Mechanical God Emperor - ตอนที่ 299
299 – ปิดล้อมเมืองโบรกัส
พระราชวังหลวงภายในเมืองโฮลี่เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิมอร์ริส ซึ่งเมื่อจักรพรรดิได้ขึ้นครองบัลลังก์ เขาจะได้ครอบครองพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่และในการครอบครองอำนาจจักรพรรดิ รัชทายาทต้องเอาชนะจักรพรรดิคนก่อนและยึดครองบัลลังก์มาให้ได้ ดังนั้นอาณาจักรอื่นๆในจักรวรรดิมอร์ริสจึงต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเมืองโฮลี่
เมื่ออังเดรได้ครอบครองเมืองโฮลี่และส่งคำสั่งออกไป นอกจากกองทัพของการ์ซ่าและกองทัพของเจ้าชายคนอื่นๆแล้ว กองทัพของอาณาจักรทั้งหมดจำเป็นต้องทำตามคำสั่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่เป็นกฎในจักรวรรดิมอร์ริสที่ทุกคนรับรู้
นี่เป็นเหตุผลที่อังเดรนำกองทัพกบฏมุ่งหน้าไปยังเมืองโฮลี่ พวกเขาไม่สนใจโจมตีอาณาจักรอื่นตลอดทั้งเส้นทาง
ในสายตาของเบอร์เลย์ มีความวิตกกังวลเกิดขึ้น เขาพูด “แต่ดยุคเอียนประมาทมากเกินไป วิธีการของเขาโหดร้ายมาก ผู้บัญชาการและแม่ทัพระดับสูงของทั้ง 6 กองทัพถูกจัดการทั้งหมด ความแข็งแกร่งของกองทัพทั้ง 6 ลดลงอย่างมาก ข้าคิดว่าอังเดรไม่ปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยไปแน่”
ผู้บัญชาการกองทัพทั้ง 6 ถูกสังหารทั้งหมดโดยหยางเฟย แม้ว่าหยางเฟยจะสามารถควบคุมกองทัพทั้ง 6 ได้โดยสมบูรณ์ แต่กองทัพก็อ่อนแอลงอย่างชัดเจน ด้วยความอ่อนแอของทหาร 120,000 นายของกองทัพทั้ง 6 พวกเขาอาจจะถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย
หลังจากผ่านการยึดครองเมืองต่างๆ อังเดรมีกองทัพมากกว่า 300,000 นายและหยางเฟยได้ทำลายกองทัพของตนเอง ตอนนี้เขามีทหารที่พร้อมรบเพียง 180,000 นาย ช่องว่างระหว่างทั้งสองฝั่งมีมากเกินไป
การ์ซ่าเริ่มสำนึกผิดและถอนหายใจออกมา “เขายังเด็กเกินไป!!”
เบอร์เลย์ยิ้มเล็กน้อย “ไม่จำเป็นต้องกังวลไปหรอกท่าน ดยุคเอียนเข้าใจสถานการณ์ของตนเองดี แม้จะมีกองทัพกว่า 300,000 นายบุกโจมตีเข้ามาก็ไม่อาจบุกยึดเมืองโบรกัสได้อย่างแน่นอน ตราบเท่าที่เขาป้องกันเมืองอย่างแน่นหนา เขาจะซื้อเวลาให้พวกเรากลืนกินอำนาจของอังเดร และในที่สุดชัยชนะจะตกเป็นของพวกเรา”
การ์ซ่ายังคงเต็มไปด้วยความกังวลและถอนหายใจช้าๆ “ข้าเองก็หวังเช่นนั้น!”
หลังจากที่อังเดรและกองทัพหลักได้รวมตัวกัน เป็นผลให้ตลอดทางที่ผ่านมา เมืองในอาณาจักรนิวทิสต่างยอมแพ้
การล้อมกรอบค่อยๆคืบคลานมาอย่างเชื่องช้า และปิดล้อมเมืองโบรกัสอย่างสมบูรณ์
หยางเฟยเพียงมองดูด้วยสายตาเยือกเย็น เขาเพียงส่งทหารม้าไปลอบโจมตีเป็นครั้งคราว และเมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพหลักของอังเดร เขาเลือกที่จะถอนตัวกลับเมืองโบรกัสทันที
ในสงครามที่ยิบย่อย หยางเฟยได้ลอบโจมตีทหารของอังเดรตายไปกว่า 4,000 นาย
อย่างไรก็ตาม อังเดรไม่ได้สนใจทหารที่ตายไป เขายังคงเคลื่อนทัพมาอย่างมั่นคงและค่อยๆปิดล้อมเมืองอย่างช้าๆ
หลังจากที่ปิดล้อมเมืองโบรกัสสำเร็จ อังเดรมีทหารทั้งสิ้น 460,000 นายที่กำลังล้อมกรอบเมืองโบรกัสอยู่
ภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้า ด้านนอกเมืองโบรกัสมีธงและค่ายทหารมากมายตั้งอยู่
เหนือกำแพงเมืองโบรกัส มีทหารบางคนกำลังมองศัตรูด้านนอกเมืองด้วยความหวาดกลัวในจิตใจ
ก่อนที่อังเดรจะเดินมาหน้าเมืองโบรกัส เขาตะโกนออกมา “ข้าคืออังเดร ท่านเอิร์ลเอียน ข้าต้องการเจรจากับท่าน!”
เสียงของอังเดรแฝงไปด้วยพลังปราณระดับอัศวินดวงดาว เสียงนั้นครอบคลุมไปทั่วทั้งเมือง ดูเหมือนว่ามันจะเข้าสู่รูหูของทุกคน
หยางเฟยมาพร้อมกับขุนนางนับไม่ถ้วนในเมืองโบรกัสและปีนกำแพง เขามองเห็นอังเดรในระยะไกล เขายิ้มบางๆ “ฝ่าบาท พวกเรามีอะไรต้องคุยกันอย่างนั้นรึ? ท่านต้องการบอกให้ข้ายอมแพ้รึ?”
“เอียน ข้าได้ระดมทหารกว่า 800,000 นายเข้าล้อมเมืองโบรกัส! ตอนนี้เจ้าเป็นเมืองที่โดดเดี่ยวแล้ว ไม่มีใครสามารถช่วยเจ้าได้ ทหารในเมืองของเจ้ามีไม่ถึง 300,000 นายและเจ้ายังกำจัดผู้บัญชาการกองทัพทั้ง 6 คนไปอีก กองทัพทั้ง 6 ของเจ้าอ่อนแอลงมาก มีทหารไม่ถึง 200,000 นายที่สามารถต่อสู้ได้จริง ไม่ถึง 3 วัน ข้าสามารถบดขยี้เมืองโบรกัสได้อย่างแน่นอน”
“เอียน ข้าชื่นชมในตัวเจ้ามาก ยอมแพ้ซะเถอะ ตราบใดที่เจ้ายอมแพ้ ข้าไม่เพียงแต่ไว้ชีวิตเจ้า แต่ข้ายังจะให้เจ้าเป็นเอิร์ลแห่งดินแดนรกร้างเรดเคลย์ต่อไป” อังเดรมองขึ้นมาและยิ้มอย่างมั่นใจ
หยางเฟยยิ้มเล็กน้อย “อังเดร ข้ามีทหารเพียง 300,000 นายก็จริง ถ้าท่านคิดว่าคำพูดของท่านเพียง 2-3 ประโยคทำให้ข้ายอมแพ้ได้ ท่านประเมินข้าต่ำไปแล้ว!”
อังเดรเผยรอยยิ้มออกมา เขาตบมือ “พูดได้ดี ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นถึงพลังที่แท้จริงของกองทัพแดนใต้”
จอมเวทย์สวมชุดคลุมสีดำ กระชากเสื้อสีดำออกและร่ายเวทย์ใส่ชุดคลุมทันที
แสงสีดำพุ่งยังไปชุดคลุมสีดำ มันลอยสูงขึ้นไป 30 เมตร และกระจายตัวออกมาเท่าสนามฟุตบอล ขาทั้ง 8 ขาปรากฏออกมาใต้ผ้าคลุม เกล็ดสีดำปกคลุมไปทั่วทั้งร่าง สัตว์ร้ายถือดาบสีดำปรากฏขึ้นมาในสายตาของทุกคน
เมื่อไครอนมองเห็นภาพตรงหน้า ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวในทันที เขาร้องเสียงหลงออกมา “นี่คือยักษ์อสูรเกล็ดดำ! บัดซบ นี่เป็นหนึ่งในอาวุธตีเมืองที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิ พวกมันกล้าใช้ยักษ์อสูร บัดซบจริงๆ!!!!”
เหนือกำแพงเมืองโบรกัส สายตาของทุกคนเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ในใจของทุกคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ยักษ์อสูรเกล็ดดำเป็นสัตว์ร้ายที่ถือกำเนิดมาจากเทพเจ้าแห่งสงคราม บาริออส ซึ่งได้บ่มเพาะพลังจากสัตว์หลากหลายชนิด
ยักษ์อสูรเกล็ดดำนั้นสามารถป้องกันการโจมตีเวทมนตร์ได้และยังมีความสามารถในการต้านทานเวทมนตร์และกายภาพ จุดอ่อนของมันเพียงอย่างเดียวคือการคลื่อนไหวที่เชื่องช้าและปฏิกิริยาตอบสนองช้า อย่างไรก็ตาม ในฐานะอาวุธตีเมือง มันมีคุณสมบัติเหมาะสมมาก
มีเพียงเมืองใหญ่ๆอย่างเมืองโบรกัสเท่านั้นที่สามารถต้านทานการโจมตีของยักษ์อสูรเกล็ดดำได้ บางเมืองที่มีกำแพงเล็กและต่ำ กำแพงเหล่านั้นถูกบดขยี้ได้ในการโจมตีเดียว
แม้แต่เมืองขนาดใหญ่อย่างเมืองโบรกัสต้องเผชิญหน้ากับทหารของอังเดรที่ลอบโจมตีทหารที่คุ้มกันกำแพงและต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของยักษ์อสูรเกล็ดดำ
ยักษ์อสูรเกล็ดดำเป็นสมบัติล้ำค่าของกองทหารแดนใต้ มีจำนวนน้อยมาก ต้องใช้เงินกว่า 60 ล้านเหรียญทองและต้องให้อาหารกับยักษ์อสูรเหล่านี้ทุกปี ค่าอาหารครั้งนึงไม่ต่ำกว่า 1 ล้านเหรียญทอง ทั่วทั้งกองทหารแดนใต้มียักษ์อสูรเกล็ดดำทั้งหมด 4 ตัวเท่านั้น
ตอนนี้ยักษ์อสูรถือดาบเวทมนตร์ 4 ตัวกำลังหันหน้ามาทางเมืองโบรกัส เมื่อมองไปที่ยักษ์อสูรเกล็ดดำที่สูงกว่ากำแพงเมืองโบรกัสเพียงเล็กน้อย ขวัญกำลังใจของทหารที่อยู่เหนือกำแพงเมืองเริ่มถดถอยลง
ยักษ์อสูรเกล็ดดำทั้ง 4 มีขนาดสูงเทียบเท่ากำแพง เพียงแค่หัวของยักษ์อสูร 4 ตัวก็สามารถทำลายกำแพงเมืองโบรกัสได้อย่างง่ายดาย
อังเดรเผยรอยยิ้มอย่างแยบยลบนใบหน้าของเขา
จอมเวทย์ที่ถอดชุดคลุมออก ร่ายเวทย์และชี้ไปที่ชุดคลุมที่กองอยู่บนพื้น
ร่างสูงกว่า 20 เมตรได้ปรากฏขึ้นมา มันถือกระบองยาว 15 เมตร อักขระเวทมนตร์ปรากฎขึ้นทั่วร่างของมัน ยักษ์หัวโล้นปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทุกคน
เสียงของไครอนตะโกนขึ้นอย่างสั่นเทา “ยักษ์แปรธาตุ!!”
หลังจากที่ยักษ์แปรธาตุได้ถูกนำตัวออกไปจากจักรวรรดิมอร์ริส หลังจากที่เทพแห่งแสง พราโดสได้เอาชนะเผ่าพันธุ์ยักษ์ในอดีต
ยักษ์แปรธาตุชั้นสูงมากมายถูกนำตัวกลับไปยังอาณาจักรแห่งทวยเทพโดยเทพแห่งแสง พราโดส หลงเหลือไว้เพียงตัวอย่างที่ไม่สมบูรณ์ไว้ในโลกมนุษย์ แม้ว่ายักษ์แปรธาตุจะเป็นตัวอย่างที่มี่สมบูรณ์ แต่พลังทำลายของมันในสนามรบถือได้ว่ารุนแรงมาก เมื่อกระบองมันฟาดลงมา แม้แต่ครึ่งเทพก็ไม่อาจรับการโจมตีของยักษ์แปรธาตุได้โดยตรง
ยักษ์แปรธาตุถูกปล่อยออกมาทีละตัวโดยอังเดร ยักษ์แปรธาตุทั้งหมด 8 ตัวปรากฎขึ้นในสนามรบ
ทุกคนในเมืองโบรกัสเห็นยักษ์แปรธาตุทั้ง 8 ตัวที่มีใบหน้าน่าเกลียด
ถ้าไม่มีกลุ่มจอมเวทย์ของอังเดร ด้วยพลังของจอมเวทย์ในเมืองโบรกัส เมืองโบรกัสอาจจะสามารถสังหารยักษ์แปรธาตุทั้ง 8 ตัวลงได้ แต่อย่างไรก็ตาม กองทัพจอมเวทย์ของอังเดรแข็งแกร่งกว่ากองทัพจอมเวทย์ของหยางเฟยและภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เมืองโบรกัสต้องเผชิญหน้าทั้งยักษ์อสูรเกล็ดดำ 4 ตัวและยักษ์แปรธาตุ 8 ตัว
อังเดรมีประกายตาระยิบระยับ และตะโกนออกมา “เอียน ไครอน พวกเจ้าไม่มีโอกาสชนะแล้ว ถ้าพวกเจ้ายังไม่ยอมแพ้ ข้าจะโจมตีเมืองโบรกัสและทำลายเมืองทิ้งทั้งเมือง ตระกูลของพวกเจ้า เพื่อนของพวกเจ้า พี่น้องของพวกเจ้า ทั้งหมดจะถูกเนรเทศออกไปเป็นทาส ในฐานะกบฏ และอยู่ในวังวนนั้นตลอดไป”
ทันทีที่คำพูดเหล่านั้นหลุดออกมา ใบหน้าของทหารทุกคนบนกำแพงเปลี่ยนไป สายตาทั้งหมดจ้องมองมาที่หยางเฟย
เมื่อเห็นว่ากองทัพของอังเดรนั้นแข็งแกร่งเกินไป ความคิดในใจของทุกคนเริ่มเปลี่ยนไป ยกเว้นคนที่สนับสนุนการ์ซ่าอย่างหนักแน่น พวกเขายินดีทำหน้าที่จนวินาทีสุดท้าย แม้ว่าพวกเขาจะตายในสงครามก็ตาม
หยางเฟยตบมือเบาๆ และเผยรอยยิ้มออกมา “ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมจริงๆ! ฝ่าบาท ท่านเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีเลยสินะ ถึงว่าทำไมท่านถึงบอกว่าจะทำลายเมืองนี้ได้ภายใน 3 วัน”
เหล่าทหารที่อยู่บนกำแพงเมืองโบรกัสต่างมึนงงและหันมามองหน้าหยางเฟยอย่างไม่เชื่อหูตนเอง ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ หยางเฟยกลับพูดออกมาอย่างไม่เกรงกลัว เขากำลังเรียกขวัญกำลังใจของกองทัพอย่างนั้นรึ?
อังเดรขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจของเขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี หยางเฟยนิ่งเกินไปและนั้นทำให้เขาอารมณ์เสีย