให้เขาซะ”
“ครับ ท่านอาจารย์”