Invincible Divine Dragon’s Cultivation System ระบบฝึกฝนมังกรอมตะ - ตอนที่ 245
ตอนที่ 245 คำสั่งแต่งงาน?
.
“กองกำลังระดับชั้น 2 มีการแต่งตั้งตำแหน่งธิดาสวรรค์จริงๆอย่างนั้นหรือ? มีน่าสนใจมากเลยจริงๆ!”
” ข้าพนันได้เลยว่าธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจี ไม่สามารถรับมือได้เกิน 3 กระบวนท่า!’
“มู่หวั่นหวันจากสำนักวังเปลวไฟเป็นนักรบระดับขั้นที่ 7 ข้าเดาว่าธิดาสวรรค์คนนั้นอาจจะพ่ายแพ้ตั้งแต่กระบวนท่าแรกเลยด้วยซ้ำ!”
ทุกคนจ้องไปที่สนามประลองและพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเกี่ยวกับเรื่องนี้
ผู้อาวุโสและผู้เข้าร่วมจากสำนักกระบี่พฤกษาขจีถูกเสียงที่พูดคุยกันของผู้คนรอบข้างนั้นกดดันจนค่อนข้างที่จะเคร่งเครียด ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าเสี่ยวหยู มีพรสวรรค์ที่สูงล้ำและมีกายาสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน แต่พวกเขาก็ยังคงรู้สึกกังวลกันเป็นอย่างมาก เมื่อเธอนั้นต้องเผชิญหน้ากับลูกศิษย์ของสำนักวังเปลวไฟที่มีพรสวรรค์ในระดับสูง
และตัวเสี่ยวหยูเอง ก็พึ่งจะเข้าสำนักมาได้ไม่นาน ตั้งแต่เธอเริ่มฝึกฝนวิชายุทธมานั้นเธอไม่เคยมีประสบการณ์การต่อสู้ใดๆเลย
ผู้อาวุโสฟางและเจ้าสำนักถังที่อยู่ด้านข้างก็ดูจะกังวลใจกันมากเช่นเดียวกัน
“ฮึฮึฮึ!”
ผู้อาวุโสหลิวของสำนักวังเปลวไฟมีรอยยิ้มจาง ๆ เขาพยักหน้าและมองลูกศิษย์ของเขาด้วยความพึงพอใจ
“เชิญเจ้าลงมือก่อนได้เลย!”
มู่หวั่นหวันยืนอยู่อย่างสง่างามพร้อมกับเอามือไพล่ไว้ข้างหลังข้างหนึ่ง และมืออีกข้างหนึ่งถือกระบี่ชี้มาทางเสี่ยวหยู พร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างดูหมิ่น
“ก็ดี!”
เสี่ยวหยู หายใจเข้าลึก ๆ จับดาบในมือของเธอแน่น อารมณ์ของเธอในตอนนี้ค่อนข้างตึงเครียดเล็กน้อย
นี่เป็นการต่อสู้ครั้งแรกและประสบการณ์การต่อสู้จริงครั้งแรกของเธอ
เธอหลับตาและนึกถึงสิ่งต่างๆที่สอนโดยอาจารย์และเจ้าสำนักถัง
“เฮ้! นั้นเธอทำบ้าอะไรของเธอวะน่ะ?”
“ฮ่าฮ่า ธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจี ช่างตลกดีจริงๆ เธอประหม่าจนหลับตาในขณะที่กำลังจะทำการต่อสู้!”
“เฮ้อ! ถ้าเด็กสาวไร้เดียงสาแบบนี้ยังสามารถกลายเป็นธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจีได้ ข้าคิดว่ามันก็สมควรแล้วล่ะที่สำนักของพวกเขานั้นต้องยุบสำนัก!”
เหล่าชาวยุทธที่อยู่บริเวณโดยรอบต่างส่งเสียงฮือฮากันขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเสี่ยวหยู นั้นยืนหลับตานิ่งในขณะที่จะทำการต่อสู้
ธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจีช่างน่าขบขันเสียจริง!
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะโจมตีแล้วล่ะนะ!” เสี่ยวหยูลืมตาขึ้นมาและมองไปที่มู่หวั่นหวัน ด้วยสายตาที่สงบเยือกเย็น จนดูเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“ฮึฮึ! เชิญ!” มู่หวั่นหวันส่ายหัวอย่างเหยียดหยาม
แต่อย่างไรก็ตาม เสี่ยวหยู ถือดาบของเธอและพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อคมกระบี่ของเธอตัดผ่านอากาศอย่างรวดเร็วประดุจสายลม
เสี่ยวหยู ได้ปลดปล่อยสภาวะสูงสุดของนักรบระดับขั้นที่ 8 เพื่อเตรียมการต่อสู้ตั้งแต่ตอนที่เธอยืนหลับตา
“โอ๊ะ!?”
ในขณะที่เสี่ยวหยูโจมตีมู่หวั่นหวัน ก็รู้สึกเหมือนถูกสัตว์ร้ายกระหายเลือดกำลังจ้องมองมาทางเธอ เธอเห็นประกายแสงกระบี่อันเย็นเยียบที่เสี่ยวหยู ฟันมาที่เธอด้วยความเร็ว สีหน้าของเธอซีดลงในทันที ด้วยความตกใจเธอรีบนำกระบี่ในมือ ออกมาป้องกันกระบี่ของเสี่ยวหยูในทันที
ฟวับบบบ!
เสียงหวีดหวิวของคมกระบี่ที่ตัดผ่านอากาศฟังแล้วน่าสยดสยอง มู่หวั่นหวัน จ้องมองไปที่รังสีกระบี่ที่ฟันผ่านบริเวณช่องท้องของเธอด้วยใบหน้าที่แสดงถึงความหวาดกลัว
เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่นั้นค่อยๆถูกเปิดออกด้วยรอยคมกระบี่พร้อมกับเลือดสีแดงสดที่ไหลทะลักออกมาจากบริเวณช่วงท้องของเธอ
ถ้าเสี่ยวหยูไม่ได้ปรับเปลี่ยนและเบี่ยงวิถีแรงฟาดฟันของกระบี่ออก มู่หวั่นหวัน คงตัวขาดครึ่งตายภายในกระบี่เดียวไปเรียบร้อยแล้ว!
ตกตะลึง!
ในตอนนี้ผู้คนโดยรอบต่างจ้องมองไปที่เวทีการประลองด้วยสีหน้าที่ตกตะลึง บรรยากาศโดยรอบนั้นเงียบสนิท
บางคนอ้าปากค้างและดวงตาเบิกกว้าง พวกเขาแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าของพวกเขา
ลูกศิษย์สาวของสำนักวังเปลวไฟประลองกับธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจี โดยการต่อให้ด้วยการที่เธอจะใช้มือเพียงข้างเดียวด้วยท่าทีที่หยิ่งผยอง แต่สิ่งที่ตามมานั้นก็คือเธอพ่ายแพ้อย่างหมดรูปเพียงแค่การโจมตีเดียวและบาดเจ็บสาหัสจนเกือบจะถึงชีวิต
“การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและทรงพลัง!”
“ความเร็วและพลังของเธอเทียบเท่ากับนักรบระดับขั้นที่ 8!”
“เฮ้ย! ธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจีเป็นนักรบระดับขั้นที่ 8 อย่างนั้นเหรอ?”
“สยบได้เพียงในกระบวนท่าเดียว หากข้ามองไม่ผิด ธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจี ได้ผ่อนกำลังลงในช่วงท้ายก่อนที่กระบี่จะถึงตัวของลูกศิษย์สำนักวังเปลวไฟ ถ้าไม่เช่นนั้นหญิงสาวคนนั้นคงจะต้องตายไปแล้วอย่างแน่นอน!’
“เธอต้องเป็นนักรบระดับขั้นที่ 8 เป็นอย่างน้อย เธอเพิ่งอายุเพียงเท่าไหร่กันเชียวน่าจะไม่ถึง 20 ปีเสียด้วยซ้ำ พรสวรรค์ระดับนี้ ช่างน่าตกใจเสียจริงๆ!”
“นักรบระดับขั้นที่ 8 ! ความสามารถและพรสวรรค์ในระดับนี้ เธอคงจะสามารถเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดลมปราณได้อย่างแน่นอน ไม่แปลกใจเลยที่เธอสามารถได้เป็นธิดาสวรรค์ของสำนักกระบี่พฤกษาขจี เธอนั้นถูกวางตัวไว้ให้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไปของสำนักกระบี่พฤกษาขจีแล้วนั่นเอง!”
“พรสวรรค์ของเธอนั้นน่ากลัวมากเลยจริงๆ ข้าว่าแม้แต่ธิดาสวรรค์และโอรสสวรรค์แห่งสำนักวังเปลวไฟก็ยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับเธอได้อย่างแน่นอน!”
บรรยากาศภายในลานพิธีนั้นร้อนระอุขึ้นมาทันที ทุกคนต่างจ้องมองไปที่เสี่ยวหยู ด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน
ในตอนแรกหลายๆคนยังคงเยาะเย้ยและล้อเลียนเธออย่างสนุกสนาน แต่หลังจากนั้นไม่นานภายใต้กระบี่ที่ตวัดฟันออกมาเพียงครั้งเดียว…
เด็กสาวอายุน้อยและพรสวรรค์ที่น่ากลัว!
“เป็นไปได้ยังไง!?”
แม้แต่เหล่าสาวกของสำนักวังเปลวไฟก็จ้องไปที่ เสี่ยวหยู ด้วยความตกใจ
ด้วยความแข็งแกร่งของนักรบระดับขั้นที่ 8 ของเธอ ความสามารถของเธอในตอนนี้นั้นเหนือกว่า ลูกศิษย์หลักหลายๆคนของสำนักวังเปลวไฟไปแล้ว และอายุของเธอนั้นยังไม่ถึง 20 ปีเสียด้วยซ้ำ!
รอยยิ้มอันหยิ่งยโสบนใบหน้าของ หลัวฟางหัว หายไปในทันที เธอจ้องมองไปที่เสียวหยูด้วยความตกตะลึงและประหลาดใจ
ผู้อาวุโสทั้งสี่ที่อยู่ด้านล่างใกล้กับหม้อกลั่นขนาดใหญ่ต่างก็จ้องมองไปที่เสี่ยวหยู ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
ธิดาสวรรค์ของสำนักระดับชั้น 2 ที่อายุไม่น่าจะเกิน 20 ปี แต่มีความแข็งแกร่งระดับนักรบขั้นที่ 8
พรสวรรค์ของเธอนั้นสูงล้ำยิ่งกว่าธิดาสวรรค์และโอรสสวรรค์แห่งสำนักวังเปลวไฟมาก
“นี่! ฉันชนะแล้วเหรอ?” เสี่ยวหยู มองไปยังมู่หวั่นหวันผู้ซึ่งตอนนี้ ทรุดตัวอยู่ที่พื้นพร้อมกับมีสีหน้าที่ตกใจกลัว
“อืมม! ความสามารถของธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจีนั้นยอดเยี่ยมมาก ถังหลิงหลง เจ้าสำนักกระบี่พฤกษาขจี ช่างมีวาสนามากจริงๆที่สามารถมีศิษย์แบบนี้ได้!’
ผู้อาวุโสหลิวนั่งอยู่ทางด้านใต้หม้อกลั่น เขาพึมพำด้วยเสียงต่ำและมีความอิจฉาอยู่ในแววตาของเขา
ผู้อาวุโสหลิวค่อยๆลุกยืนขึ้นอย่างช้าๆ เขามองไปที่เสี่ยวหยู ด้วยดวงตาที่เป็นประกาย พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “ยอดเยี่ยมมาก! สาวน้อยเจ้านั้นมีพรสวรรค์ในระดับสูงมากจริงๆที่สามารถบรรลุระดับนักรบขั้นที่ 8 ได้ตั้งแต่อายุเพียงเท่านี้!”
“หือออ?!”
“เกิดอะไรขึ้น? ผู้อาวุโสแห่งสำนักวังเปลวไฟ กล่าวชื่นชมเธอเป็นการส่วนตัวยังงั้นเหรอ?”
กลุ่มชาวยุทธที่อยู่ในลานพิธีต่างก็งงงวย พวกเขามองไปที่ผู้อาวุโสหลิวแห่งสำนักวังเปลวไฟด้วยความสับสน
” เจ้าชื่อหวังหยู่ใช่หรือไม่? เจ้าทำได้ดีมากทีเดียว!” ชายชรายังคงสรรเสริญอย่างชื่นชม “แต่มันคงจะเป็นการสูญเปล่าอย่างมาก หากว่าเจ้านั้นยังคงอยู่ในสำนักกระบี่พฤกษาขจีต่อไป ฉะนั้นข้าจะเป็นธุระจัดการเรื่องบางอย่างให้กับเจ้าด้วยตัวเองเลยก็แล้วกัน!”
” เนื่องจากธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจี เป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์ในระดับสูง สำนักวังเปลวไฟของเรานั้นก็มีลูกศิษย์คนหนึ่งที่เป็นลูกหลานของผู้อาวุโสในสำนัก ฉะนั้นข้าจึงตัดสินใจให้ธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจีนั้นได้แต่งงานกับ เผิงเฟิงหยุน ลูกศิษย์ของสำนักวังเปลวไฟของเรา!”
ชายชรายืนอยู่ข้างหม้อกลั่น พูดออกมาพร้อมกับมีรอยยิ้มที่มุมปากของเขา
“อะไรนะ! สำนักวังเปลวไฟต้องการให้ธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจีนั้นแต่งงานกับหลานชายของผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักวังเปลวไฟยังงั้นรึ? นั้นเท่ากับว่าสำนักกระบี่พฤกษาขจีสามารถเข้าร่วมกับสำนักวังเปลวไฟโดยตรงเลยนะสิ!”
“นั่นถือว่าเป็นโชคของสำนักกระบี่พฤกษาขจีเลยทีเดียว ไม่แน่สำนักของพวกเขานั้นอาจจะได้ยกสถานะให้กลายเป็นหนึ่งในสาขาย่อยของสำนักวังเปลวไฟก็ได้!”
“ถ้าอย่างนั้นลูกศิษย์ทั้งหมดของสำนักกระบี่พฤกษาขจี ก็จะกลายเป็นลูกศิษย์โดยตรงของสำนักวังเปลวไฟไปในทันทีเลยนะสิ! ช่างน่าอิจฉาซะจริงๆ!”
ทุกคนที่อยู่ด้านล่างเวทีต่างเริ่มการสนทนาพูดคุยกันอย่างเมามันอีกครั้ง บางคนอิจฉาสำนักกระบี่พฤกษาขจี ที่ได้รับโอกาสนี้เหมือนกับได้รับพายที่ตกมาจากฟ้าโดยตรง
แต่เหล่าลูกศิษย์ของสำนักวังเปลวไฟนั้นค่อนข้างที่จะตกใจกับคำพูดของผู้อาวุโสหลิว
“ทายาทของผู้อาวุโสเผิงยังงั้นเหรอ? เผิงเฟิงหยุน คนงี่เง่าที่น่าขยะแขยงคนนั้นน่ะเหรอ?”
“โอ้ว! การที่ได้แต่งงานกับธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจี คนโง่เผิงเฟิงหยุน คนนี้ช่างโชคดีเสียจริงๆ!’
“จิ๊ จิ๊ จิ๊ ธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจีนั้นสวยงามมากเลยทีเดียว น่าอิจฉามาก ทำไม่ข้าถึงไม่มีท่านปู่เป็นผู้อาวุโสใหญ่แบบนี้บ้างนะ!”
สาวกของสำนักวังเปลวไฟ ต่างพูดคุยกระซิบกระซาบกันอย่างสนุกปาก
แม้ว่าเสียงพูดคุยของพวกเขานั้นจะเบามาก แต่เหล่าชาวยุทธที่อยู่บริเวณโดยรอบก็สามารถได้ยินคำพูดของพวกเขาได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว
เหล่าชาวยุทธที่อยู่บริเวณโดยรอบต่างตกตะลึงกันในทันทีหลังจากที่ได้ยินคำพูดของบรรดาลูกศิษย์สำนักวังเปลวไฟ
การที่ให้ธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจี หรือว่าที่เจ้าสำนักคนต่อไปของสำนัก แต่งงานกับคนโง่เง่าปัญญาอ่อนและน่าเกลียดแบบนี้ แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่านี่เป็นการกลั่นแกล้งและเป็นการดูถูกอย่างจงใจ
ไม่มีอะไรจะน่าอัปยศมากไปกว่านี้อีกแล้ว!
……..
จบบท