My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 411
สีวู่หยาไม่ได้สนใจเรื่องของสาวกใหม่ทั้งสอง ตัวเขาได้เดินไปยังความเร็วปกติ
ฝานซงและโจวจี้เฟิงเดินตามหลังมาติดๆ ทั้งสองคนเชื่อมั่นกันเกินไปว่าชายที่อยู่ตรงหน้าคือศิษย์คนแรกของศาลาปีศาจลอยฟ้า สีวู่หยาคุ้นเคยกับทั่วทุกทิศทางของหุบเขาทองดี ไม่ว่าจะเป็นศาลาทางเหนือ, ใต้, ออก หรือตก ทั่วทุกที่สีวู่หยาเคยไปเยือนมาแล้วไม่ต่ำกว่าพันครั้ง
ตอนที่สีวู่หยาเดินทางมาถึง ตัวเขาก็ได้พูดโดยที่ไม่ได้หันมามองฝานซงและโจวจี้เฟิง “ศิษย์คนแรกของสำนักดาบสวรรค์ โจวจี้เฟิง และคนทรยศจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์ฝานซง” สีวู่หยารู้ตัวตนของทั้งสองคนดี
ฝานซงและโจวจี้เฟิงตกตะลึง
ก่อนที่พวกเขาจะได้ตอบโต้อะไรไป สีวู่หยาก็พูดออกมาใหม่ซะก่อน “ทุกคนเป็นยังไงกันบ้าง?”
ฝานซงไม่คิดที่จะตอบคำถามในทันที ตัวเขากำลังคิดว่านี่เป็นวิธีที่ศิษย์คนแรกของศาลาปีศาจลอยฟ้าใช้ทักทาย เพราะแบบนั้นตัวเขาก็ควรที่จะคิดให้ดีก่อนตอบ
‘แค่ได้มองและฟังคำพูดของชายคนนี้ก็รู้ได้ทันทีว่ามันยิ่งใหญ่แค่ไหน แม้ว่าจะเป็นคำพูดที่ไม่ได้มากมายอะไรแต่มันกลับฟังได้หลายความหมาย เขาถามถึงอาการของทุกๆ คนทันทีที่มาถึง’
ฝานซงเกาหัวของตัวเองก่อนที่จะตอบกลับ “ขอบคุณที่ถามไถ่ ท่านศิษย์คนที่หนึ่งข้าสบายดี ไม่เพียงสถานที่แห่งนี้จะยอดเยี่ยมเท่านั้น ผู้คนที่อยู่ที่นี่ยังเป็นมิตรและเข้าถึงง่ายอีกด้วย”
สีหน้าของสีวู่หยายังคงดูนิ่งสงบ ตัวเขาได้หันหลังกลับไปก่อนที่จะคิดอะไรบางอย่าง สีวู่หยาไม่คิดที่จะโกรธเคืองและไม่คิดที่จะตำหนิอะไรที่พวกเขาตอบไม่ตรงคำถาม สีวู่หยาเลือกที่จะตอบในท้ายที่สุด “ดีแล้ว”
“ท่านศิษย์คนที่หนึ่งภายในถ้ำอากาศเหน็บหนาว ข้าจะหาที่นอนและผ้าห่มให้กับท่านเอง” ฝานซงพูดต่อ
เสียงของฝานซงยังไม่ทันจะจางหายไปในตอนนั้นเองก็มีใครเดินมาซะก่อน
ฝานซงและโจวจี้เฟิงมองเห็นต้วนมู่เฉิงที่ถือหอกราชันย์ของตัวเองมา ต้วนมู่เฉิงมองทั้งสองคนด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม พวกเขารู้ได้ทันทีว่าต้วนมู่เฉิงกำลังอารมณ์ไม่ดี
“ท่านศิษย์คนที่หนึ่งได้โปรดอย่าถือสาเลย…ท่านศิษย์คนที่สามก็มักจะเป็นเช่นนี้แหละ” ฝานซงตอบกลับมา
แคล๊ง!
หอกราชันย์ได้กระทบเข้ากับพื้น
“เจ้ามันสารเลว!”
ฝานซงตกตะลึง ตัวเขาไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีกต่อไป ‘ท่านต้วนมู่เฉิงดูเหมือนจะอารมณ์ร้อนเกินไป อันที่จริงท่านศิษย์คนที่หนึ่งถูกไล่ออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าโดยที่ไม่ทราบสาเหตุแท้ๆ แต่ถึงแบบนั้นเขากลับกล้าพูดเช่นนี้กับผู้เป็นศิษย์พี่ตัวเอง’
ฝานซงกำลังจะอ้อนวอนขอขมาแทน แต่สีวู่หยาก็ได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมาก่อน “สวัสดีศิษย์พี่สาม”
ฝานซงและโจวจี้เฟิงตกตะลึง ‘พวกเราทำผิดพลาดไปอีกแล้วสินะ’
ต้วนมู่เฉิงไม่ได้สนใจอะไร ตัวเขายกหอกราชันย์ของตัวเองก่อนที่จะเดินไปผ่านไปอย่างไร้ความรู้สึก ตัวเขาเหลือบมองฝานซงและโจวจี้เฟิงก่อนที่จะเตะพวกเขาทั้งคู่
“อ๊ากก!” ฝานซงและโจวจี้เฟิงกระเด็นชนกัน ทุกคนต่างก็จ้องมองไปยังต้วนมู่เฉิงราวกับเป็นผู้แพ้ ทั้งสองไม่กล้าที่จะพูดอะไร
ต้วนมู่เฉิงได้พูดออกมา “พวกเจ้าหมายความว่าอะไรกันที่ขอให้ศิษย์คนที่หนึ่งถือสาน่ะ? ศิษย์น้องเจ็ด นี่เป็นแผนที่เจ้าสั่งสอนให้กับเจ้าพวกนี้อย่างงั้นสินะ?”
ฝานซงและโจวจี้เฟิงเข้าใจได้ทันที
สีวู่หยาไม่ได้สนใจอะไรทั้งสองคน ตัวเขาได้โค้งคำนับอีกครั้ง “สวัสดีศิษย์พี่สาม” คราวนี้การทักทายดูเป็นทางการมากกว่าเดิม
ต้วนมู่เฉิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้ามันไร้ยางอายเกินกว่าที่จะกลับมา”
“ข้าละอายใจจริงๆ” สีวู่หยาตอบกลับมาอย่างใจเย็น
“ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา เจ้าน่ะสร้างปัญหาให้กับโลกทั้งใบอยู่เสมอ ในท้ายที่สุดเจ้าก็กลับมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า ดูสิว่าที่เจ้าต้องการที่จะบงการศาลาปีศาจลอยฟ้าไปทางไหน? เจ้าคิดว่าคนอื่นๆ จะยอมอยู่ภายใต้คำสั่งของเจ้าเพียงเพราะว่าเจ้าฉลาดหลักแหลมอย่างงั้นสินะ?” ต้วนมู่เฉิงได้พูดออกมา
“ท่านพูดถูกแล้วศิษย์พี่สาม” สีวู่หยาตอบกลับมาอย่างไร้ความรู้สึก
พรึ๊บ!
ต้วนมู่เฉิงได้ยกหอกราชันย์ของตัวเองก่อนที่จะชี้ไปยังสีวู่หยา “อย่าคิดว่าข้าจะให้อภัยเจ้าเพียงเพราะเจ้าพูดยอมรับกับข้าตรงๆ แบบนี้!”
สีวู่หยาเห็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์ที่อยู่ในมือของต้วนมู่เฉิง ตัวเขาดูไม่แปลกใจเท่าไหร่ สีวู่หยาตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้ภายในเมืองแห่งหนึ่งของมณฑลเหลียง ท่านน่ะเป็นคนที่กล้าหาญยิ่งกว่าใครๆ ข้าแน่ใจจริงๆ ว่าท่านจะไม่ยอมเหยียบย้ำซ้ำเติมคนล้มแบบข้าแน่”
ต้วนมู่เฉิงตอบกลับมา “เข้าไม่รับรองหรอกนะ”
พรึ๊บ!
ต้วนมู่เฉิงจับไปที่ใจกลางหอกราชันย์ก่อนที่จะควงมัน ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ได้ชี้หอกราชันย์ไปต่หน้าสีวู่หยาอีกครั้ง “ศิษย์น้องสี่พูดถูกจริงๆ พวกเราไม่จำเป็นเลยที่จะต้องให้ความยุติธรรมกับชายผู้น่ารังเกียจแบบเจ้า ท่านอาจารย์เคยบอกเอาไว้ว่าในโลกนี้ไม่มีความยุติธรรมที่แท้จริงอยู่ แสดงให้เห็นออกมาซะว่าเจ้าน่ะพัฒนาไปมากขึ้นแค่ไหนกัน เจ้าคนทรยศกระหายเลือด….” หอกราชันย์ของต้วนมู่เฉิงส่องประกาย ในตอนนั้นเองมันได้พุ่งใส่สีวู่หยาดูคล้ายกับมังกร
พรึ๊บ! พรึ๊บ! พรึ๊บ!
สีวู่หยาได้ใช้ปลายเท้าของตัวเองเคาะไปที่พื้นก่อนที่จะถอยกลับ
ทั้งคู่ต่างก็หยุดนิ่งไปชั่วขณะ
ฝานซงและโจวจี้เฟิงรีบถอยกลับไป พวกเขาได้แต่สังเกตการณ์การต่อสู้จากทางด้านข้าง
“พี่ฝาน…ข้าจะไม่เชื่อท่านอีกแล้ว” โจวจี้เฟิงพูดออกมา
“เอาหน่า หุบปากซะ!”
โจวจี้เฟิงปาดเหงื่อบนใบหน้าก่อนที่จะถามออกมา “แล้วใครกันที่แข็งแกร่งกว่า? ศิษย์คนที่สามหรือศิษย์คนที่เจ็ดกัน?”
ฝานซงมองไปที่ศิษย์สาวกทั้งสองก่อนที่จะพูดออกมาเบาๆ “ข้าเดาว่าศิษย์คนที่เจ็ดน่าจะมีฝีมือที่มากกว่า เจ้าลองคิดดูสิ…เขาสามารถใช้พลังวรยุทธที่มีเปลี่ยนให้ดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ให้ตกอยู่ในความวุ่นวายได้ พวกเราไม่ควรที่จะตัดสินหนังสือจากหน้าปก ไม่ควรที่จะวัดน้ำทะเลด้วยเหยือกน้ำ นอกจากนี้ข้ายังเคยได้ยินศิษย์คนที่แปดได้พูดเอาไว้ เขาได้บอกเอาไว้ว่าไม่มีใครสามารถทำให้ศิษย์พี่คนที่เจ็ดของเขาใช้พลังอย่างเต็มที่ได้มาก่อน”
“เขาแข็งแกร่งถึงขนาดนั้นเลยอย่างงั้นหรอ?”
“พวกเราแค่เฝ้าดูต่อไปก็พอ”
ทั้งสองคนได้จบการสนทนาอยู่เพียงแค่นั้น
ต้วนมู่เฉิงกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากนั้นตัวเขาก็ใช้มือทั้งสองข้างที่จับด้ามหอกเอาไว้พุ่งตัวลงมา ในตอนนั้นเองเงาของหอกนับพันก็ได้ปรากฏขึ้นจากกลางอากาศ
วิชายุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์!
เงาหอกนับไม่ถ้วนได้ทิ่มแทงสีวู่หยาอย่างไม่หยุดพัก
สีวู่หยาได้ปล่อยพลังออกมาเป็นครั้งคราว
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
สีวู่หยาที่ใช้พลังป้องกันตกใจ เงาของหอกได้ทำลายพลังของตัวเขาไปอย่างง่ายดาย ในตอนนั้นเองสีหน้าของสีวู่หยาก็เริ่มเปลี่ยนไป ตัวเขารีบหยกแขนของตัวเองออกมาป้องกัน
ตู๊ม!
สีวู่หยาพลิกตัวลอยไปกลางอากาศ ตัวเขาเดินเซถอยหลังกลับไปเล็กน้อย แขนของสีวู่หยาด้านชาจากแรงสั่นสะเทือน ใบหน้าของตัวเขาซีดเผือด
ต้วนมู่เฉิงได้ชักหอกราชันย์กลับมา ตัวเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะโจมตีอีกต่อไป “เจ้ามีดีแค่นี้อย่างงั้นสินะ?”
สีวู่หยาคารวะผู้เป็นศิษย์พี่ “ข้ารู้สึกประทับใจจริงๆ ที่พลังวรยุทธของท่านลึกล้ำขึ้นทุกวัน ศิษย์พี่สาม”
ฝานซงและโจวจี้เฟิงพูดไม่ออก
โจวจี้เฟิงกลอกตามองไปที่ฝานซงอย่างสงสัย สีหน้าของเขาเป็นคำตอบอย่างดี ดูเหมือนว่าคำตอบของฝานซงจะไม่สามารถเชื่อถืออะไรได้เลย
ต้วนมู่เฉิงเก็บหอกราชันย์ไป ตัวเขาได้หมุนมันในมือก่อนที่จะพาดลงบนไหล่ “เจ้าน่ะกลับเข้าไปในถ้ำซะเถอะ หรือว่าเจ้าจะต้องรอให้ข้าเชิญชวนเจ้าให้เข้าไปที่ถ้ำกัน?”
สีวู่หยาพยักหน้า ตัวเขาไม่ได้คิดต่อต้านอะไร สีวู่หยายอมกลับไปที่ถ้ำแห่งเงาสะท้อนโดยที่ไม่พูดอะไรอีก
ด้านหลังของหุบเขาทองเงียบสงบอีกครั้ง
“พลังวรยุทธของข้าอะไรทุกวัน?” สีหน้าของต้วนมู่เฉิงที่พูดแบบนั้นดูน่ากลัว “เจ้ากำลังหมายความว่าฝีมือของข้ายังคงเหมือนกับก่อนหน้านี้อย่างงั้นสินะ”
“…”
“พวกเจ้าทั้งสองคนมากับข้า เลิกคิดที่จะพักผ่อนกันได้แล้ว พวกเจ้าจงมาฝึกกับข้าซะ” ต้วนมู่เฉิงไม่ได้คิดติดใจกับสิ่งที่สีวู่หยาพูด ตัวเขาเดินไปหาทั้งสองคนอย่างเป็นมิตรก่อนที่จะถือหอกราชันย์มาตรงหน้า ต้วนมู่เฉิงได้คว้าคอเสื้อทั้งคู่จากทางด้านหลังก่อนที่จะลากพวกเขาทั้งคู่ไปยังสถานที่ฝึกซ้อม
สีหน้าของฝานซงและโจวจี้เฟิงต่างก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ทั้งคู่ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองถูกลากตัวไป
…
ตกดึก
ลู่โจวลืมตาตื่นขึ้นมา หลังจากที่ตัวเขาทำสมาธิมากว่าครึ่งวัน พลังวิเศษของลู่โจวก็เริ่มถูกสร้างกลับมาเล็กน้อยแล้ว แต่อย่างไรก็ตามหนทางก็ยังอีกยาวไกล มีแต่ต้องทำสมาธิต่อไปเท่านั้นถึงจะฟื้นคืนพลังทั้งหมดกลับมาได้
ลู่โจวเรียกเมนูระบบออกมา
ชื่อ: ลู่โจว
ตัวตน: มนุษย์จากดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่
พลังวรยุทธ: ขั้นศักดิ์สิทธิ์
แต้มบุญ: 42,800
พลังอวตาร: ทศภพ
อายุคงเหลือ: 9,763 วัน
ของที่มี: การ์ดการโจมตีของเพชฌฆาต x1, การ์ดประกันชีวิต x62, การ์ดกรงผนึกกักขัง x4, การ์ดระเบิดจุดสุดยอดจีเทียนเด๋า x1, วิซซาร์ด (กำลังพักผ่อน) , บี่เอี๊ยน, การ์ดรักษาฉุกเฉิน x2, การ์ดรักษาฉุกเฉินโฉมใหม่ x2, การ์ดคลื่นพลังสายฟ้า x1, การ์ดพลังชีวิต x33
อาวุธ: อาวุธนิรนาม, กระบี่ตัดชีวา, แส้หยกหางม้า (ต้องการการขัดเกลา) , พัดขนนกยูง (ต้องการการขัดเกลา)
เคล็ดวิชา: เคล็ดวิชาอักษรสวรรค์สามส่วน
นั่นคือของทั้งหมดที่ลู่โจวได้มาจากศึกที่เมืองแห่งหนึ่งภายในมณฑลเหลียง สีวู่หยาสามารถสังหารชนเผ่าอื่นจนทำให้ตัวเขาได้แต้มบุญมาจนเกือบ 2,000
ลู่โจวได้พึมพำออกมากับตัวเอง “อีกก้าวแล้วสินะ…ฉันอยู่ห่างจากพลังขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์แค่ขั้นเดียวเท่านั้น” ในตอนที่ลู่โจวมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ตัวเขาก็จะนับว่าได้เข้าสู่โลกยุทธภพไปอย่างแท้จริง
ลู่โจวโบกมือของตัวเอง เมนูระบบทั้งหมดได้หายไป เมื่อนึกได้ว่ามีสิ่งที่ต้องทำความคิดที่จะใช้แต้มบุญที่ซ่อนอยู่ในใจลึกๆ ของลู่โจวก็ได้จางหายไป ในตอนนั้นเองมีใครบางคนกำลังทำความสะอาดอยู่ที่ด้านนอกศาลา ลู่โจวที่รู้แบบนั้นจึงได้สั่งการออกไป “พาสีวู่หยามาที่นี่ซะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว”