[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก - ตอนที่ 6 Chapter 1 เผชิญหน้า End
Part 5
――ในเวลาเดียวกัน
ห่างออกไปหนึ่งร้อยเซลล์ (300 กิโลเมตร) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวงคลาดิอุสมีหมู่บ้านเล็กๆชื่อว่า เซเก็น เนื่องจากอยู่ใกล้กับเมืองหลวงของจักรวรรดิที่สองจึงเป็นพื้นที่ปลอดภัยไร้ซึ่งมอนสเตอร์และโจร แต่ปัจจุบันถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศมืดมน
มีเต็นท์หลายขนาดมากมายถูกตั้งขึ้นรอบหมู่บ้าน และผู้ที่เฝ้าพื้นที่เป็นทหารราบติดอาวุธหนัก ชาวบ้านไม่ค่อยอยากมายุ่งเกี่ยวหรือกลัว ก็เลยขังตัวเองอยู่ในบ้าน
ทหารราบติดอาวุธหนักหลายสิบนายเฝ้าอยู่รอบบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน หน้าประตูมีธงที่มีตราดาบและโล่อยู่บนพื้นผ้าสีม่วงลอยอยู่ในอากาศ
เมื่อเข้าไปข้างในก็จะเจอทางเดินที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และเมื่อเดินไปทางซ้ายก็จะถึงห้องพัก มีคนสองคนอยู่ที่นั่น เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักและชายหนุ่มที่ใบหน้าหล่อเหลา
“ท่านออร่าครับ ให้กระผมไปตรวจสอบรอบๆนี้เพิ่มเติมดีไหมครับ?”
ชายหนุ่มคนนั้น ชื่อ ลอว์เรนซ์ อัลเฟรด ฟอน สปิตซ์ เขามองมายังผู้บังคัญบัญชาของเขาซื่งเปรียบเสมือนเทพธิดาตัวน้อย
“…..”
บางทีอาจจะเป็นเพราะผมสีเงินและดวงตาสีขาวอมเงิน เธอตัดผมทางหน้าม้า และอาจเป็นเพราะดวงตาที่กลมโตทำให้เธอดูค่อนข้างน่ารักเลยทีเดียว
แม้ว่าจะอายุ 17 ปีแต่ก็รูปร่างเล็กน่าเอ็นดู
(อ่าาาา รูปลักษณ์ของท่านเป็นเหมือนเทพที่ประทานให้กับเจ้าหญิงของราชวงศ์เลย.)
นอกจากรูปลักษร์เช่นนี้เธอยังมีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่
ทรีอา ลูซานดีย์ ออร่า ฟอน บูนาดาร่า(Trea Luzandi Aura von Bunadara)จบการศึกษาจากโรงเรียนฝึกของเมืองหลวงด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เธอเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดได้รับเลือกให้เป็นเจ้าหน้าที่กองทัพของจักรวรรดิที่สามและเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด และปัจจุบันเป็น เสนาธิการ และไต่เต้าขึ้นจนเป็นหัวหน้าเมื่ออายุ 15 ปี
นอกจากนี้ยังเป็นปีที่เจ้าชายลำดับที่สาม บลูทาร์ ต้องการผลงานได้บุกรุกพื้นที่ เฟลเซ็น(Felzen) ซึ่งเป็นมหาอำนาจทางตะวันตก ซึ่งมีส่วนร่วมในการรบขนาดเล็กอยู่หลายครั้ง อย่างไรก็ตาม ก็ถูกบังคับให้ทำสงครามและสร้างความเสียหายให้กับทางมหาจักรวรรดิเป็นอย่างมาก
เจ้าชายลำดับที่สาม บลูทาร์ ซึ่งต้อนอีกฝ่ายจนมุมได้กล่าวกับหัวหน้าหน่วยว่า “ถ้าใครที่ทำผลงานสามารถโค่นล้มเฟลเซ็นได้จะมอบรางวัลให้อย่างงาม แต่หากทำไม่ได้ข้าจะบั่นคอพวกเจ้าแทน”
หัวหน้าหน่วยทุกคนต่างเงียบและความโกรธของเจ้าชายบลูทาร์ที่กำลังถึงขีดสุด
“ตามที่ฝ่าบาทต้องการ ดิฉันจะนำพาชัยชนะมาสู่ท่านเพคะ”
หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวเช่นนั้นและก้าวไปข้างหน้า เจ้าชายลำดับที่สามจึงแต่งตั้งเธอให้เป็นเสนาธิการด้านวางแผนการรบ และเขารู้สึกผิดหวังกับหัวหน้าหน่วยคนอื่นๆที่ไม่มีใครกล้าออกมารับหน้าเสื่อแทนเธอจึงได้ทำการตัดศีรษะพวกเขาทั้งหมดทิ้ง
เธอได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าเสนาธิการ และในไม่ช้าความสามารถพิเศษของเธอก็ถูกใช้ให้เกิดประโยชน์ เธอวางแผน ลอบสังหาร และประสบความสำเร็จในการดำเนินแผนการรบอย่างต่อเนื่อง และในพริบตาเธอก็เริ่มบดขยี้ดินแดนเฟลเซ็น ทำให้ขั้วมหาอำนาจของเฟลเซ็นต้องดิ้นทุรนทุรายเสียเหล่าทหารมากฝีมือเป็นจำนวนมาก
อีกฝั่งได้ทำการตัดสินใจหากยังรบราฆ่าฟันกันต่อไปจะนำมาซึ่งความล่มสลายของรัฐ ดังนั้นฝ่ายเฟลเซ็นจึงยอมยกธงขาว ซึ่งทำให้เกิดการเจรจาระหว่างรัฐ
เจ้าชายลำดับที่ 3 บลูทาร์ ยกย่องให้เธอเป็น “สตรีแห่งสงคราม” สำหรับการมีส่วนร่วมในการคว้าชัยของจักรวรรดิ เพื่อเป็นเกียรติแก่ชื่อเล่นของจักรพรรดิองค์ที่สอง ตอนนี้เธอกำลังเอนหลังบนเก้าอี้ขณะอ่านหนังสือ
เสียงเดียวภายในห้องที่เงียบงันคือเสียงพลิกหน้ากระดาษ บางทีเธออาจจะไม่ได้ยินหรือทำเป็นเพิกเฉย แต่ถึงกระนั้น สปิตซ์ ก็ยังไม่ยอมแพ้
“ท่านออร่า กระผมจะขอบพระคุณอย่างยิ่งหากฟันสิ่งที่กระผมกล่าวแทนที่จะอ่านหนังสือ.”
เมื่อใดก็ตามที่เธอมีเวลาว่าง ออร่ามีนิสัยชอบอ่านหนังสือ ยิ่งไปกว่านั้นเธอมักจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับจักรพรรดิองค์ที่สอง คงไม่มีใครรู้ลึกเรื่องประวัติศาสตร์เกี่ยวกับจักรพรรดิองค์ที่สองเท่ากับเธอ
“ท่านออร่าได้โปรดฟังกระผมเถอะครับ.”
ในที่สุดสายตาของออร่าที่จับจ้องหนังสือก็หันไปมองสปิตซ์ ขณะที่เธอปิดหนังสือ อาจเป็นเพราะได้ยินเสียงของเธอ สปิตซ์จึงคุกเข่าลง
“ไวเคานต์ สปิตซ์ สิ่งที่ดิฉันได้กล่าวไปก่อนหน้านี้เป็นการหมิ่นเบื้องสูงจักรพรรดิองค์แรกหรือคะ.”
“…หือ?”
มันเริ่มอีกครั้ง สปิตซ์คร่ำครวญในใจ หลังจากอ่านนิทานพื้นบ้านมักจะเริ่มด้วยเรื่องนี้เสมอ
“ในรัชสมัยของจักรพรรดิอัลทิอุสนั้นยอดเยี่ยมมาก แต่ใครเป็นผู้วางรากฐานให้เขาได้ไปถึงจุดนั้น ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจักรพรรดิที่สองซึ่งนำชัยมาสู่ประเทศที่กำลังล่มสลายแห่งนี้และพิชิตประเทศโดยรอบจนรวมกันเป็นมหาจักรวรรดิแกรนท์ไม่ใช่เหรอคะ.”
“นั่นเป็นความจริงครับท่านออร่า.”
“หลังจากการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิอัลทิอุส ฝ่าบาทชวาร์ตซ์(Schwartz)ก็ผ่านมา 70 กว่าปีแล้วที่ขึ้นครองราชบัลลังก์ ท่านเหลือเวลาในชีวิตอีกไม่มาก ในความเป็นจริงหลังที่ท่านสิ้นพระชนม์หลังขึ้นครองราชย์ได้เพียงหนึ่งปี ถ้าเขาเป็นจักรพรรดิองค์แรก ท่านน่าจะครองโลกให้เป็นหนึ่งเดียวได้.”
ศีรษะของสปิตซ์ตกลงเพราะผู้บังคับบัญชาการของเขาหลงไหลในตัวจักรพรรดิชวาร์ตซ์มาก เธอกำลังพูดถึงเรื่องราวเมื่อพันปีก่อน ตอนนี้ทั้งคู่ได้รับการนับถือว่าเป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในสิบสองเทพของมหาจักรวรรดิแกรนท์ เนื่องจากจักรพรรดิของแกรนท์มีตัวตนทุกคนแน่นอนพวกเขาก็มีตัวตนในประวัติศาสตร์
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวถูกดัดแปลงไปในหลายๆแบบ ตัวอย่างเช่น จักรพรรดิชวาร์ตช์เอาชนะกองทัพหนึ่งหมื่นนายในศึกสุดท้ายด้วยตัวเพียงคนเดียว นอกจากนี้การฟาดฟันดาบของเขาเพียงหนึ่งครั้งก็สามารถทำลายเมืองๆหนึ่งได้อย่างง่ายดาย แม้จะมีดาบภูติจักรพรรดิทั้งห้าก็ไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นได้หรอก
ท้ายที่สุดแล้วผู้ครอบครองก็คือมนุษย์ธรรมดาทั่วไป นอกจากนี้ยังมีปัญหาทางด้านกายภาพอีก สปริตซ์คิดว่าอย่างมากก็เอาชนะได้แค่ 1 ใน 10 ของกองทัพเท่านั้นเอง
――ตอนนี้เขาต้องการให้เธอจดจ่อกับสิ่งตรงหน้ามากกว่าสิ่งนั้น
“ท่านจะอยู่ที่นี่ไปอีกนานเท่าใดครับ?”
“…ฉันยังมีอีกหลายอย่างอยากจะพูดแท้ๆ.”
“มีจดหมายจากท่านบลูทาร์มาถึงท่านด้วยนะครับ.”
เมื่อเขาเอ่ยชื่อนั้น เธอก็หันมาตั้งใจฟังเล็กน้อย
“แล้วมันเขียนไว้ว่าไง?”
“กระผมยังไม่ได้อ่านครับ”
“ทำไมเล่า?”
“…กระผมไม่สามารถฉีกหน้าซองจดหมายของราชวงศ์โดยไม่ได้รับอนุญาตได้หรอกครับ.”
“ฉันกำลังสนุกกับนิทานพื้นบ้านของท่านชวาร์ตซ์ ฉันยังอยากสนุกกับมันต่อดังนั้นฉีกซองและอ่านให้ฉันฟังซะ”
“…ก็ได้ครับ ถ้างั้นจะอ่านให้ฟังแล้วนะครับ.”
สปิตซ์หยิบซองจดหมายที่ดูหรูหราออกมา
หน้าซองจ่าถึง: “แด่สตรีแห่งสงครามอันเป็นที่รัก”สิบวันแล้วที่เธอออกมาจากปราสาท ข้าประหลาดใจยิ่งนักที่ข่าวดียังไม่มาถึง ไม่ต้องลังเลที่จะติดต่อหาข้าเพียงเพราะข้าเป็นราชวงศ์ จงมอบค้อนแห่งความตายให้แก่สาวน้อยคนนั้นซะ ถ้ามีเรื่องกังวลอะไร จะให้ข้าส่งกองกำลังเสริมไปให้ก็ได้นะ ขอให้เทพทั้งสิบสองพระองค์แห่งแกรนท์อวยพรแด่เจ้า “สตรีแห่งสงคราม”
“――เขียนไว้แบบนั้นแหละครับ”
“…ไอ้โง่นี่.”
ออร่าพูดด้วยสีหน้าขยะแขยง ขณะที่สปิตซ์ยิ้มอย่างขมขื่น
“Iช่วยไม่ได้แม้ว่าเขาจะลำดับที่มีสิทธิ์สูงในการสืบทอดบัลลังก์ แต่หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง เจ้าหญิงลำดับที่หกที่ได้รับเลือกจากดาบภูติจักรพรรดิเพลิงจะมีสิทธิ์ในการครองบัลลังก์แทน.”
“จักรพรรดิที่ยี่สิบแปดและสามสิบหกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะจับดาบนั่นได้อย่างไร มันไม่ได้เกี่ยวกับการได้รับเลือกจากภูติเลยสักนิด แต่เกี่ยวข้องว่ามีคุณสมบัติในการเป็นจักรพรรดิรึเปล่า.”
“…ก็ได้แต่หวังให้ท่านบลูทาร์เข้าใจสิ่งนั้น.”
“ถ้าเขาเข้าใจเขาก็คงไม่ทำอะไรให้เกิดความขัดแย้งต่อจักรพรรดิ ในความเป็นจริงเขาไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นอันตรายต่อตำแหน่งตัวเอง.”
“เอิ่ม…ก็เขาหงุดหงิดง่ายนี่ครับ.”
“เผาจดหมายนั่นไปซะ ขยะแขยงเป็นบ้า.”
“รับทราบครับ”
หลังจากโยนจดหมายลงในเตาเผาใกล้ๆ แล้ว สปิตซ์ก็หยิบกระดาษสีแดงใบหนึ่งออกมาเขาโยนมันเข้าไปและก็เกิดเปลวเพลิงขึ้นภายในพริบตาเดียว
เมื่อสปิตซ์มองไปที่ออร่าอีกครั้ง ก็มีสีหน้าปั้นยากบนใบหน้าของเธอ
”กะอีแค่เผาจดหมายฉบับเดียวต้องสิ้นเปลืองเครื่องรางภูติเชียวรึ.”
“พวกเราจำเป็นต้องเผาจดหมายจากราชวงศ์ หากมันเหลือแม้แต่ชิ้นส่วนเดียวและรู้ว่าถูกส่งถึงใคร ท่านออร่าจะตกอยู่ในอันตรายได้ เราต้องรอบคอบเอาไว้ ไม่งั้นเราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นครับ”
“หืม ยังคงเฉียบแหลมเหมือนเคยนะ ไว้ฉันจะส่งจดหมายไปที่วิหารทางราชันภูติในภายหลัง กระดาษพวกนั้นก็ให้ไปเรียกเก็บเงินจากบลูทาร์ สัก 20 แผ่น พอไหม?”
“ไม่จำเป็นต้องทำถึงขั้นนั้นเลยครับ แค่เครื่องรางภูติอันเดียวมันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยครับ”
แม้สปิตซ์จะพูดแบบนั้น แต่เครื่องรางภูติอันหนึ่งเท่ากับสามเหรียญทองแกรนท์ ค่าจ้างของสามัญชนทั่วไปอยู่ที่ 3 ดราซ 10 ดราซถึงจะมีค่าเท่ากับ 1 เหรียญเงิน แกรนท์ และ 10 เหรียญเงินแกรนท์เท่ากับ 1 เหรียญทองแกรนท์
แม้ว่าจะมีราคาแพงเกินกว่าคนทั่วไปจะจ่ายไหว แค่เครื่องรางภูติมันก็มีข้อดีหลายอย่าง เช่นใช้รักษาโรค หลายคนไม่ว่ามีจะสถานะใดก็ตามก็มาที่วิหารราชันภูติเพื่อซื้อเครื่องรางได้เหมือนกัน
อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องยากสำหรับสามัญชนที่จะซื้อเจ้าสิ่งนี้ นี่เป็นเพราะจำนวนกระดาษที่ผลิตเครื่องรางมันอยู่ที่ แปดสิบถึงร้อยแผ่น ต่อวัน และราชวงศ์กับขุนนางส่วนใหญ่ก็ผูกขาดมันซะด้วย ถ้ามันไปโผล่ในตลาดสามัญชนมันก็จะมีราคามากกว่าตลาดทั่วไปถึงสองเท่า
“พวกเรายังพอมีสำรองอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นมีเพียงพอสำหรับภารกิจนี้แน่ครับ.”
ทุกวันนี้ส่วนใหญ่เมื่อต้องรับมือกับอาวุธภูติเพราะมีราคาแพงและหายาก ดังนั้นจึงไม่มีใครใช้มันในการจุดไฟเล่น แม้ว่านี่อาจจะเป็นการกระทำที่โอ้อวดจนแม้กระทั่งราชวงศ์ยังไม่คิดจะใช้วิธีนี้ในการเผาจดหมายเลย
ตระกูลสปิตซ์ไม่ได้จน แต่ก็ไม่ได้รวย เครื่องรางภูตินั้นมีค่าแต่ว่า
(เพื่อเป็นประโยชน์ต่อท่านออร่าซะอย่าง กระผมไม่สนหรอกต่อให้บ้านต้องล้มละลายก็ยอม.)
สปิตซ์คิดว่ามันเป็นค่าใช้จ่ายเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับนายเหนือหัวที่เขาเคารพรัก เมื่อออร่าเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจและพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
”การที่ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้หมายความว่าฉันมาเดินเล่นหรอกนะ สถานที่นี้อยู่ติดกับเขตของมาร์เกรฟกรินด้า.”
หากพวกเขาเดินทางไปสองสามสิบเซลล์ทางตอนใต้ของหมู่บ้านนี้ ก็จะเข้าสู่ดินแดนของมาร์เกรฟกรินด้า (T/N: ลืมบอก 1 เซลล์ = 3 กิโลเมตร)
“…พวกเราจะไปบุกรุกดินแดนงั้นเหรอครับ?”
“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรอกน่า ไม่มีเหตุผลให้ทำเช่นนั้นเลย ถ้าทำแบบนั้นหัวหลุดออกจากบ่าแน่.”
“ถ้างั้นทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ?”
“ก็เพื่อเจอกับเจ้าหญิงลำดับที่หกไง”
“เอ่ออันนี้กระผมสงสัย พวกเขาจะเต็มใจมาพบพวกเราเหรอครับ?”
“ถ้าไม่มาพวกเราก็กลับบ้านแค่นั้นเอง”
ถ้าหากเจ้าหญิงลำดับที่หกไม่ต้องการ พวกเราก็แค่ถอนกำลังกลับ แต่ถ้าทำแบบนั้นออร่าก็ต้องรับผิดชอบ
“แต่ว่าท่านบลูทาร์ต้องการให้เจ้าหญิงลำดับที่หกตายนะครับ”
“เอ็งลองใช้สมองที่มีอันน้อยนิดคิดดูนะว่าถ้าฆ่าเจ้าหญิงลำดับที่หกตายจะเกิดอะไรขึ้น?”
“…ถ้าเป็นแบบนั้นฝ่าบาทจะทรงโกรธา สถานการณ์เลวร้ายที่สุดคือท่านบลูทาร์จะถูกบั่นคอ.”
“เจ้าหญิงลำดับที่หกเป็นผู้ถือครองดาบภูติจักรพรรดิเพลิงเชียวนะ ฉันแน่ใจว่าฝ่าบาทคงจะไม่ให้อภัยใครก็ตามที่ไปทำร้ายนางแน่นอน.”
“แต่ว่าพวกเราเองก็อยู่ในสถานสุ่มเสี่ยงเช่นกันนี่ครับ.”
“ก็เพราะแบบนั้นไงพวกเราถึงต้องซื้อเวลาให้ฝ่าบาทกลับมาที่เมืองหลวงโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้.”
ปัจจุบันจักรพรรดิไม่ได้อยู่ที่มหาจักรวรรดิแกรนท์ นี่เป็นเพราะการเจรจาเพื่อหยุดการรบกับเฟลเซ็นล้มเหลว และพวกเขากำลังบุกต้อนเข้าไปอีกครั้งพร้อมกับเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง กล่าวอีกนัยหนึ่งเจ้าชายบลูทาร์ใช้ประโยชน์จากการไม่อยู่ขององค์จักรพรรดิเพื่อที่จะฆ่าน้องสาวของตัวเองทิ้งเพื่อไม่ให้เธอมีสิทธิ์สืบทอดราชบัลลังก์หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง ในขณะเดียวกันหากจักรพรรดิกลับมาทันบลูทาร์จะต้องย้อมแพ้กับแผนการนี้ และหากออร่าลงมือฆ่าเจ้าหญิงไปแล้ว ความผิดทั้งหมดจะลงมาหาที่ออร่าคนเดียว
(เพราะแบบนั้นถึงต้องหลีกเลี่ยง.)
สปิตซ์ตัดสินใจว่าจะเชื่อมั่นในตัวเธอ
“เข้าใจแล้วครับ ถ้างั้นต้องการให้กระผมทำสิ่งใด”
“ขั้นแรกให้เขียนจดหมายถึงมาร์เกรฟกรินด้า ส่วนเรื่องเนื้อหาก็เอาตามความเหมาะสม.”
จากนั้นออร่าละสายตาลงและกลับไปอ่านหนังสือของเธออย่างสบายใจ สปิตซ์ออกจากห้องพักและถอนหายใจขณะพิงประตู
“เฮ้อสุดท้ายงานก็มาลงที่กระผมอีกแล้วสินะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ออร่ายิ่งเป็นคนดื้อรั้น เธอจะไม่ขยับจนกว่าเธอจะพอใจกับหนังสือนั้นแล้ว สปิตซ์หันหลังออกจากห้องไป