Invincible Divine Dragon’s Cultivation System ระบบฝึกฝนมังกรอมตะ - ตอนที่ 244
ตอนที่ 244 การประลองของเสี่ยวหยู
.
“อาณาจักรขอบเขตการฝึกฝนที่เหนือกว่าระดับก่อกำเนิดลมปราณมักถูกมองว่าเป็นเพียงแค่ในตำนานเท่านั้นเนื่องจากลมปราณและพลังงานจิตวิญญาณทางธรรมชาติในยุคเสื่อมโทรมนี้ มีเหลืออยู่น้อยมาก!”
“แต่อย่างไรก็ตามขอบเขตดังกล่าวน่าจะมีอยู่จริง กระผมสามารถรู้สึกได้ถึงมันอย่างเลือนลางแต่ก็ยากที่จะพัฒนาและบรรลุไปถึงได้!” โม่ชิงหลงหันไปตอบกับหวังเสียน
หวังเสียนพยักหน้าเล็กน้อย ระดับขอบเขตที่อยู่เหนือกว่าระดับก่อกำเนิดลมปราณถูกเรียกว่าระดับ จิตวิญญาณเทพ โดยผู้คนในโลกยุทธภพ แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณส่วนมากจะเรียกมันว่าระดับ ขอบเขตเม็ดยาเซียน
เพราะการที่จะต้องฝึกฝนและผ่านขั้นตอนนี้พวกเขาจะต้องบีบอัดพลังงานในเส้นลมปราณทั้งหมดในร่างกายของพวกเขาเพื่อรวบรวมมันและขึ้นรูปเป็นรูปทรงกลมลักษณะคล้ายกับเม็ดยา หลังจากนั้นพวกเขาจะต้องหลอมรวมมันเข้ากับจุดตันเถียนของพวกเขา
แต่อย่างไรก็ตามขั้นตอนการบีบอัดพลังงานทั้งหมดในเส้นลมปราณนั้นยากมากเนื่องจากกระแสพลังงานจิตวิญญาณทางธรรมชาติของโลกในนี้นั้นบางเบามากเกินไป มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้ฝึกฝนวิชายุทธในยุคเสื่อมโทรมนี้ จะสามารถฝึกฝนไปจนถึงระดับขอบเขตขั้นนั้นได้
และส่วนประกอบที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือคุณลักษณะของธาตุ ผู้ที่จะฝึกฝนจนไปถึงระดับ ขอบเขตเม็ดยาเซียน ต้องมีคุณลักษณะของธาตุประจำกายเสียก่อนจึงจะสามารถฝึกฝนจนเข้าสู่ขอบเขตดังกล่าวได้ เช่น ผู้มีลักษณะธาตุประจำตัวเป็นธาตุไม้ พวกเขาสามารถสร้างจิตวิญญาณเทพหรือขอบเขตเม็ดยาเซียนคุณลักษณะธาตุไม้ในจุดตันเถียนของพวกเขาได้ ส่วนผู้ที่มีคุณลักษณะประจำตัวเป็นธาตุอื่นๆก็จะสามารถทำได้เช่นเดียวกันกับที่กล่าวมาข้างต้น
ขณะที่หวังเสียนกำลังสนทนากับโม่ชิงหลงการประเมินก็ดำเนินต่อไปอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้าก็มีผู้ที่สมัครผ่านการคัดเลือกเพียง 25 คนจากจำนวนผู้สมัครเริ่มต้นกว่า 110 คน ผู้สมัครที่เหลืออีก 25 คนจะได้รับคุณสมบัติในการเข้าร่วมกับสำนักวังเปลวไฟ
มีผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับอัจฉริยะมากมายในกองกำลังชั้นหนึ่งที่ล้มเหลวในการประเมิน จากสิ่งนี้เราสามารถบอกได้ว่าการประเมินของสำนักวังเปลวไฟ เข้มงวดเพียงใด
ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่าสำนักวังเปลวไฟนั้นมีความแข็งแกร่งและทรงพลังมากขนาดไหน!
สำหรับกองกำลังธรรมดาทั่วไป ในสายตาของพวกเขานั้นสำนักวังเปลวไฟยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่มากเลยทีเดียว!
“การคัดเลือกสาวกที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปีสิ้นสุดลงแล้ว! “
หลัวฟางหัว มองไปยังกลุ่มของผู้ที่ผ่านการทดสอบที่สามารถเข้าร่วมสำนักวังเปลวไฟได้ ในตอนนี้พวกเขาทุกคนต่างมีรอยยิ้มที่ตื่นเต้นดีใจ
“ก่อนที่เราจะดำเนินการทดสอบและประเมินเพื่อคัดเลือกลูกศิษย์รอบต่อไปข้ามีเรื่องส่วนตัวที่จะต้องชำระความให้เรียบร้อยเสียก่อน!”
ในขณะที่เธอพูด เธอจ้องมองไปยังกลุ่มของสำนักกระบี่พฤกษาขจี
“ท่านอาจารย์ของข้า หรือผู้อาวุโสต้วนแห่งสำนักวังเปลวไฟ ในอดีตเคยมีเรื่องบาดหมางและความเกลียดชังเป็นการส่วนตัวกับเจ้าสำนักถังแห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจี และท่านอาจารย์ของข้าต้องการที่จะจัดการเรื่องบาดหมางในอดีตให้เสร็จสิ้นลงไปในตอนนี้!” หลัวฟางหัว มีรอยยิ้มเย็นชาในขณะที่เธอพูด
โอ้ววว!
แซ่ดดๆๆ!
เมื่อเธอพูดจบประโยคเหล่าบรรดาชาวยุทธที่อยู่โดยรอบก็ส่งเสียงพูดคุยกันเซ็งแซ่ขึ้นมา
ชาวยุทธหลายพันคนที่มารวมกันอยู่กลางลานจัตุรัสแห่งนี้ ต่างมองไปยังสำนักกระบี่พฤกษาขจี มีทั้งคนที่สงสารและเห็นใจ บางคนแสดงความยินดีในการที่เห็นผู้อื่นตกอยู่ในความทุกข์ยาก และบางคนก็แสดงออกมาอย่างนิ่งเฉยเนื่องจากเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
“สำนักกระบี่พฤกษาขจี เป็นสำนักเล็กๆระดับชั้น 2 เพียงเท่านั้น คราวนี้สำนักของพวกเขาจบสิ้นลงแล้วล่ะ! หมดหนทางแก้ไขแล้ว ผู้อาวุโสต้วนนั้นเป็นผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักวังเปลวไฟ และผู้ที่สร้างความขุ่นเคืองให้กับผู้อาวุโสต้วน ก็ยังเป็นถึงเจ้าสำนักของสำนักกระบี่พฤกษาขจีเสียด้วย คราวนี้สำนักของพวกเขาอาจจะถูกกวาดล้างจนสิ้นไปเลยก็ได้!”
“ข้าว่าอย่างน้อยสำนักวังเปลวไฟคงไม่คิดจะกวาดล้างสำนักกระบี่พฤกษาขจีทั้งสำนักหรอก ด้วยความแข็งแกร่งของสำนักวังเปลวไฟพวกเขาไม่จำเป็นจะต้องรอจนถึงในตอนนี้ การกวาดล้างสำนักระดับชั้น 2 อย่างสำนักกระบี่พฤกษาขจี น่าจะง่ายดายยิ่งกว่าการฆ่ามด!”
“สำนักวังเปลวไฟอาจจะต้องการบดขยี้พวกเขาลงในงานพิธีแสวงบุญเพื่อฉลองการเลื่อนระดับขั้นเป็นสำนักศักดิ์สิทธิ์ก็ได้!”
“ฮึ!”
“ท่านอาจารย์ของข้านั้นเป็นผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักระดับชั้นศักดิ์สิทธิ์ ท่านอาจารย์จะไม่ลดสถานะของท่านลงไปเพื่อกวาดล้างกองกำลังระดับชั้น 2 โดยไร้เหตุอันควรอย่างแน่นอน!”
หลัวฟางหัว พูดขึ้นมาด้วยเสียงอันดังอีกครั้งหนึ่ง เธอมองไปยังกลุ่มชาวยุทธที่กำลังพูดคุยกันอยู่ด้วยสายตาที่เย็นชา
กลุ่มชาวยุทธที่อยู่บริเวณโดยรอบต่างเงียบเสียงลงกันไปในทันที
“สำนักวังเปลวไฟของเราจะไม่กระทำการรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าอย่างเช่นการกวาดล้างสำนักระดับชั้น 2 อย่างแน่นอน แต่เรื่องปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในอดีตนั้นต้องได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องเช่นเดียวกัน!”
หลัวฟางหัว เงียบเสียงลงชั่วครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะหันมองไปยังทางสำนักกระบี่พฤกษาขจี
“ส่งลูกศิษย์ที่มีฝีมือดีที่สุดของพวกเจ้าขึ้นมาบนเวทีการประลอง ตามข่าวที่ข้าได้รับมาสำนักกระบี่พฤกษาขจีของพวกเจ้านั้น ดูเหมือนจะมีลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงล้ำถึงขนาดได้รับการแต่งตั้งให้เป็นธิดาสวรรค์ของสำนักเลยทีเดียว ให้พวกเราได้เห็นความสามารถของธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจีเสียหน่อยเถอะ! หากความสามารถของเธอนั้นเป็นที่น่าพอใจพวกเรายังสามารถพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ แต่หากความสามารถของเธอนั้นแย่เกินไป พวกเจ้าก็ควรจะยุบสำนักและแยกย้ายกันไปเสียเถอะ! ไม่ควรจะมีสำนักที่ด้อยค่าอย่างนี้อยู่อีกต่อไป!”
ยุบสำนัก! แยกย้ายกันไป! ไม่ควรมีสำนักด้อยค่าอย่างนี้อยู่อีกต่อไป!
คำพูดของเธอในท้ายประโยคนั้นฟังดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง แรงกดดันที่เคยแผ่กระจายครอบคลุมไปทั่วทั้งเขตภูเขาหวู่ต้วน ในตอนนี้เหมือนกับกำลังจะกดทับลงไปที่คนของสำนักกระบี่พฤกษาขจีอย่างหนักหน่วง จนพวกเขารู้สึกแข็งค้างและเย็นยะเยือกไปทั้งตัว
“แรงกดดันของสำนักระดับชั้นศักดิ์สิทธิ์นั้นช่างทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่เจตจำนงของคนในสำนักก็สามารถสร้างแรงกดดันให้กับสำนักกระบี่พฤกษาขจีได้มากมายขนาดนี้ ขนาดพวกเราที่อยู่ใกล้ๆกับพวกเขายังรู้สึกได้ถึงความเป็นปรปักษ์ ในตอนนี้คนของสำนักกระบี่พฤกษาขจี คงจะแทบหายใจกันไม่ออกอย่างแน่นอน!”
“ช่างน่าหวาดกลัวมากเสียจริงๆ!”
เหล่าชาวยุทธที่อยู่โดยรอบต่างกลั้นลมหายใจของพวกเขา พร้อมกับมีเหงื่อเย็นๆอยู่บนหน้าผาก หากในตอนนี้พวกเขานั้นเป็นคนของสำนักกระบี่พฤกษาขจี พวกเขาคงจะรับแรงกดดันในระดับนี้ไม่ไหว พวกเขาบางคนคงจะเลือกคุกเข่าลงและอ้อนวอนขอความเมตตาไปแล้ว
และในความเป็นจริงในขณะนี้ทุกคนของสำนักกระบี่พฤกษาขจี ก็กำลังตัวสั่นสะท้านกันด้วยความหวาดกลัว แต่ในแววตาของพวกเขาก็ยังแสดงออกถึงความทรนงและความดื้อรั้นกันเป็นอย่างยิ่ง พวกเขายอมตายดีกว่ายอมสยบ
ใบหน้าของเจ้าสำนักถังนั้น ซีดขาวราวกับแผ่นกระดาษ คำพูดที่พูดว่สต้องการให้พวกเขานั้นยุบสำนักยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา
นั่นจะเป็นความอัปยศอดสูอย่างที่สุดเท่าที่เคยมีมา! บรรพบุรุษของเขาและบรรดาสำนักกระบี่พฤกษาขจีรุ่นก่อนๆ คงได้ลุกออกมาจากหลุม เพื่อสาปแช่งเขาเป็นแน่แท้! และตัวเขาคงจะอับอายไปตลอดชีวิต หากว่าตัวเขานั้นต้องยุบสำนักกระบี่พฤกษาขจีลงไป
เจ้าสำนักถังมองไปยังผู้อาวุโสต้วน ผู้อาวุโสของสำนักวังเปลวไฟด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน
ผู้อาวุโสต้วน ก็มองไปที่เจ้าสำนักถังด้วยความดูถูกและเหยียดหยาม
ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอีกแล้ว ความสามารถในการที่จะเป็นคู่แข่งกัน ตั้งแต่อดีตนั้นได้หายไปแล้ว ในตอนนี้ผู้อาวุโสต้วนมีความสามารถที่เหนือกว่าและยังอยู่ในตำแหน่งผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักวังเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของเขานั้นก็สามารถทำให้สำนักกระบี่พฤกษาขจีนั้นยุบตัวลงได้อย่างง่ายดาย
“ท่านเจ้าสำนักถัง พวกเขาเพียงต้องการให้ข้าออกไปต่อสู้กับตัวแทนของพวกเขา ข้าจะแสดงให้พวกเขาเห็นเองว่าสำนักกระบี่พฤกษาขจีของพวกเรานั้นเขาไม่ง่ายที่จะรังแก!”
เสี่ยวหยู เห็นว่าผู้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบมองมายังสำนักกระบี่พฤกษาขจีของเธอด้วยความรังเกียจ และสาเหตุนี้ก็เนื่องมาจากคนของสำนักวังเปลวไฟ ในตอนนี้ความรู้สึกของเธอจึงเต็มไปด้วยความโกรธ
“เสี่ยวหยู ข้าในฐานะที่เป็นเจ้าสำนักข้าต้องขอโทษเจ้าด้วยจริงๆ ที่ทำให้เจ้าได้รับความเดือดร้อนเพราะเรื่องส่วนตัวของข้า!” เจ้าสำนักถัง มองเสี่ยวหยู ด้วยความสำนึกผิด
“อย่าตำหนิตัวเองฉันนั้นเลยท่านเจ้าสำนัก ข้านั้นจะชนะพวกเขาได้อย่างแน่นอน!” เสี่ยวหยู พูดออกมาอย่างเชื่อมั่น และจ้องมองไปยังกลุ่มของสำนักวังเปลวไฟ ด้วยสายตาที่เย็นชา
“อืม!”
โดยที่ว่าสำนักวังเปลวไฟนั้นระบุถึงเสี่ยวหยูโดยเฉพาะ เจ้าสำนักถังนั้นไม่มีทางต่อต้านพวกเขาได้ เขาทำได้แค่เพียงพยักหน้าอย่างช้าๆแล้วหันไปมองหวังเสียน
หวังเสียน ยิ้มบางๆและไม่ได้พูดอะไร
การปล่อยให้ เสี่ยวหยู ได้ต่อสู้จะเป็นการเพิ่มประสบการณ์และสร้างรากฐานความมั่นคงให้กับการฝึกฝนของเธอ
เมื่อเสี่ยวหยู ก้าวเข้ามาสู่โลกยุทธภพแล้ว บางครั้งเธอจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาด้วยตัวของเธอเอง และมันจะเป็นการดีอย่างมากเลยทีเดียวถ้าหากการเพิ่มประสบการณ์การต่อสู้ นั้นยังอยู่ภายใต้สายตาและการดูแลของหวังเสียน
ถ้าหวังเสียน ปกป้องเธอเอาไว้ใต้ปีกของเขาตลอดเวลา เสี่ยวหยูจะไม่สามารถกางปีกและบินออกไปเผชิญโลกกว้างได้ด้วยตัวเองอย่างมั่นคง
และในชีวิตจริงปัญหาบางสิ่งบางอย่าง เธอต้องเผชิญหน้ากับมันเพียงลำพัง!
“ข้า หวังหยู ธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจี ขอคำชี้แนะจากศิษย์ของสำนักวังเปลวไฟด้วย!”
หลังจากได้รับการอนุญาตจากเจ้าสำนักถังแล้วเสี่ยวหยู ก็ก้าวไปข้างหน้าและจ้องมองไปที่ หลัวฟางหัว ด้วยสายตาที่เย็นชา
“ฮึ! เด็กคนนี้อวดดียิ่งนัก! ธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจีอย่างนั้นรึ? ก็แค่เด็กสาวตัวเล็กๆที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”
“โอ้ว! … นั่นคือธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจีอย่างนั้นเหรอ? เธอน่าจะอายุไม่เกิน 18 หรือ 19 ปี แต่ดูแล้วเธอน่าจะมีความสามารถมากพอตัวทีเดียวถึงได้เป็นธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจี!”
“เป็นไปได้ไหมว่าเธออาจเป็นลูกนอกสมรสของผู้นำสำนักกระบี่พฤกษาขจีก็ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า! เธอนั้นยังเด็กมากและเธอยังสามารถเป็นธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจี น่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังเรื่องนี้พอสมควรเลยทีเดียวล่ะ ฮ่าฮ่า!”
“ดูเหมือนว่าสำนักกระบี่พฤกษาขจี คงจะหมดอนาคตอย่างแน่นอนเลยทีเดียว ถึงให้เด็กสาวอายุเพียงเท่านี้เป็นธิดาสวรรค์ของสำนัก ช่างน่าสมเพชเสียจริงๆ!’
เมื่อบรรดาเหล่าชาวยุทธเห็น เสี่ยวหยู เดินออกมาข้างหน้า ทุกคนต่างส่ายหัวเธอนั้นยังอายุน้อยมากเกินไปและระดับขั้นวรยุทธก็ไม่น่าจะสูงมากนัก ดูแล้วเด็กสาวคนนี้ก็น่าจะกลายเป็นเครื่องสังเวยให้กับความแข็งแกร่งของลูกศิษย์สำนักวังเปลวไฟเป็นแน่แท้
“ฮึ่มม!”
เสี่ยวหยูได้ยินเสียงเยาะเย้ยของฝูงชน ได้อย่างชัดเจน เธอกำดาบในมือของเธอเอาไว้แน่นและจ้องมองไปข้างหน้าอย่างโกรธเคือง
” เชอะ! ก็แค่ลูกเจี๊ยบตัวเล็กๆ ช่างหยิ่งผยองมากเสียจริงๆ!”
เมื่อหลัวฟางหัว เห็นเสี่ยวหยูก้าวออกมา เธอก็พูดออกมาด้วยความดูถูกพร้อมกับมีรอยยิ้มที่มุมปากของเธอ
สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความไร้ประสบการณ์ในการต่อสู้ของเสี่ยวหยู ได้อย่างชัดเจน แค่มองผ่านการแสดงออกของเสี่ยวหยู เธอก็รู้แล้วว่าเด็กสาวคนนี้นั้นพึ่งออกมาท่องโลกยุทธภพเป็นครั้งแรก
“ใครอยากจะให้ความรู้แก่ธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจีบ้าง!”
หลัวฟางหัว มองไปทางสาวกของสำนักวังเปลวไฟ และถามเสียงดัง เธอยังจงใจเลือกใช้คำว่า ‘ให้ความรู้’ อย่างประชดประชัน ทุกคนที่ได้ยินต่างรู้ความหมายของน้ำเสียงและคำพูดของเธอเป็นอย่างดีว่านั่นเป็นการดูถูกเสี่ยวหยู อย่างอ้อมๆ
” นั่นคือน้องสาวของหมอเทวะหวังใช่ไหม?”
“ใครจะคาดคิดว่าเธอนั้นจะเป็นธิดาสวรรค์ของสำนักกระบี่พฤกษาขจี!’
ในบรรดาลูกศิษย์ของสำนักวังเปลวไฟ มู่หวั่นหวันและชายหนุ่มอีกสองสามคนที่อยู่รอบตัวเธอเห็นเสี่ยวหยู พวกเขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ฮึ! ธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจีงั้นรึ? ข้าจะสั่งสอนและให้ความรู้กับนางเอง!”
ริมฝีปากของมู่หวั่นหวัน ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เมื่อนึกถึงวันที่หวังเสียนทำให้พวกเธอต้องอับอายในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย
เธอนั้นค่อนข้างที่จะหวาดกลัวในอิทธิพลของหมอเทวะหวังในเมืองเจียงเฉิง แต่ในตอนนี้ที่นี่เป็นเขตภูเขาหวู่ต้วน หนำซ้ำหมอเทวะหวังคนนี้ยังปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับสำนักวังเปลวไฟอีกด้วย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เธอไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอิทธิพลและความสามารถใดๆของหมอเทวะหวังอีกต่อไป
“ความอับอายในวันนั้นข้าจะคืนให้น้องสาวของเจ้าในวันนี้!”
มู่หวั่นหวันเดินไปข้างหน้า เธอถือกระบี่บางที่ดึงออกมาจากเข็มขัดไว้ในมือและมองไปที่ เสี่ยวหยู ด้วยท่าทางที่หยิ่งผยอง
“ข้ามู่หวั่นหวันจากสำนักวังเปลวไฟ จะขอชี้แนะธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจีเอง!”
ขณะที่เธอพูดเธอยกมือข้างหนึ่งขึ้นก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าเห็นว่าเจ้านั้นเป็นแค่เด็กสาวตัวเล็กๆ และไร้เดียงสาต่อโลกภายนอก ข้าจะต่อให้เจ้าสักเล็กเล็กน้อยด้วยการที่จะใช้เพียงมือข้างเดียว!”
“ชิ! นั่นมันก็แล้วแต่เจ้า แต่ใครจะให้ความรู้ใครนี่ก็ยังไม่แน่นัก!”
เสี่ยวหยู กัดฟันและจ้องมองไปที่มู่หวั่นหวัน พร้อมกับค่อยๆชักกระบี่ยาวของเธอออกมา
“ให้บทเรียนที่ดีกับเธอซะ! ธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจีจะได้รู้จักว่าโลกยุทธภพนั้นเป็นอย่างไร และหลังจากนี้เธอจะได้สำนึกว่าเธอนั้นไม่ควรจะหยิ่งผยองมากเกินไป!” หลัวฟางหัว หันไปพูดกับมู่หวั่นหวัน ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเย็นชา
……..
จบบท