I’m in Hollywood – ย้อนเวลามาเป็นเจ้าพ่อฮอลลีวูด - ตอนที่ 130
Chapter 130 – ความช่วยเหลือเล็กน้อย
จอนนี่โต คือหนึ่งในผู้กำกับฮ่องกงไม่กี่คนที่ เอริค ชอบมากที่สุด เพราะความสำเร็จในเรื่อง A Better Tomorrow ที่ทำโดย จอร์นวู ในปี 1986 คนส่วนมากจึงคิดถึง จอร์นวู ตอนที่พวกเขาเห็นหนังจีนแอ็คชั่นแต่ เอริค ชอบ จอนนี่โต มากกว่า หนังของชายคนนี้ดูเย็นชา, รุนแรง, โรคจิตและมีองค์ประกอบอื่นอย่างความรู้สึกสงสารรึความเศร้าด้วย
Running Out of Time คือหนึ่งในหนังไม่กี่เรื่องที่ จอนนี่โต ได้สร้างซึ่งทำให้ เอริค ประทับใจมากที่สุด ถ้าตัดสินหนังจากมุมมองผู้ชม งั้นคำพูดนั้นก็จะปรากฏขึ้นมาคือคำพูดนี้อย่างแน่นอน : เจ๋ง ! นี่แหละคือเหตุผลหลักที่ เอริค เลือกหนังเรื่องนี้
นี่คือความพยายามสำหรับ เอริค เขาต้องการดูว่าถ้าหนังที่ไม่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ฮอลลีวูดนั้นจะประสบความสำเร็จได้รึเปล่า
จากความจำของเขา เขาพบว่าลิขสิทธิ์หนังส่วนมากนั้นสามารถประสบความสำเร็จได้ถึง 1 ปีจะถูกขายให้กับค่ายอื่น การแย่งหนังมาจากมือของค่ายหนังใหญ่นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้และหนังที่ยังไม่ขายนั้นก็ยากที่จะหาได้ ถ้าเขายังคงถ่ายหนังด้วยความเร็วแบบนี้ต่อไป ในอีก 1 รึ 2 ปีเขาคงหาหนังที่จะถ่ายต่อไปไม่ได้
แน่นนอนว่านี่คือความพยายามที่ดูเข้าท่า Running Out of Time นั้นมีเรื่องราวที่ตื่นเต้นและหนังเองก็ได้ ทอมครูส กับทอมแฮงค์ มาเล่นให้ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้มีความต่างระหว่างรสนิยมของชาวตะวันออกและตะวันตก
อย่างที่สองชื่อของนักแสดงทั้งสองนั้นสามารถการันตีว่าหนังนั้นจะทำรายได้ได้ดี อย่างน้อยตอนแรกก็คงไม่มีปัญหาอะไร ตามหน่วยข้อมูลของทาง Columbia ด้วยการที่ ทอมครูส โด่งดังขึ้นอีกครั้งด้วยหนัง Rain Man กับ ทอมแฮงค์ ที่เพิ่งได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ในหนังเรื่อง Big บวกกับรายได้จากชื่อของ เอริค มันถือว่าง่ายอย่างมากที่หนังจะทำเงินได้มากกว่า 100 ล้าน
ในวันที่ 5 ในสตูดิโอขนาดใหญ่ของ Columbia เอริค ได้เริ่มถ่าย Running Out of Time เป็นครั้งแรก สิ่งแรกที่เขาจะถ่ายนั้นคือฉากในร่มแต่ครั้งนี้ เอริค ไม่ได้ถ่ายฉากเป็นลำดับเหมือนที่เขาทำใน Pretty Woman
ใน Running Out of Time ภาพของนักแสดงสองคนนั้นชัดเจนอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะไม่เพิ่มการเปลี่ยนแปลงอะไรลงไป หากนักแสดงทั้งเล่นบทตัวเองได้ดี ไม่ว่าเขาจะถ่ายฉากไหนงั้นมันคงไม่มีปัญหา ดังนั้น เอริค จึงตัดสินใจถ่ายจากฉากที่ง่ายที่สุดไปหายากทีสุด
—- —-
ในห้องตรง ครูส ที่เล่นเป็น แอนดี้ ได้รู้ว่าตัวเองอยู่ในสภาพที่แย่ลง เขาค่อยๆใส่เสื้อและถามกับหมอ
“นานแค่ไหน ? ”
“ 4 อาทิตย์ ถ้านายเริ่มมีเลือดไหล นายจะตายตอนไหนก็ได้ “ – หมออ้วนที่นั่งอยู่ด้านหลังเก้าอี้ตอบกลับมาด้วยเสียงแหบแห้ง
แอนดี้ ไม่ได้หยุดใส่เสื้อในตอนที่ได้ยินข่าวร้ายและหลังจากที่เขารัดเข็มขัดเสร็จ เขาก็ได้ยื่นเงินให้กับหมอและพูดขึ้นมา – “ ไม่เป็นไร เอายาแก้ปวดมาให้ฉันสักสี่อาทิตย์ “
แอนดี้ รับขวดยาแก้ปวดมาแล้วเก็บเข้าใส่เสื้อก่อนตัดสินใจที่จะเดินออกไป ในตอนที่เปิดประตู หมอที่ดูเหมือนเศร้าก็ได้พูดขึ้นมา – “ ฉันไม่คิดว่าเราจะได้พบกันอีก “
“ บางทีอาจจะในชาติหน้า “ – แอนดี้ ตอบกลับอย่างใจเย็น
“ หยุด ! “
ฉากนี้เสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์ ในตอนที่ เอริค ตะโกนบอกให้หยุด เขาไม่ได้พูดว่าดีซึ่งหมายความว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง เขาคิ้วขมวดเล็กน้อยและกำลังคิดถึงบางอย่าง แม้ว่าเขาจะเพิ่งออกจากโรงพยาบาลแต่ เอริค ก็ยังคงใส่ผ้าพันแผลอยู่และเขาก็ปวดหัวเป็นบางครัง แต่หลังจากที่ตรวจแผลดูหลายรอบ หมอก็พบว่าเขาไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลเรื่องแผลพวกนี้
ครูส แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม ดังนั้น เอริค จึงคิดภาพของฉากนี้กับฉากบนหลังคาได้และด้วยการถ่ายแบบสโลโมชัน เขามั่นใจว่าส่วนนี้ของหนังงต้องประสบความสำเร็จและเป็นที่โปรดปรานอย่างแน่นอน
ทีมงานที่ทำงานกับเขามาหลายครั้งในหนังเรื่องอื่นๆต่างก็เข้าใจว่าต้องไม่ไปรบกวน เอริค ในตอนที่เขาคิดอยู่ ดังนั้นพวกนั้นจึงเริ่มจัดแจงของโดยไม่ส่งเสียงดังแล้วรอ เอริค
แต่หลังจากที่รอได้กว่าหนึ่งนาที ครูส ก็หมดความอดทน เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้ทำผิดอะไรในการแสดงและเขาก็ไม่รังเกียจที่จะถ่ายฉากนี้ซ้ำแต่ความเงียบนี้ทำให้เขาจะบ้า
“ เฮ้ เอริค ฉากเมื่อกี้เป็นไง นายต้องการให้ฉันเล่นใหม่อีกรอบมั้ย ? “ – ในที่สุด ครูส ก็อดไม่ได้ที่จะเดินไปหา เอริค แล้วพูดออกมา
เอริค ที่ซึ่งกลับมารู้ตัวได้เงยหน้าและพูดกับ ครูส – “ โทษที ทอม ฉันกำลังคิดบางอย่างอยู่ ฉันเลยเหม่อไป”
“ ไม่เป็นไรหรอก “ – ครูส เผยรอยยิ้มออกมา – “ ถ่ายเป็นไง นายต้องการให้ฉันเล่นอีกรอบมั้ย ?”
“ ฉันกลัวว่าเราต้องทำใหม่อีกครั้ง “ – เอริค ตอบ – “ นายช่วยรอสักเดี๋ยวได้มั้ย ? “
ครูส ยักไหล่พร้อมถอยกลับไปมองไปที่ เอริค ที่เรียกช่างไฟมาแล้วสั่งบางอย่าง ไม่นานแสงทั้งหมดในสตูดิโอก็หม่นลง เอริค ที่มองที่หน้าจอมอนิเตอร์ก็ได้บอกให้ช่างไฟหยุดในตอนที่เขาพอใจกับแสง
—- —-
“ เอาล่ะ ทุกคนพร้อม มาถ่ายกันอีกรอบ “ – เอริค ตะ โกน
สักพักด้วยการที่ทุกคนเข้าประจำที่ พวกเขาก็เริ่มถ่ายกันอีกครั้ง
เอริค จ้องไปที่จอ ภาพของ แอนดี้ กับหมอนั้นสมบูรณ์แบบกว่าเดิมจากตอนที่ถ่ายครั้งแรก
ฉากนี้คือการแสดงตัวตนของ แอนดี้ และบอกว่าทำไมเขาถึงต้องรีบ เอริค จะรวมฉากนี้เข้ากับฉากบนหลังคาให้ผู้ชมได้จดจำและสร้างความเข้าใจผิดในใจของผู้ชมว่า แอนดี้ คงจะฆ่าตัวตายด้วยการโดดลงจากตึกก่อนภาพที่จะตัดมาเหมือนกับเขาย้อนเวลากลับมาที่เดิม
เนื่องจากฉากนี้จะมีเหมือนการย้อนเวลา เอริค รู้สึกว่าแสงในหนังเดิมนั้นสว่างเกินไป แสงนั้นต้องเท่ากับแสงบนหลังคา ดังนั้นหากฉากนี้จึงไม่สามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความต่างได้ ผลของมันก็จะแย่ลงยิ่งกว่าเดิม
เอริค จะไม่ทำหนังที่มีความผิดพลาดที่จุดเดิมอีก เขาจะเพิ่มความรู้สึกของเขาเข้าไป จอนนี่โต ได้ใช้เทคนิคแสงแบบเดียวกับ จอร์นวู ในหนังของเขาแต่โชคร้ายที่เขานั้นไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องสีและแสงเหมือนกับ จอร์นวู
เมื่อแก้ปัญหาเรื่องแสงแล้ว เอริค ก็โฟกัสไปที่การแสดงของ ครูส แม้ว่าฉากเล็กน้อยนี้จะไม่ต้องแสดงอะไรมากแต่เขาก็มองข้าไม่ได้ ถ้าครูส แสดงได้ดีจนสร้างความแปลกใจได้ งั้นเขาก็คงจะพอใจกว่ามันและถ้าไม่เป็นแบบนั้นงั้นเขาก็จะไม่ลังเลที่จะให้ ครูส ถ่ายใหม่อีกรอบจนกว่าเขาจะพอใจกับฉากที่ได้มา
เอริค ไม่ได้สนว่า ทอมครูส จะได้รางวัลกับการแสดงรึเปล่าและเขาไม่ได้สนด้วยว่าหนังเรื่องนี้จะได้รางวัลอะไรหรือไม่ ที่ เอริค สนตอนนี้คือรายได้ของหนังเรื่องนี้
สำหรับออสการ์ที่เขาเคยสัญญาเอาไว้กับ ครูส เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะได้มันไปหรือไม่ เขาแค่บอกอีกฝ่ายว่าสามารถได้รางวัลมาได้ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงยอมตกลงแต่งตัวเป็นผู้หญิงและเขาไม่ได้รู้สึกผิดในการหลอกอีกฝ่ายเลย ผู้กำกับ, โปรดิวเซอร์, นักแสดงทุกคนต่างก็ต้องการได้รางวัลแต่ส่วนมากแล้วจะไม่ได้มัน ดั้งนั้นทำไมถึงไม่กังวลเรื่องรายได้แทนล่ะ ยังไงซะเขาก็ยังเด็ก เขายังสามารถได้มันมาในอนาคตและสำหรับตอนนตี้ เขาจะโฟกัสไปที่การทำเงิน
ธีมของหนัง Running Out of Time นั้นแน่นอนว่าเป็นนิยาย มีแค่พระเจ้าที่รู้ว่าหนังเรื่องนี้จะได้รับความสนใจจากกรรมการออสการ์รึเปล่า ในชีวิตที่แล้วของเขา แอนดี้ลอร์ ชนะรางวัลหนังฮ่องกงสำหรับนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในหนังเรื่องนี้แต่ถ้าคิดดูดีๆ ความเห็นของสาธารณะอาจจะมีส่วนช่วยอย่างมาก บวกกับในปี 1999 รางวัลนี้ได้ถูกลดค่าลง ดังนั้นจึงไม่ได้มีหนังดีๆเข้าไปแข่งเพื่อเอารางวัลนี้
—- —-
หลังจากที่แสดงฉากเดิมซ้ำถึงสามรอบ ในที่สุด เอริค ก็ได้แสดงท่าทียืนยันออกมาและทีมงานก็เริ่มที่จะย้ายไปที่อีกห้องหนึ่ง ฉากนี้กินเวลามากกว่าครึ่งชั่วโมง ในตอนที่ถ่ายหนัง เวลาที่นักแสดงใช้หน้ากล้องนั้นสั้น เวลาส่วนมากถูกใช้ไปกับองค์ประกอบของฉาก
ฉากส่วนมากที่ถ่ายในสองวันแรกนั้นเป็นการแสดงของ ครูส เขาถ่ายฉากทั้งหมดที่เขาได้คุยกับ ชอร์น นักแสดงอีกคนที่เล่นโดย ทอมแฮงค์ ทางโทรศัพท์และยังฉากที่เขาแต่งตัวเป็นผู้หญิงรวมไปถึงฉากอื่นๆด้วย
แม้ว่าเขาจะมีหนังเดิมทั้งเรื่องในหัวแต่ เอริค ก็ยังเลือกทีจะออกแบบฉากใหม่ด้วยตัวเอง เมื่อถึงตอนตัดต่อเขาจะได้มีองค์ประกอบเพียงพอ ยังไงซะนี่ก็เป็นหนังเรื่องใหม่สำหรับฮอลลีวูด เขาจะเพิ่มการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเข้าไป
ตามตารางการถ่ายทำแล้ว ขั้นตอนนี้จะกินเวลา 3 วัน ในวันที่สี่ แฮงค์ และคนอื่นๆจะมาที่สตูดิโอ เอริค คาดหวังถึงตอนที่ ครูส กับ แฮงค์ มาแสดงด้วยกันและแสดงทักษะการแสดงในฉาก เพราะในชีวิตที่แล้วของเขาสองดาราดังนี้ไม่เคยทำงานร่วมกันมาก่อนเลย
มันไม่เหมือนกับงานที่แล้วของเขา เอริค มีเวลามากมายในการถ่ายทำ ดังนั้นนับจากวันที่สี่เป็นต้นไป เอริค จึงได้บอกให้ทีมงานทั้งหมดเลิกกองและกลับไปหลังจากทำงานได้แค่ 8 ชม.และบอกผู้ช่วยผู้กำกับให้เอาม้วนหนังไปที่ห้องตัดต่อและรีบกลับไป นอกจากการถ่าย Running Out of Time แล้วเขาก็ยังมีอย่างอื่นต้องทำ
การหานักแสดง The Others และ Scent of a Woman นั้นเสร็จสิ้นไปแล้วแต่เขาก็ยังต้องทำการคัดเลือกรอบสุดท้ายอยู่ ยิ่งกว่านั้นเขาต้องจับตาดูขั้นตอนการถ่ายทำ Steel Magnolias ที่อยู่ไกลถึงหลุยเซียน่า
เฮอร์เบิร์ตรอส กำลังถ่าย Steel Magnolias มาได้กว่าหนึ่งเดือนแล้วแต่เขาก็ช้าเอามากๆ ในเดือนนี้เขาถ่ายหนังเสร็จไม่ถึงครึ่งและเขาน่าจะใช้เวลาอีกกว่าหนึ่งเดือนในการถ่ายหนังจนจบและอีกเดือนเป็นอย่างน้อยสำหรับการตัดต่อ
ยิ่งกว่านั้นหนังอาจจะต้องเจอกับความเสี่ยงเรื่องค่าใช้จ่ายที่เกินมา เอริค หวังว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะไม่ใช่แค่ Firefly ที่ลงทุนใน Steel Magnolias แต่ยังรวมไปถึงตัว รอส เองด้วยที่ใช้เงินไปถึง 3 ล้าน
ดังนั้น เอริค จึงไม่ได้รังเกียจในการใช้เงินอีก 2 ล้านสำหรับหนังเรื่องนี้ซึ่งจะทำให้เขาเพิ่มส่วนแบ่งของ Firefly ขึ้นไปอีก เขาแค่รอให้ รอส เอ่ยปากออกมาเท่านั้น
—- —-
“ สวัสดี เอริค หัวนายไม่เป็นไรใช่มั้ย ? “
เมื่อกลับมาที่ออฟฟิศ เอริค พบกว่า โจนาธานเดม ได้อยู่ในห้องของเขา เขาเห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของ โจนาธาน แต่เสียงนั้นยังคงดูสดใสอยู่
“ ขอบคุณที่เป็นห่วง ฉันดีขึ้นเยอะแล้ว นายเอาข้อมูลมาด้วยรึเปล่า ? “
“ นี่ ฉันทำตามที่นายบอกและคัดนักแสดงมาแล้ว นี่มันทำให้เหนื่อยจริงๆ “ – โจนาธาน ยิ้มและพูดขึ้นมา
เขาได้งานที่หนักไปจริงๆในหลายวันมานี้ แม้ว่า The Others จะต้องการนักแสดงเด็กแค่สองคนแต่เพราะ เอริค นั้นคือคนที่เขียนบท Firefly จึงได้รับใบสมัครมากกว่าห้าพันคน
หลายคนได้บอกว่าไม่มีประสบการณ์ในการแสดงเพราะพ่อแม่ที่ส่งเอกสารลูกมานั้นเห็นภาพลวงตาว่าลูกของตัวเองจะกลายเป็น สจ๊วตรังเคิล คนต่อไปได้รึยังไง ?
พ่อแม่บางคนแต่งเรื่องขึ้นมาในเอกสารนั้นก็มีโดยบอกว่าลูกของตัวเองเป็นนักแสดงที่ดีในหนังรึละคร ดังนั้นทีมางานเลยต้องใช้เวลาอย่างมากว่ามันเป็นจริงอย่างที่ว่ารึเปล่า
การยืนยันตัวตนของนักแสดงเด็กที่มีแววนี้มันยากกว่าที่พวกเขาจินตนการเอาไว้
เอริค ไม่ต้องการพึ่งความจำในอดีตของเขาในการหานักแสดงเด็กที่มีแวว
แม้ว่าเขาจะจำทุกอย่างในชีวิตที่แล้วได้แต่เขาก็ยังจำสิ่งที่เขาไม่รู้ได้ มันก็เหมือนกับชื่อนักแสดงทุกคนที่เขาเคยเห็นมาในชีวิตที่แล้ว เขาจำหน้าบางคนได้แต่นอกจากชื่อของดาราดังแล้วเขาไม่ได้สนใจคนอื่นๆเลย
เขาคิดว่าจะบอกทีมงานเรื่องชื่อของนักแสดงที่โด่งดังในอนาคตแต่ไม่นานเขาก็ทิ้งความคิดนี้ไป
—- —-
เอกสารที่ โจนาธาน ส่งมาให้กับเขานั้นไม่ได้มีแค่เอกสารนักแสดงเด็กที่ผ่านการออดิชันแต่ยังมีรายชื่อนักแสดงที่จะเล่นในบทของคนรับใช้กับสามีด้วย
แม้ว่าสำหรับบทสมทบแล้ว เอริค ได้ให้สิทธิในการตัดสินใจกับ โจนาธาน แต่ถึงยังงั้นอีกฝ่ายก็ยังต้องการให้ เอริค ดูว่ามันเข้าท่ารึเปล่า
เอกสารแผ่นแรกที่เขาได้เปิดขึ้นมาดูนั้นเป็นชื่อของเด็กผู้ชาย เอริค แปลกใจเมื่อเห็นชื่อของ แม็กเคาเลย์คัลกิน ส่วนสำหรับเด็กคนอื่นๆนั้นเขาไม่รู้จักเลยสักคน
เมื่ออ่านข้อมูลของ แม็กเคาเลย์คัลกิน เขาพบว่าแม้ Home Alone จะไม่ได้อยู่ในรายชื่อหนังที่เด็กนี่เล่นแต่เด็กนี่ก็ยังมีประสบการณ์การแสดงถึงสองเรื่องในหนัง Rocket Gibraltar และ Uncle Buck ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงได้ปรากฏในรายชื่อที่ผ่านเข้ารอบมาได้ เมื่อเห็น เอริค มองไปที่เอกสารแผ่นนั้น โจนาธาน ก็ถามขึ้นมาอย่างสงสัย – “เอริค นายชอบเด็กผู้ชายรึไง ?”
เอริค ส่ายหน้า – “ ไม่ นายไม่ควรตัดเขาทิ้ง “
“ ฉันคิดว่าเด็กที่ชื่อ แม็กเคาเลย์คัลกิน คือหนึ่งในนักแสดงเด็กที่ดีที่สุดที่ฉันเคยเห็นมา….”
เอริค ไม่ได้บอก โจนาธาน ว่าเขาไม่ต้องการให้ แม็คเคาเลย์ โด่งดังเหมือนในชีวิตที่แล้ว แม้ว่า The Others จะไม่สามารถสร้างชื่อเสียงมากมายเท่ากับ Home Alone แต่เขามั่นใจว่าเด็กนี่ต้องได้รับความสนใจแน่ๆ
การเก็บเด็กนี่ให้อยู่ห่างจากความโดดเด่นนั้นคงจะดีที่สุด อย่างน้อยจนกว่าเด็กนี่จะโตแล้วค่อยให้เขาเลือกทางของตัวเอง
เขาไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเพราะถ้าเด็กนี่ดังขึ้นมา เขามั่นใจว่าพ่อแม่เด็กต้องทำลายเด็กน้อยนี่เหมือนที่ทำในชีวิตที่แล้ว
“ โจนาธาน นายลืมว่าใน The Others ตัวละครเด็กผู้ชายน่ะดูหัวทึบ นายดูที่รูปเด็กคนนี้สิ นายว่าเขาไม่ดูฉลาดรึไง “
โจนาธาน มองไปที่รูปแล้วยอมรับว่าตัวเองพลาดไป – “ อ่ะ ฉันมองข้ามมันไปเอง “
เอริค ยิ้มและมองไปยังเด็กคนอื่นต่อแต่อยู่ๆเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองที่ โจนาธาน ที่นั่งอยู่ตรงข้าม – “ โจนาธาน นายรู้จักเด็กพวกนี้มั้ย ?”
โจนาธาน หน้าแดงขึ้นมา หลังจากที่อ้ำอึ้งเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็ได้พยักหน้าแล้วดึงเอาข้อมูลของเด็กคนหนึ่งออกมา – “ นี่….นี่คือ ไบรอันเบ็ค ลูกชายของเพื่อนที่ฉันทำงานด้วย ฉันขอโทษ ฉันไม่ควรทำแบบนี้แต่ฉันสาบานเลย ฉันเช็คเขาดีแล้วและฉันการันตีได้ว่าเขาจะมีสิทิธที่จะผ่านเข้ารอบ “
โจนาธาน กำลังจะโยนเอกสารนั้นลงถังขยะแต่ เอริค ก็ห้ามไว้ก่อนและเอาเอกสารกลับไป หลังจากที่อ่านดูข้อมูลดีๆแล้ว เอริค ก็ได้พูดขึ้นมา – “ โจนาธาน ให้บทกับเขา “
“ ฉันขอโทษจริงๆ ฉันไม่ได้….หือ นายว่าไงนะ ?” – โจนาธาน ที่กำลังจะขอโทษได้มอง เอริค ด้วยความแปลกใจ
เอริค ยิ้มและพูดขึ้นมา – “ ฉันพูดจริงๆ ถ้าเขาเก่ง งั้นมันก็โอเค นายรู้ว่าฉันไม่ได้มีเวลามาสัมภาษณ์ทุกคน บวกกับฉันเชื่อว่านายคงไม่คิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นของเล่นหรอกใช่มั้ย ? “
“ แน่นอน “ – โจนาธาน พยักหน้ายืนยัน เขารู้ว่านี่คือโอกาสสุดท้ายของเขา ถ้าหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ งั้นเขาก็จะมีอนาคตที่สดใสในฮอลลีวูดแต่ถ้าหนังเรื่องนี้ล้มเหลว งั้นเขาคงต้องหางานอื่น
“ งั้นมีคนอื่นอีกมั้ย ?” – เอริค ถามขึ้นมาอีกครั้ง
ครั้งนี้ โจนาธาน ส่ายหน้า – “ แน่นอนว่าไม่ เอริค นักแสดงที่เหลือน่ะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับฉัน “
เอริค ตัดสินใจที่จะช่วย โจนาธาน เล็กน้อย แค่เพราะเขาคิดว่า โจนาธาน มีแวววเพราะชีวิตที่แล้วของเขาชายคนนี้ไม่ได้แค่กำกับ The Silence of the Lambs แต่ยังกำกับ Philadelphia หนังที่ทำให้ ทอมแฮงค์ ได้ออสการ์เป็นครั้งแรก
เมื่อนักแสดงเด็กได้ตัวคนแสดงแล้ว เอริค ก็พบว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องดูคนที่เหลือ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนไปดูชื่อของเด็กผู้หญิงทันที
สองชื่อแรกที่เขาเห็นคือ เคียร์สเต็นดันสต์ และ ซาราร์มิเชลล์เกลลาร์