Guild Master จอมราชันโลกออนไลน์ - ตอนที่ 141
ตอนที่ 141 ปรับความเข้าใจ
” กวี ขอคุยด้วยหน่อย” หลังจากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีก่อนให้เหล่าสมาชิกรุ่นบุกเบิกได้ฟังดูเหมือนเหตุผลที่กวีเล่าให้ฟังจะทําให้ทุกคนพอจะรับได้และเข้าใจว่าทําไมกวีถึงไม่สามารถกลับมาหาพวกตนได้ ก็นะ…ในเมื่อมันเป็นอุบัติเหตุที่ทําให้กวีไม่สามารถเข้ามาเล่นเกมได้ก็ถือเป็นเหตุสุดวิสัยเท่านั้น แต่หลังจากจบการอธิบาย ดูเหมือนเมฆจะยังไม่หมดเรื่องคาใจเสียทีเดียว แต่เลือกที่จะเรียกกวีไปคุยด้วยทีหลัง
“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ” กวีถามพลางเดินตามเมฆออกไปที่ระเบียงของห้องซึ่งเป็นสถานที่ฝึกซ้อมที่เมฆกับมีนใช้งานประจํา
“เรื่องที่กลับมาไม่ได้ กับเรื่องที่อยู่ๆนายก็รวยขึ้นมาฉันเข้าใจแล้ว แต่มีเรื่องหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจ” เมฆตอบพลางเดินไปหยุดยืนอยู่ลานกลางฝึก
“เรื่องอะไร”
ฟุบ…
กวียังไม่ทันเอ่ยปากพูดอะไรออกไป อยู่ๆเมฆก็หยิบเอาดาบออกมาจากกระเป๋าไอเทมของตนเองก่อนจะฟาดใสร่างของกวีทันที แต่เมฆชวนออกไปข้างนอกแถมยังหยุดอยู่ตรงลานฝึกอีกต่างหากมีหรือที่กวีจะดูไม่ออก เมฆ กับ กวี เป็นเพื่อนกันมานานที่สุดในกลุ่มเลยก็ว่าได้ เพราะพวกเขารู้จักกันก่อนจะไปเล่นที่บ้านพี่วินเสียอีก
” ช่วยบอกได้ไหมว่าไอ้นี่คืออะไร” เมฆถามพลางเหวี่ยงดาบใสกวีไม่ยั้ง ไม่ใช่แค่เหวี่ยงดาบไปมาธรรมดา แต่เมฆถึงกับใช้สกิลเพื่อไล่ต้อนกวีเลยทีเดียว แต่ถึงจะทําแบบนั้นกวีก็ยังหลบหลีกได้อย่างต่อเนื่องราวกับอ่านการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของเมฆออกจนหมด
“จําได้หรือเปล่าที่บอกว่าการทดลองมันเป็นการเร่งความเร็วของเวลาน่ะ” กวีว่าพลางเอาไม้เท้าขึ้นมาเพื่อสกัดการโจมตีของเมฆไปด้วย
“ที่ทําสมองของนายเกือบไหมน่ะเหรอ” เมฆเหวี่ยงดาบใหญ่ราวกับดาบนั่นไร้น้ำหนักไม่มีผิด แม้ความเร็วจะไม่เท่าดาบสั้นของมีน แต่เมฆมีทักษะที่น่ากลัวมาก ลําพังคนธรรมดาหลบการโจมตีของเมฆไม่ได้ขนาดนี้หรอก
“ใช่ เพราะมันไม่ได้เร่งเวลาจริงๆ แต่เป็นการเร่งความเร็วในการรับรู้ของสมองเท่านั้น” กวีตอบก่อนจะถอยออกห่างเมฆอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะหลบเก่งแค่ไหน แต่เมฆไม่ใช่คนที่จะหลบการโจมตีได้ตลอด เมฆนอกจากจะฟันเพื่อไล่ตามการหลบหลีกของกวีแล้วยังฟันเพื่อวางกับดักให้กวีขยับไปตามที่ตนต้องการอีกต่างหาก เผลอครู่เดียวก็คงโดนเมฆโจมตีได้ง่ายๆเลย
“วันแรกที่ฟื้นขึ้นมา มันเหมือนกับไปอยู่ในโลกที่เวลาเดินช้ามากๆเลยล่ะ แค่จะขยับมือก็เหมือนกับต้องจ้องมือตัวเองนานๆเพื่อจะขยับมันเลย” กวีว่าพลางใช้ไม้เท้าของจอมเวทแทงเข้าไปในระยะโจมตีของเมฆ แม้จะโดนเมฆต้อนให้เข้าระยะโจมตี แต่กวีก็คุ้นชินกับการต่อสู้อยู่แล้ว เพียงแทงปลายไม้เท้าเข้าไปจังหวะเดียวก็ชะงักแผนของเมฆได้ทันที การจะไล่ต้อนกวีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆหรอก
“กว่าจะสั่งร่างกายให้ลุกขึ้นยืนก็ต้องใช้เวลาเหมือนผ่านไปเป็นวันๆเลย กว่าอาการจะเบาลงก็ตั้งสามปีแนะ” กวีตอบพลางจ้องมองการโจมตีของเมฆราวกับมองได้ทะลุปรุโปร่ง แม้จะบอกว่าอาการดีขึ้นแล้ว แต่สิ่งที่กวีเหลือจากอุบัติเหตุครั้งนั้นก็คือการรับรู้สมองที่เร็วกว่าคนปกติหลายเท่าในหนึ่งวินาทีกวีกลับรู้สึกเนิ่นนานราวกับเวลาผ่านไปนับนาที่ ในช่วงเวลานั้นกวีสามารถหยุดมองรวมถึงคิดแผนการได้หลายต่อหลายรอบ เพราะแบบนั้นทักษะการหลบหลีกของกวีเลยเหนือกว่า แต่ก่อนแบบเทียบไม่ติดไปนานแล้ว ไม่ใช่แค่นั้น จํานวนงานที่กวีทําได้ก็มากกว่าคนปกติหลายเท่าไม่อย่างนั้นหัวหน้ากิลด์จอมบงการอย่างกวีคงไม่สามารถทําตัวว่างไปไหนมาไหนได้แบบนี้หรอก
” แถมกว่าประสาทสัมผัสจะกลับมาช้าพอจะเข้าไปเล่นในเกมได้ก็ต้องอีกสองปีหลังจากนั้นบอกตามตรงว่ามันโคตรทรมานเลยโว้ย” กวีว่าพลางแทงด้ามไม้เท้าเข้าใส่เมฆ แต่จอมเวทจะไปสู้แรงกับนักดาบได้ยังไงกัน…
โครม
หลังจากเปลี่ยนมาโจมตี กวีก็เสียท่าให้กับกําลังของเมฆเข้าอย่างจัง ทําให้เมฆที่ต้อนกวีมาจนมุมใช้ดาบฟาดจนกวีต้องล้มลงไปนอนกับพื้นจนได้ ไอ้เจ้าปีศาจนี่ขนาดสมองของกวีรับรู้ทุกอย่างเหมือนเวลาค่อยๆผ่านไปช้าๆแล้วยังเอาชนะไม่ได้เลย แต่ก็แค่ในกรณีไม่ใช้เวทมนตร์เท่านั้นล่ะ
“แสดงว่าอาการกลับมาเป็นปกติตั้งแต่สองปีก่อนแล้วไม่ใช่หรือไง ตอนนั้นทําไมไม่ติดต่อมาหาพวกเรา” เมฆถามพลางเอาดาบมาจ่อคอของกวีเอาไว้
“ก็เพราะกิลด์แตกเป็นเสี่ยงๆไปแล้วไงล่ะ ทุกอย่างมันเป็นความผิดของฉันไม่ใช่หรือไง ก็เลยไม่กล้าติดต่อไป” กวีตอบพลางยิ้มเงื่อนๆออกมา กว่ากวีจะกลับมาเป็นปกติก็ 3 ปีหลังจากเกิดอุบัติเหตุ แต่ตอนนั้นกิลด์ก็ล่มสลายไปแล้ว แถมสมาชิกรุ่นบุกเบิกยังแตกกันไปคนละทางอีกต่างหาก
“ฉันก็เลยอยากจะติดต่อไปตอนที่สามารถเข้ามาเล่นเกมได้เหมือนเดิมแล้วเท่านั้นเอง” กวีว่าพลางลุกขึ้นยืนช้าๆ แม้กวีจะแอบติดต่อพวกสายข่าวมาก่อนจะเข้าเล่นเกมเพราะต้องเตรียมการสาหรับการกลับมา แต่กว่าจะติดต่อพวกเมฆก็ตอนเข้ามาในเกมแล้วโน่นเลย
“เมฆได้ยินแบบนั้นก็ถอนดาบออกจากคอของกวีไป ตอนนี้ศัตรูเพิ่มขึ้น ไม่ใช่แค่ฝั่งพันธมิตรเท่านั้น แต่ยังมีกิลด์ใหม่ๆเพิ่มขึ้นมารวมทั้งพวกฝั่งนายทุนด้วย การที่กวีกลับมาพร้อมพลังอํานาจที่มากขึ้นก็ย่อมทําให้เมฆวางใจลงได้ แต่ตลอดเวลา 5 ปีที่เป็นห่วงเพื่อนสนิทคนนี้มันเอาคืนมาไม่ได้นี่นา
ผลัก
อยู่ๆเมฆก็เตะเข้าที่สีข้างของกวีอย่างจังที่หนึ่งทําเอาพลังชีวิตของกวีลดวูบไปเลย
“เสียเวลาเป็นห่วงฟรีๆไปตั้งสองปี” เมฆว่าพลางเก็บดาบของตนเข้ากระเป๋าไป
” แต่ก็เป็นห่วงไม่เสียเปล่าสามปีไม่ใช่หรือไง ถือว่าไม่ขาดทุนน่า” กวีหัวเราะก่อนจะกุมสีข้างตัวเองเอาไว้ แค่เท้าเปล่ายังโจมตีได้หนักหน่วงขนาดนี้ เจ้าบ้านั่นอัพพลังโจมตีไปเท่าไหร่วะนั่น
“อย่างน้อยนายก็อยากจะกลับมาเหมือนกัน เรื่องนี้ให้อภัยก็ได้” เมฆตอบพลางยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้
“โลกข้างนอกมันน่าเบื่อจะตาย ไม่มีใครอยากให้ฉันกลับมาเท่าฉันหรอก” กวีหัวเราะก่อนจะลุกขึ้นยืนช้าๆ ทุกคนที่อยู่ในห้องยกเว้นมีนกับน้ำหวานและเจที่เป็นสมาชิกใหม่ต่างทําท่าที่เหมือนเคยชินไปแล้วเสียอย่างนั้น สมัยก่อนกวีกับเมฆตีกันบ่อยจะตาย แค่นี้เรื่องปกติ
“งั้นก็ทําให้มันสนุกกว่าที่ผ่านมาเถอะ เอาให้มันวุ่นวายไปเลย” เมฆยิ้มออกมาบางๆพร้อมแรงกดดันที่ราวกับจะแผ่กระจายออกไปรอบๆ เพราะไม่ได้เข้ากิลด์อื่นเลยเมฆก็เลยห่างจากสงครามไปนาน แต่เมฆนั้นจริงๆ แล้วเป็นพวกบ้าสงครามไม่น้อยเลย ในที่สุดก็จะได้กลับมาสนุกอีกครั้งแล้ว
“ไม่ต้องห่วง เตรียมการเกือบจะเสร็จแล้ว” กวีว่าพลางยิ้มออกมาด้วยใบหน้าอ่อนโยนตรงกันข้ามกับสิ่งที่พูดออกมาเลย
” พี่แก้ว พี่พายัพมาหาครับ” ฮ่องเต้ น้องในกิลด์ของแก้วเดินเข้ามาหาแก้วภายในพื้นที่การล่าของกิลด์เมฆา ท่าทางวันนี้กิลด์เมฆาจะมีแขกมาพบเสียแล้ว
” พี่พายัพ มีอะไรเหรอคะ” แก้วถามพลางมองไปทางพายัพที่เดินเข้ามาหาด้วยท่าทีแปลกๆ
“แก้ว พี่คิดเรื่องนั้นมาแล้วนะ” พายัพว่าพลางก้มหน้าลงน้อยๆด้วยท่าทีสํานึกผิด
“ช่วงหลังมานี่พี่เหมือนกําลังหน้ามืดตามัวเลย ต้องขอบคุณแก้วมากๆเลยนะที่ช่วยเตือนสติพี่” พายัพถอนหายใจออกมาด้วยท่าที่เหนื่อยๆ แต่ท่าทีของพายัพตอนนี้ไม่เครียดเหมือนก่อนหน้านี้เลย ตรงกันข้ามเขาเหมือนกับปล่อยวางอะไรบางอย่างไปแล้วเสียด้วยซ้ำ
“จริงเหรอคะ” แก้วเห็นท่าทีแบบนั้นของพายัพก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งอก ถ้าพี่ชายของเธอคิดได้ขึ้นมาคนที่จะมีความสุขที่สุดก็คือเธอนี่ล่ะ
“จริงสิ แล้วพี่ก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้แบ่งพื้นที่ให้กิลด์เมฆาไม่ดีนัก” พายัพว่าพลางมองไปทางสมาชิกกิลด์เมฆาที่กําลังแบ่งเรดกันล่ามอนสเตอร์ในพื้นที่ ตอนนี้พื้นที่ล่าของกิลด์เมฆาเลเวลไม่เหมาะกับสมาชิกกิลด์เท่าไหร่ แม้จะได้ไอเทมมาขายเอาเงินบ้าง แต่เลเวลก็ขึ้นช้าเกินไป
“แหม รู้ด้วยเหรอ”แก้วทําหน้าบึงก่อนจะเท้าเอวเหมือนจะตําหนิพายัพแบบขําๆ วันนั้นไม่รู้พายัพเป็นอะไรถึงได้ไปเข้าข้างพวกที่ไม่ชอบแก้ว ทําให้เลเวลของน้องๆในกิลด์แก้วขึ้นช้ามากๆเลย
“เอาน่า วันนั้นมันมีเรื่องให้ปวดหัวหลายเรื่อง จริงสกิลด์เรากําลังจะไปชิงพื้นที่เพิ่ม เป็นพื้นที่เลเวลสูงพอตัวเลย ถ้ากิลด์เมฆาแย่งมาได้ก็ให้กิลด์เมฆาใช้เป็นพื้นที่ล่าก็แล้วกัน” พายัพเสนอพร้อมรอยยิ้มแสนอบอุ่น การชิงพื้นที่นั้นเป็นการส่งคนของกิลด์ไปแย่งพื้นที่มาเพื่อทําประโยชน์ให้กับกิลด์ของตัวเอง เหมือนกับที่เจพยายามชิงถ้ำน้ำแข็งมาจากกิลด์หัตถ์อสูรนั่นล่ะ
“จริงนะ แล้วโจมตีเมื่อไหร่ล่ะ” แก้วได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มกว้างออกมาทันที ปกติกิลด์เสียดฟ้าไม่ค่อยไปแย่งพื้นที่กับใครเท่าไหร่ แต่ถ้าได้พื้นที่ล่าที่ดีกว่านี้คนในกิลด์เมฆาต้องดีใจกันแน่ๆ
“อาทิตย์หน้าเตรียมตัวได้เลย ให้กิลด์เมฆาลงมือได้เต็มที่” พายัพยิ้มกว้างเหมือนกําลังส่งของขวัญให้น้องสาวไม่มีผิด เหมือนว่าจะเป็นภาพที่อบอุ่นดีเหมือนกัน
“ให้แกล้งยอมแพ้เนี่ยนะ”อีกด้านหนึ่งในแผนที่ทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ที่มีคนจํานวนมากกําลังล่ามอนสเตอร์อยู่นั้น ชายคนหนึ่งที่กําลังแอบซุ่มดูการล่าของกิลด์เหล่านั้นก็อุทานออกมาด้วยท่าที่ตก
“ใช่ พี่กวีสั่งให้โจมตีแล้วแกล้งแพ้” ชายอีกคนที่กําลังแอบดูอยู่เช่นกันตอบออกมาด้วยท่าทีนิ่งๆ คนพวกนี้เป็นคนของกิลด์บูรพาที่กวีส่งมาสํารวจพื้นที่ต่างๆ มีกําลังคนอยู่ไม่มากไม่สามารถสู้กับคนทั้งกิลด์แบบนี้ได้อยู่แล้ว แต่กวีก็ยังส่งให้พวกเขาโจมตีและแพ้ไปเลยอย่างนั้นเหรอ
“ไม่เข้าใจแผนของพี่กวีจริงๆ ถ้าฝืนสักหน่อยก็น่าจะพอสู้ได้แท้ๆ”ชายอีกคนว่าพลางใช้กล้องส่องทางไกลมองดูพวกกิลด์ที่กําลังล่ามอนสเตอร์อยู่ด้านล่าง
“ไม่ได้ พี่กวีสั่งชัดเจนแล้วว่าต้องแพ้” ชายอีกคนตอบเหมือนไม่ใส่ใจเท่าไหร่ สําหรับคนที่อยู่กับกวีมานานแล้วย่อมเข้าใจดีว่ากวีสั่งงานแต่ละครั้งย่อมมีเหตุผล แม้มันจะแปลกไปบ้างแต่ถ้ากวีสั่งอย่างชัดเจน ก็คือตามนั้น