[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก - ตอนที่ 55 Volume 3 Chapter 1 ปัญหาใหม่ Part 3
- Home
- All Mangas
- [LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก
- ตอนที่ 55 Volume 3 Chapter 1 ปัญหาใหม่ Part 3
Part 3
วันถัดมาเมื่อพวกเขากลับมาที่ป้อมเบิร์ก “กองทัพอีกา”ที่นำโดยฮิโระเข้าใกล้ประตูหลักก็เปิดออกอย่างเงียบๆ คนที่ออกมาจากประตูหลักไม่ใช่ใครอื่น คือ ลิซกับเซอร์เบอรัส
“ยินดีต้อนรับกลับมาจ้า!”
ลิซวิ่งเข้ามาพร้อมกับสีหน้าไร้กังวล ฮิโระลงจากรถม้าและลูบหัวหมาป่าขาวก่อนจะไปหาลิซ
“นี่มารอชั้นอยู่งั้นเหรอ มารอนานแค่ไหนแล้ว?”
“ใช่ฉันมารอนานแล้ว เพราะฮิโระกลับมาช้านั่นแหละ”
ฮิโระยิ้มเจื้อนๆกับลิซที่ทำแก้มป่อง
“ตอนแรกก็ตั้งใจจะกลับเร็วกว่ากำหนดอยู่หรอก แต่ว่า…”
“ไม่ต้องแก้ตัวเลย มาช้าก็คือช้า สาวๆไม่ชอบผู้ชายแก้ตัวเก่งหรอกนะ”
ทั้งสองคนเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันผ่านประตูหลัก ระหว่างทางฮิโระพูดกับลิซ
“ทางนี้จัดการได้เรียบร้อยดีไม่มีปัญหา แล้วทางลิซล่ะเป็นยังไงบ้าง?”
“งานค่อนข้างสบายสุดๆไปเลย ดังนั้นก็เลยกลับมาถึงก่อนฮิโระไงล่ะ”
ลิซยืดอกอย่างภาคภูมิใจ
“ฮ่ะฮ่า เป็นไงล่ะ ฉันชนะ!”
“อืมนั่นสินะ ชั้นแพ้แล้ว ว่าแต่ทำอะไรลงไปเอ่ยไหนเล่าให้ฟังสิ?”
“ก็น้า ฉันคนนี้ลงทุนปลอมเป็นสาวน้อยผอมบางเป็นชาวเมืองธรรมดา จากนั้นพวกนั้นที่เห็นฉันก็ตาลุกวาว พยายามจะเข้ามาฉีกกระฉากฉันเหมือนสัตว์ป่าเลยล่ะ.”
สาวสวยอย่างลิซมันยากที่จะพบเห็นได้ในสถานที่แบบนี้ ช่างน่าเสียดาย การปรากฏตัวของเธอ ทำให้ชายใดที่พบเห็นต้องมนต์หลงใหลไปหมดเลยล่ะ
“ถ้าเป็นแบบนั้นมันน่าจะทำให้ลิซเจอประสบการณ์แย่ๆน่ะสิ”
“ไม่ใช่แบบนั้นเลยเป็นการต่อสู้ที่น่าผิดหวังด้วยซ้ำ คิดว่าพวกนั้นจะเก่งกว่านี้ซะอีก อ่อนเป็นบ้าเลย.”
ลิซก้าวเท้าเสียงดังขึ้นราวกับระบายความหงุดหงิด
จากนั้นกาด้าก็ปรากฏตัวขึ้นจากด้านหลังของฮิโระและพูดกับเธอ
“ถ้าพลังงานล้มเหลือขนาดนั้น ข้าจะยอมเป็นคู่ซ้อมให้สักหน่อยก็ได้นะ”
“หืมมมมม วันนี้ฉันรู้สึกว่าฉันจะไม่แพ้เลยสักครั้งเดียว ว่าแต่ฝั่งที่ท้าเถอะน้า เตรียมตัวที่จะโดนซ้อมรึเปล่า?”
ลิซพูดยั่วยุ แต่กาด้าก็ยิ้มอย่างสบายใจ
“ไม่มีปัญหา ข้าน่ะสามารถรับมือกับเจ้าได้โดยไร้ซึ่งบาดแผลเชียว”
“ปากดีแบบนี้ อย่ามาเสียใจภายหลังแล้วกันนะย๊ะ?”
ระหว่างทั้งสองประกายไฟแห่งการต่อสู้ได้ปรากฏขึ้น ฮิโระทำได้แต่มอง
“ก็ดีใจอยู่หรอกแต่หวังว่าทั้งสองคนจะไม่เล่นกันจนแถวนี้พังไม่เป็นท่าหรอกนะ”
ทุกครั้งที่สองคนนี้สู้กัน ในตอนแรก ลิซที่ได้รับพรจากลิเวียธานนั้นชนะอยู่หลายแมตซ์ แต่กาด้าที่ผ่านประสบการณ์มาเยอะกว่าลิซก็ไม่ง่ายที่จะรับมือสักเท่าไหร่ เขาคิดวิธีรับมือกับลิซและทำให้อัตราชนะของทั้งสองอยู่ที่ห้าสิบต่อห้าสิบ
แน่นอนลิซเองก็ได้เรียนรู้ถึงข้อบกพร่องของตัวเองและพยายามปรับแก้มัน เมื่อเธอก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านั้นได้ เธอก็ยิ่งเติบโตในฐานะนักรบที่เก่งกาจมากขึ้น ฮิโระนั้นค่อนข้างคาดหวัง
เมื่อทั้งสามไปที่ลานกว้าง ได้ยินเสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกจากทหารที่อยู่ข้างหลัง
“จริงๆเลย แม้แต่วินาทีสุดท้ายก็จะเล่นให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย?”
กาด้าเห็นสิ่งนั้นก็ถอยหลัง เขาเห็นทหารยีนตรงด้วยความเครียด จากนั้นฮิโระก็เห็นดริกส์ออกมาจากหอคอยกลาง
“ฝ่าบาทฮิโระ ก่อนอื่นกระผมขอแสดงความยินดีกับการที่ท่านกลับมาได้อย่างปลอดภัย”
ดริกส์คุกเข่าลงบนพื้นด้วยท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนและหันไปมองลิซที่อยู่ข้างๆ
“เอ่อ ฝ่าบาท เซเลีย เอสทรีย่า ได้มอบสิ่งนั้นให้กับ ฝ่าบาท ฮิโระ หรือยังครับ?”
“หืม? อะไรเหรอ?”
ดริกส์แก้มกระตุกอยู่สองสามครั้งเพื่อทำให้ลิซรู้ตัว
“แหมๆ ช่างเป็นการล้อเล่นที่ตลกดีนะครับฝ่าบาท——–กระผมพึ่งเอาจดหมายให้ฝ่าบาทไปไม่ใช่เหรอครับ.”
“อ๋อ ! หมายถึงเรื่องนั้นเองเหรอแฮะๆ? หมายถึงจดหมายนี่สินะ.”
ลิซที่หยิบออกมาอย่างมั่นใจก็ยื่นจดหมายให้กับฮิโระ ฮิโระที่ได้รับจดหมายด้วยความรู้สึกเดจาวู เพราะเขาเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน
“แล้วนี่คือจดหมายที่ว่า……….เอิ่มลิซมันยับยู่ยี่ไปหมดแล้วนะ.”
“อืม จดหมายจากท่านพ่ออีกแล้วล่ะ”
ลิซพูดด้วยท่าทางสบายๆ แต่เลือดนั้นขึ้นหน้าของดริกส์ที่เห็นจดหมายยับขนาดนั้น ฮิโระรู้สึกสงสารเขา แต่เป็นความผิดของดริกส์เองที่เอาจดหมายให้ลิซ
ฮิโระพอจะเข้าใจเนื้อหาคร่าวๆในจดหมายดังนั้นเขาไม่คิดอะไรมาก แต่เมื่อเห็นดริกส์กำลังจะร้องไห้ เขาก็ตัดสินใจว่าควรอ่านให้ถูกต้องซะดีกว่า
“เอาล่ะไหนขอดูหน่อยสิ ให้ชั้นกลับไปที่มหานครหลวงของจักรวรรดิ พวกเขาต้องการยกย่องความสำเร็จของชั้นในการเข้าสู้กับราชอาณาจักรลิชไทน์”
นั่นคือเนื้อหาของจดหมายที่เต็มไปด้วยวาทศิลป์ที่ใช้อย่างฟุ่มเฟือย ใบหน้าของดริกส์เปล่งประกายด้วยความสุขราวกับว่าเขาได้สติกลับมาหลังจากได้ยินคำพูดของฮิโระ
“โฮ่ววว ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้นนะครับ พวกเราเตรียมตัวออกเดินทางกันเลยดีไหมครับ?”
ดริกส์ยืนขึ้นปัดฝุ่นออก ฮิโระพยักหน้า
“มาเตรียมตัวออกเดินทางกันดีกว่า พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกัน?”
มีหลายอย่างที่ต้องตระเตรียมสำหรับการฉลองชัยชนะในครั้งนี้ ตัวอย่างเช่นเขาต้องคำนวณถึงจำนวนทหารที่พากลับเมืองหลวงและคำนวณเส้นทางกับปริมาณอาหารที่พวกเขาต้องเตรียมในการเดินทางและต้องมีจดหมายแสดงเจตจำนงเพื่อขอผ่านทางดินแดนขุนนางต่างๆโดยรอบ
“พวกเราจะพาทหารประมาณห้าพันคนกลับไปด้วย ขอให้คำนวณเรื่องอาหารในการเดินทางครั้งนี้ได้ไหม?”
แม้ว่าพวกเขาจะตั้งใจจะใช้ถนนที่ถูกพัฒนามาอย่างดี แต่ยิ่งทหารจำนวนมากเท่าไหร่ การเดินทัพจะยิ่งช้าลงมากเท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้น หากพูดถึงการรักษาความปลอดภัยในและรอบๆป้อมเบิร์ก จำนวนทหารที่สามารถพาไปได้คือห้าพันนายเท่านั้น
“แน่นอนครับ เดี๋ยวจะจัดการให้ในทันที มีอะไรเพิ่มเติมอีกไหมครับ?”
“เรื่องรายละเอียดลงลึก ไว้ค่อยมาคุยที่ห้องชองชั้นจะดีกว่า”
“รับทราบครับ”
ดริกส์กำลังจะออกไปพร้อมกับเรียกผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ฮิโระหันไปหาลิซและพูดกับเธอ
“ลิซเองก็ไปเตรียมชุดเดรสมาสักสองสามชุดได้ไหม”
“ฮิโระจะใส่มันเหรอ หวาาาาาา?”
ฮิโระได้แต่คิดว่าสมองของเธอคิดอะไรกันอยู่นะ? เขาสับสนจนพูดไม่ออก ลิซไม่เคยมีประสบการณ์เฉลิมฉลองชัยชนะโดยมีตัวเองเป็นตัวเอกของงานมาก่อน
เพราะแบบนั้นเธอเลยมีปฏิกิริยาแปลกๆ แค่นี้ก็พอเดาได้ว่าขุนนางส่วนใหญ่ปฏิบัติต่อเธออย่างไร ฮิโระรู้สึกว่าเขาเริ่มโกรธขึ้นมาทันที
แต่ตอนนี้ เขาต้องระงับความโกรธเอาไว้และยิ้มให้ลิซอย่างอ่อนโยน
“ไม่ใช่หรอก ลิซต้องเป็นคนใส่มันต่างหากล่ะ.”
ไม่ต้องสงสัยเลยรอบนี้เธอเป็นตัวเอกของงานเลี้ยงที่จะจัดขึ้นที่เมืองหลวง
ระหว่างทางไปที่ห้องของเขาฮิโระอธิบายต่อและลิซดูสับสน
“แต่ส่วนใหญ่เป็นผลงานของฮิโระนะ ฉันแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยน้าา”
“ไม่จริงสักหน่อย ลิซทำหน้าที่ได้ดีในฐานะผู้นำ ที่ชั้นทำก็แค่ในฐานะผู้ช่วยของลิซเท่านั้นเอง แต่ความนิยมของเหล่าทหารที่มีต่อตัวลิซนั้นสูงลิ่วเลยนะ เพราะแบบนั้นพวกเราเลยชนะไง”
เพราะว่าเธอคอยติดต่อกับผู้บัญชาการหน่วยต่างๆอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด เธอจึงสามารถดำเนินแผนงานได้อย่างราบรื่น โดยไม่เกิดการติดขัดใดๆต่อทหารแม้ว่าจะเปลี่ยนคนสั่งการก็ตาม
สิ่งที่ฮิโระคิดก็คือให้กลยุทธ์แห่งชัยชนะแก่กองทัพเท่านั้น
“เห็นไหมล่ะ ยิ่งลิซเก่งมากเท่าไหร่ ความสำเร็จที่มองเห็นได้ก็ยิ่งเห็นได้น้อยลงมากเท่านั้น.”
“ถ้าไม่มีใครเห็น แล้วจะมีคนชื่นชมมันเหรอ”
“ในจุดนั้นมันก็จริงอยู่หรอก แต่เมื่อรวบรวมรายงานส่วนใหญ่ แล้วส่งให้เห็นก็จะเห็นภาพรวมว่าใครเป็นตัวเด่นในการทำผลงานในครั้งนี้ แม้ว่ารายงานนี้จะถูกเผาทิ้ง แต่เหล่าทหารที่อยู่ในสนามรบก็จะเป็นสักขีพยาน พวกเราไม่สามารถบังคับคนอื่นพูดในสิ่งที่เขาไม่ชอบได้หรอกนะ.”
ฮิโระหยุดชั่วคราวขณะที่พูดแบบนั้น ขณะที่กำลังพูดอยู่ก็มาถึงห้องของเขาแล้ว เขาเปิดประตู เดินเข้าไป ไปที่โต๊ะทำงาน หยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมา แล้วนั่งลงบนเก้าอี้
“แต่ว่าฉันน่ะใส่ชุดเดรสไม่ขึ้นหรอกนะ ดังนั้นเครื่องแบบทหารนั้นสำหรับฉันมันสบายใจกว่า”
ลิซพูดแบบนั้นขณะกระโดดขึ้นไปบนเตียงแล้วกอดหมอน
“แต่อย่างน้อยก็ต้องมีเดรสสักตัวสองตัวนะ”
“หืมมมมม~……ฉันคิดว่าฉันมีชุดเดรสสองสามตัวที่ท่านพี่โรซ่าให้ฉันมานะ.”
ลิซพูดแบบนั้นทำให้ฮิโระนึกขึ้นได้ เขาต้องขอความร่วมมือจากโรซ่าด้วย
นอกจากของขวัญที่มอบให้จักรพรรดิแล้ว เขายังต้องสร้างขวัญกำลังใจให้กับเหล่าขุนนาง เจ้าชาย และประชาชนได้เห็นว่าลิซเป็นตัวเด่นในผลงานครั้งนี้ โรซ่าเป็นคนที่เก่งกาจในด้านนั้น ฮิโระตัดสินใจเขียนจดหมายถึงโรซ่าโดยเร็วที่สุด
หลังจากนั้นสักพัก ภายใต้เสียงเขียนของปลายปากกาที่ขีดเขียนบนกระดาษ ก็มีเสียงเคาะประตูทำให้ฮิโระต้องเงยหน้าขึ้นมอง
“เข้ามาได้”
“ขออนุญาตครับ”
เป็นดริกส์ที่เข้ามา เขาโค้งคำนับและเดินมาที่โต๊ะ
“ได้จัดเตรียมเสบียงอาหารตามที่ท่านสั่งเรียบร้อยแล้ว นี่คือเอกสาร ช่วยเซ็นอนุมัติด้วยครับ.”
ฮิโระมองดูเอกสารที่ดริกส์ยื่นให้และลงนาม จากนั้นเขาก็ใส่จดหมายถึงโรซ่าในซองสีขาวปิดผนึกด้วยขี้ผึ้งและประทับตราของเขา จดหมายถูกส่งให้ดริกส์พร้อมกับเอกสาร และดริกส์ก็มองอย่างสงสัย
“อะแฮ่ม จดหมายนี้กระผมควรส่งให้ใครเหรอครับ…?”
“อยากจะให้นายส่งจดหมายนี้ไปยังตระกูลเคลไฮนต์”
ฮิโระมองดริกส์ที่จ้องมองแบบแปลกๆ อย่างไรก็ตามดริกส์เปลี่ยนสีหน้าและมองตรวจสอบฮิโระก่อนจะเกาหัว
“อืม กระผมค่อนข้างตกใจเล็กน้อย ท่านสนิทสนมกับตระกูลเคลไฮนต์เหรอครับ?”
“ก็ได้พูดคุยกันบ้างตอนที่ไปยังเมืองหลวง นอกจากนี้ พวกเขายังช่วยชั้นในหลายๆด้านในระหว่างการต่อสู้ครั้งล่าสุด ดังนั้นเลยอยากให้พวกเขามีส่วนร่วมในการฉลองชัยชนะในครั้งนี้กับพวกเราด้วย”
ไม่มีอะไรต้องซ่อน ฮิโระตอบกลับไปด้วยเหตุผลของเขา
“งั้นเหรอครับ เป็นความคิดที่ดีเลย กระผมจะส่งมันไปด้วยม้าเร็ว ให้ถึงมือตระกูลเคลไฮนต์โดยเร็วที่สุดครับ”
“อืม ถ้าทำแบบนั้นได้ก็ยิ่งดีเลย.”
หลังจากมองดริกส์ออกไป ก็สังเกตเห็นว่าลิซนั่งเงียบ เขาหันไปมองลิซที่อยู่บนเตียงกำลังนอนกอดหมอนหอบหายใจอย่างมีความสุข ฮิโระยิ้มลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปที่เตียงดึงผ้าห่มคลุมลิซ
“อืม ถ้างั้นไว้เลือกเดรสในวันรุ่งขึ้นแล้วกัน…”
จำนวนทหารที่จะไปด้วยคือทหารของกองทัพจักรวรรดิที่สี่สามพันนายกับทหารอิสระสองพันนายของฮิโระ ผู้ช่วยทุกคนจะไปด้วย นั่นรวมถึง ทริสและกาด้า
ในระหว่างนี้จะขอให้คิออร์กเป็นผู้บัญชาการป้อมเบิร์กชั่วคราวจนกว่าพวกเขาจะกลับมา
“ไม่มีอะไรต้องทำอีกต่อไปแล้ว……..ถึงเวลาเข้านอนแล้ว แต่…”
ฮิโระถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเขามองไปที่ลิซกำลังหลับอย่างมีความสุขและสงสัยว่าเขาจะไปนอนที่ไหนดี
***
วันที่สิบห้า เดือนเก้า ปีจักรวรรดิที่ 1023 หมอกยามเช้าได้จางลง และดวงอาทิตย์กำลังลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า เมื่อสายลมเย็นๆพัดผ่านในถนนของลิงซ์
ถนนสายกลางคึกคักไปด้วยผู้คนเพราะตอนนี้เป็นเวลาอาหารกลางวัน และที่นั่นมีรถม้าสองคันที่มีฮิโระ ลิซ และท่านลุงของลิซ
“อาา…”
ฮิโระมองไปนอกหน้าต่าง เขาสังเกตเห็นว่าเมืองเปลี่ยนไป มันแออัดพอๆกับครั้งสุดท้ายที่เขามาเยี่ยม แต่มีผู้คนเยอะกว่าเดิม รวมถึงพ่อค้าแม่ค้าก็เพิ่มมากขึ้น
ฮิโระมองไปข้างนอกอย่างสงสัย คิออร์กที่เห็นเช่นนั้นก็พูดขึ้น
“พูดถึงเรื่องนั้นแล้วข่าวที่ป้อมเบิร์กแพร่กระจายอย่างรวดเร็วเลยล่ะ ดูเหมือนว่าจำนวนพ่อค้าที่มาเยือนทางทิศใต้ก็มีมากขึ้นและผู้คนก็เริ่มมาท่องเที่ยวหลังสงครามจบลง.”
ฮิโระรู้สึกอายเล็กน้อยเลยเกาจมูกแก้เขิน จากนั้นลิซที่อยู่ข้างๆเขาก็โน้มตัวเข้ามาใกล้เขาและมองออกไปนอกหน้าต่าง
“อืมเปลี่ยนไปเยอะเลยนะคะท่านลุง แต่ก่อนไม่มีทั้งร้านแผงลอยสักแผงเลย มีคนจำนวนน้อยที่ทำการค้าขาย?”
“นั่นสินะ ข้าเองก็อยู่ที่นี่ตั้งแต่รุ่นคุณปู่ของข้า แต่ไม่เคยมีคนหลั่งไหลมากขนาดนี้ แม้แต่พ่อค้าของราชอาณาจักรลิชไทน์ก็ไม่มาที่นี่เพราะใกล้ชิดกับซันสเปียร์.”
ซันสเปียร์ เมืองใหญ่ทางตอนใต้ ปกครองโดยหนึ่งในห้าตระกูลขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ นั่นคือตระกูล มูซุก
ไม่มีใครสนับสนุนเรื่องสิทธิ์ในการสืบทอดบัลลังก์ และขุนนางผู้ยิ่งใหญ่กำลังจับตาดูสถานการณ์
เขาได้ยินมาว่าหัวหน้าตระกูลยังเด็ก อย่างไรก็ตาม แม้จะยังเด็ก แต่ดูเหมือนจะมากความสามารถ และว่ากันว่ามีผู้ช่วยมากฝีมือ
“แต่ว่าหลังจากนี้พวกเราจะสบายขึ้นเพราะฮิโระมาอยู่ในดินแดนของมาร์เกรฟกรินด้าแล้ว! ดินแดนของท่านลุงจะร่ำรวยขึ้นและจะกลายเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่แข่งขันกับซันสเปียร์ได้!”
ลิซพูดอย่างมั่นใจ และคิออร์กก็มองหลานสาวด้วยรอยยิ้ม
“นั่นสินะ ข้าเองก็ต้องพยายามอย่างหนัก จะคอยสอดส่องให้ระหว่างที่พวกเจ้าไม่อยู่”
นั่นคือเหตุผลที่พวกเขามาอยู่ที่นี่ มาที่ลิงซ์เพื่อขอให้คิออร์กคอยดูแลป้อมเบิร์กและพื้นที่อื่นๆขณะที่พวกเขากำลังไปที่เมืองหลวง
แน่นอนคิออร์กยินดีช่วยด้วยความเต็มใจ เขากำลังนั่งรถม้าไปส่งฮิโระและลิซ จากนั้นก็จะไปพบคนของพวกเขาที่รออยู่ที่ชานเมือง
“ไม่เป็นไรหรอกไม่ต้องเครียดขนาดนั้น ราชอาณาจักรลิชไทน์ไม่น่าจะเคลื่อนไหวแปลกๆ การรักษาความปลอดภัยรอบป้อมเบิร์กก็ดีขึ้นมาก ดังนั้นไม่น่าจะมีอะไรมากวนใจหรอก.”
“ฮิโระพูดถูก ท่านลุง ก็แก่พอที่จะรู้เรื่องแบบนั้นแล้ว แต่ว่าอย่าประมาทนะคะ”
ทั้งสองพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้คิออร์กรู้สึกเจ็บแปล๊บ แต่เขาก็ก้มหน้าลงด้วยความผิดหวัง
“…นี่ข้าดูไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ไม่นะคะ หนูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นเลย…”
การตีความคำพูดของฮิโระผิดทำให้สถานการณ์แปลกๆเกิดขึ้น เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศฮิโระพยายามคิดคำพูดดีๆออกมา
“อ๊าาาาาา!”
ลิซขึ้นเสียงและลุกขึ้นจากที่นั่ง
“คุณคนขับรถม้าค่า ช่วยหยุดรถม้าสักแปปนะคะ!”
รถม้าหยุดลงอย่างกะทันหันลิซสั่งให้คนขับรถม้าหยุดด้วยการกระแทกไปที่หน้าต่างด้านหน้า ฮิโระรู้สึกว่าเขากำลังถูกดึง ลิซลากเขาลงจากรถม้า
“ลิซทำบ้าอะไรเนี่ย ? จู่ๆทำอะไรแบบนี้?”
“ตามมาเงียบๆก็พอแล้วน่า.”
หลังจากถูกลากไปด้วยความสิ้นหวังลิซก็มองไปตามท้องถนนที่มีพ่อค้าแม่ค้าเรียงราย ซึ่งกำลังขายเครื่องประดับที่มีรายละเอียดซับซ้อน พวกเขาขายสร้อยข้อมือและแหวน
“ก่อนหน้านี้พูดไว้ใช้ไหม ว่าจะซื้อของบางอย่างเพื่อเป็นการไถ่โทษต่อฉัน”
เขาจำได้ว่าเคยสัญญาอะไรแบบนั้นหลังจากสิ้นสุดการต่อสู้กับราชอาณาจักรลิชไทน์
“อืมจำได้สิ แต่…”
“ถ้างั้นช่วยซื้อเจ้านี่ให้ฉันหน่อยได้ไหม ฉันเห็นมันก่อนหน้านี้ก่อนที่พวกเราจะข้ามถนน ฉันคิดว่ามันน่ารักมากเลยล่ะ.”
สิ่งที่เธอถืออยู่ในมือและแสดงให้ฮิโระเห็นคือสร้อยข้อมือสีเงิน การออกแบบนั้นประณีต บางทีเป็นเหตุผลว่าทำไมราคาถึงสูงขนาดนั้น
ฮิโระมองไปยังป้ายราคา ลิซก็พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเบาๆ
“อืมมม ? แพงเกินไปงั้นเหรอ งั้นฉันควรไปเลือกอย่างอื่นดีไหม?”
ลิซพูดด้วยความเสียใจ แต่ราคามันสมเหตสมผลไม่ไกลเกินเอื้อม นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฮิโระกังวล แต่มันถูกไปสำหรับเธอรึเปล่า แม้ว่ามันจะเทียบกับเหล่าอัญมณีไม่ได้ก็ตาม มันคงไม่เหมาะสมกับตัวลิซที่เป็นเจ้าหญิงของจักรวรรดิ
“ไม่หรอก ก็แค่อยากยืนยันให้แน่ใจ ว่าลิซต้องการเจ้านี่จริงๆน่ะเหรอ?”
“อื้ม อยากได้มากเลยล่ะ มีอะไรงั้นเหรอ?”
“ไม่เลย ชั้นคิดว่าหากเธอใส่พวกแหวนหรือสร้อยคอน่าจะเหมาะกับเธอมากกว่า”
ฮิโระชี้อะไรที่แพงกว่าสร้อยข้อมือเงิน แต่ลิซส่ายหัว
“ไม่เลย ฉันถูกใจอันนี้มากกว่าน่ะ”
ฮิโระพูดอะไรไม่ออก เมื่อเธอยืนกรานหนักแน่น ดังนั้นเขาจึงเข้าหาเจ้าของร้านและซื้อสร้อยข้อมือเงิน เขายังซื้ออีกสามสิ่งใส่ไว้ในกระเป๋า
“ซื้ออะไรเหรอฮิโระ?”
“ความลับ พวกเรารีบกลับไปที่รถม้ากันเถอะ”
เมื่อฮิโระมองไปรอบๆเขาเห็นว่าผู้คนเริ่มสังเกตเห็นลิซและเขา ทุกคนต่างจ้องมองดู เป็นเรื่องธรรมดาที่จะถูกจ้องมองเพราะพวกเขาไม่ได้ปลอมตัว
“เอาล่ะพวกเราต้องรีบออกไปแล้ว ฮิโระไปกันเถอะ!”
ลิซรีบวิ่งไปที่รถม้าด้วยความตื่นตระหนก
“อย่าชิ่งหนีไปคนเดียวสิ เฮ้อ ช่างมันเหอะ”
เขาไม่อยากโดนผู้คนรุมล้อม ฮิโระค่อยๆพยายามตามเธอไป
“ฮะฮะฮะ ลิซเลือกสร้อยข้อมืองั้นเหรอ?”
ฮิโระรู้สึกมามีคนเรียกเขาจากด้านหลัง
“…มาอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนแล้วครับเนี่ย?”
เมื่อเขาหันกลับไปก็พบกับคิออร์กซึ่งยืนตรงนั้นมาระยะหนึ่งแล้ว
“หืมมม?ก็ไม่นานเท่าไหร่หรอก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เลือกของขวัญเสร็จแล้วใช่ไหม เพราะงั้นกลับไปที่รถม้ากันเถอะ”
คิออร์กตบไหล่ฮิโระและเริ่มเดินไปข้างหน้าเขา แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หันกลับมาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“อ่า ใช่ เจ้าอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ ในระแวกนี้น่ะเป็นเรื่องปกติที่จะเริ่มต้นด้วยการให้สร้อยข้อมือให้กับคนรัก.”
“งั้นเหรอครับ?”
“มันเป็นธรรมเนียมเก่าๆ แม่ของลิซเคยพูดให้เธอฟังตลอดเวลา ดังนั้นเธอเองก็น่าจะเชื่อในเรื่องนั้นเช่นกัน.”
“ท่านแม่ของลิซเหรอครับ ? แต่ว่าทำไมถึงเป็นสร้อยข้อมือล่ะครับ?”
“ไม่ใช่แค่สร้อยข้อมือหรอกนะ อะไรก็ตามที่เป็นวงกลมที่มีไว้เหมือนกับโซ่ที่คล้องกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือในสร้อยนั่นมีดอกวิสเทียเรีย ฝังอยู่ด้านใน นั่นแหละคือคำตอบ”
“เอ่อขอโทษนะครับ ช่วยพูดส่วนสุดท้ายให้ฟังใหม่หน่อยสิครับ”
ผู้คนเริ่มเอะอะ ฮิโระจึงไม่ได้ยินคำพูดสุดท้ายของคิออร์ก
“อืม ดีแล้วที่เจ้าไม่ได้ยิน มันไม่ใช่สิ่งที่ข้าควรจะเป็นคนบอกเจ้า.”
“หมายความว่าไงเหรอครับ…?”
“อย่าคิดมาก ช่างมันเถอะ ลิซกำลังรอพวกเราอยู่ในรถม้า หากผู้คนล้อมรอบเราแล้ว จะทำให้การเดินทางไปเมืองหลวงของพวกเจ้าล่าช้าลงนะ”
ฮิโระเริ่มเดินอีกครั้งโดยคิออร์กที่เร่งรีบ เขาไม่สามารถมองหาคำตอบอันที่น่าพอใจได้ ฮิโระจึงขึ้นรถม้าด้วยความสับสน
สาระเล็กน้อย
Wisteria หรือวิสเทียเรีย ในภาษาดอกไม้ของทางฝั่งญี่ปุ่น = ความรักอันยิ่งใหญ่และสัญลักษณ์แห่งความรักที่แสดงถึงความผูกพัน มักใช้ในพิธีมงคลต่างๆเช่นพิธีแต่งงานเป็นต้นครับ
ถ้าเป็นความหมายทางฝั่งอเมริกาจะหมายถึง ความงาม ครับ
ขอพูดไว้เท่านี้ละกันที่เหลือคิดกันเอาเองเด้อว่าลิซคิดกับฮิโระยังไง เพราะถ้าบอกไปมันจะสปอยอะดิ