Guild Master จอมราชันโลกออนไลน์ - ตอนที่ 109
ตอนที่ 109
จบคดี
“คุณเนตร คนคนนั้นเป็นใครเหรอคะ” หลังจากกวีถามคําถามกับเนตรเสร็จเรียบร้อยแล้วกวีก็ออกไปจากอาคารที่เนตรใช้เป็นที่ทํางาน แต่เพราะเนตรกลัวว่าจะทํากวีไม่พอใจก็เลยเดินมาส่งกวีด้านล่างด้วยตัวเอง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องแปลกมากสําหรับคนอื่นๆเพราะปกติเนตรไม่ค่อยลงมาส่งแขกด้วยตัวเองหรอก
“ไม่ต้องรู้หรอก แต่ถ้าเขามาอีกก็ให้ขึ้นไปพบฉันได้ทันทีเลยเข้าใจนะ”เนตรตอบพลางเดินกลับขึ้นไปบนห้องทํางานด้วยท่าที่นิ่งๆเหมือนเดิมอย่างกับท่าทีที่แสดงออกมาตอนอยู่กับกวีไม่เคยมีจริงงั้นล่ะ
“………” ไม่ใช่แค่ลงมาส่งด้วยตัวเอง เนตรถึงกับให้สิทธิ์เขาคนนั้นเข้าพบได้ทันทีเลยงั้นเหรอ ได้คําตอบแบบนี้ก็ยิ่งสงสัยกันพอดี
กึก….
ร่างของกวีลุกออกมาจากเครื่องสร้างโลกเสมือนจริงก่อนจะเข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยเพราะตัวเขาต้องออกไปทําธุระข้างนอกนั่นเอง
เป้าหมายในการออกมาข้างนอกของกวีครั้งนี้ก็เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับแก้ว ตัวเขาไม่เคยสั่งให้คนของตนเองลงมือทําร้ายแก้ว เพราะงั้นคนที่ทําก็ต้องเป็นคนอื่น แถมเจ้านั้นยังป้ายความผิดมาให้กวีอีกต่างหาก ความเกลียดชังของแก้วที่มีต่อกวีเป็นสิ่งเดียวที่กวีไม่สามารถทําอะไรได้ ไม่ว่ากวีจะทําอะไรแก้วก็ยังมองกวีเป็นศัตรูเสมอ เพราะงั้นการดึงตัวแก้วมาเป็นพวกนั้นก็เลยยากมากๆ วันนี้เมษบอกสาเหตุให้กวีรู้ถือเป็นข่าวดีสําหรับกวีมากทีเดียว
เอี๊ยด…
กวีขับรถเข้ามาในสถานีตํารวจที่อยู่ในเขตปกครองเดียวกันกับที่บ้านของแก้วตั้งอยู่ ใช่แล้ว กวีเองก็รู้เหมือนกันว่าในโลกภายนอกแก้วอาศัยอยู่ที่ไหน แม้จะสืบข้อมูลเหล่านี้มาแล้วแต่ก็ไม่เคยเอามาใช้เลยจนกระทั่งวันนี้
ในวันที่แก้วโดนดักทําร้ายเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับตอนที่สงครามในเกมจะเริ่ม ถึงจะออกไปไหนก็ไม่น่าจะพ้นตัวบ้านเท่าไหร่ เพราะแก้วต้องกลับมาเข้าเกมนั่นเอง เพราะงั้นหากแก้วแจ้งความเอาไว้เรื่องก็ต้องอยู่ในสถานีตํารวจในพื้นที่แน่ๆ
“มาติดต่ออะไรครับ”ร้อยเวรที่ทําหน้าที่เฝ้าโต๊ะอยู่เห็นกวีเดินเข้ามาก็เอ่ยปากถามตามหน้าที่ ในสมัยนี้คนไม่ค่อยออกมาข้างนอกนักตํารวจกลับไม่ได้มีงานน้อยลงสักเท่าไหร่ เพราะเรื่องในเกมก็เอามาแจ้งความได้หลังจากกฎหมายเริ่มปรับให้เข้ากับโลกเสมือนจริงมากขึ้น แม้การฆ่ากันในเกมหรือทําร้ายร่างกายกันในเกมจะไม่ถือเป็นความผิดในข้อกฎหมายแต่ก็ยังมีการหลอกลวงให้เห็นเป็นประจําอยู่ดี
“ผู้กํากับอยู่หรือเปล่าครับ”กวีถามพลางมองขึ้นไปบนบันไดของสถานี เรื่องที่กวีต้องการติดต่อนั้นไม่สามารถทําผ่านร้อยเวรได้
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับถึงได้ต้องการพบท่านผู้กํากับ ร้อยเวรได้ยินก็ขมวดคิ้วด้วยท่าทีงุนงงก่อนจะมองกวีตั้งแต่หัวจรดเท้า กวียังหนุ่มอยู่เลย แถมท่านผู้กํากับของสถานีนี้ก็ไม่เคยมีคนรู้จักหน้าตาแบบนี้มาก่อน ถ้ามาขอพบมั่วๆมีหวังได้โดนผู้กํากับด่าแน่ๆ
“ผมมีเรื่องสงสัยนิดหน่อยครับ ก็เลยต้องมารบกวนท่านผู้กํากับเขา”กวีตอบด้วยท่าที่เป็นมิตรเพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นตํารวจ
” ตอนนี้ท่านผู้กํากับไม่อยู่ ถ้าแค่เรื่องสงสัยละก็ถามผมมาได้เลยก็ได้” ร้อยเวรว่าพลางเสนอตัวเข้าช่วยแทน
“อยากจะมาตามความคืบหน้าของคดีที่มีคนมาแจ้งในวันที่สิบสองเมษาของปี**นะสิครับ” กวีตอบออกไปด้วยท่าที่ช่วยไม่ได้ ไม่นึกเลยว่าผู้กํากับจะไม่อยู่พอดี
“คดีนานขนาดนั้นมันเธอเป็นผู้เสียหายของคดีนั้นงั้นเหรอ”ร้อยเวรถามพลางขมวดคิ้วด้วยท่าทีสงสัย หรือว่าจะเป็นผู้เสียหายที่มาตามคดีที่ไม่คืบหน้าสักทีกัน…
“เปล่าครับ แต่ผมมีเหตุผลที่ต้องรู้”กวีตอบพลางยิ้มออกไปด้วยท่าที่เป็นมิตร แต่คําตอบของกวีกลับทําให้อีกฝ่ายยิ้มไม่ออก
“จะไปทําได้ไงกัน เนื้อหาคดีไม่สามารถให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องดูได้หรอกกลับไปซะ” ตามกฎหมายแล้วกวีก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งจริงๆนั่นล่ะ แต่เพราะมันเป็นหนึ่งในสิ่งที่กวีค้างคาใจมาตลอด ก็เลยอยากจะรู้ให้ได้ละนะ
“ถึงได้บอกไงว่าไปพบผู้กํากับดีกว่า” กวีถอนหายใจออกมาก่อนจะโทรศัพท์ไปหาคนคนหนึ่ง
“ครับ..ผมกวีเองครับจําได้หรือเปล่า”กวีถามคนที่อยู่ปลายสายก่อนจะถามไถ่อีกฝ่ายอย่างกับรู้จักกันดีเสียอย่างนั้น แต่ร้อยเวรที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่ทราบหรอกว่ากวีกําลังโทรหาใคร
” ครับ พอดีผมมีธุระที่สถานีตํารวจนิดหน่อย ก็เลยอยากจะขอคําอนุญาตจากท่านครับ”กวีพูดด้วยท่าที่สบายๆ แต่เห็นกวีเรียกอีกฝ่ายว่าท่านร้อยเวรตรงหน้าก็เริ่มรู้สึกแปลกๆแล้ว
“ครับ คุณร้อยเวรครับช่วยพูดสายกับท่านหน่อยนะครับ” กวีว่าพลางยื่นมือถือไปให้ร้อยเวรที่อยู่ตรงหน้า เหมือนจะต้องการให้พูดกับคนที่อยู่ปลายสาย
“ดะ ได้…”ร้อยเวรเห็นแบบนั้นก็ยื่นมือไปรับโทรศัพท์จากกวีมาแล้วเริ่มคุยกับคนในสายช้าๆ ตอนแรกเขาก็มีท่าทีเกร็งๆแต่พอเริ่มคุยไปพักหนึ่งก็เริ่มมีท่าทีแตกตื่นให้เห็น
” ครับ ทราบแล้วครับ” พอคุยกันต่อ ร้อยเวรก็ทําท่าที่อ่อนน้อมออกมาทันที แถมยังรับปากคนในสายอย่างรวดเร็วอีกต่างหาก
“ไม่ทราบว่าคดีที่ต้องการจะค้นดูเป็นคดีไหนเหรอครับ”ร้อยเวรวางสายก่อนจะคืนมือถือให้กวีด้วยท่าทีนอบน้อม แม้เขาจะไม่ได้มีท่าที่ดุดันอะไรมาแต่แรก แต่ท่าทีของเขาก็อ่อนลงไปอย่างกับคนละคนอยู่ดี
“คดีดักทําร้ายร่างกาย ผู้เสียหายเป็นผู้หญิงหนึ่งคนกับผู้ชายหนึ่งคน ชื่อ…” กวีบอกชื่อของแก้วกับพายัพออกไปให้ตํารวจฟังทําให้ร้อยเวรรีบพากวีขึ้นไปชั้น 2 แล้วเข้าไปค้นเอกสารคดีเก่าออกมาให้กวีทันที เพราะมีวันที่และชื่อผู้ร้องชัดเจนก็เลยสามารถหาได้ไม่ยากเลย
“คดีนี้มัน…เจอแล้ว ดักทําร้ายร่างกาย ร้อยเวรนําแฟ้มคดีแผ่นบางเฉียบออกมาวางตรงหน้ากวี ก่อนจะเปิดเอกสารออกอ่านทันที
” คดีมัน…จบไปแล้วนี่นา” ทันทีที่ได้ยินคําตอบของร้อยเวร กวีก็ขมวดคิ้วออกมาทันที คดีจบแล้วก็ควรจับคนร้ายได้แล้วนี่นา ทําไมแก้วยังมาสงสัยเขาอีกล่ะ หรือว่าคนร้ายยอมรับว่าเป็นคนของกวีงั้นเหรอ?
“คดีนี้รู้ตัวคนร้ายแล้ว แต่ไม่ได้ดําเนินคดีนะ ดูเหมือนผู้เสียหายจะถอนฟ้องก่อนจะดําเนินคดี” กวีได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่ ถอนฟ้อง? แก้วไม่มีทางถอนฟ้องแน่ๆ ก็เธอแค้นขนาดนั้น อย่างแก้วคงต้องฟ้องคืนให้สาสมต่างหากไม่ใช่หรือไง
“คนถอนฟ้องเป็นผู้เสียหายคนไหนเหรอครับ” กวีถามพลางมองในเอกสารด้วยท่าทีสงสัย
“เป็นฝ่ายผู้ชาย….ดูเหมือนจะตกลงกันได้ พอจ่ายค่าเสียหายแล้วก็แยกย้ายกันกลับนะ”ร้อยเวรตอบก่อนจะเอาเอกสารอีกชุดมาดู ในนั้นมีรูปของคนก่อเหตุอยู่ด้วย แต่เพราะจ่ายค่าเสียหายกันเรียบร้อยไปแล้วก็เลยไม่ใช่ผู้ต้องหาแต่อย่างไร
“แปลกจริงๆ” กวีแสดงท่าที่ครุ่นคิดออกมาให้เห็น แก้วโดนดักทําร้าย นั่นคือเหตุผลที่แก้วเกลียดกิลด์สุริยันจันทรามาจนถึงทุกวันนี้ แต่คนที่ดักทําร้ายไม่ใช่คนของกวี แถมฝ่ายพายัพยังแอบมาถอนฟ้องอีกต่างหาก ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็แปลกๆ แต่เท่านี้กวีก็สามารถยืนยันความจริงได้แล้วว่ากวีไม่ใช่คนทํา เพราะคนร้ายต่างสามารถตามตัวเจอกันหมดแล้ว
“ผมขอสําเนาของคดีนี้ไปหน่อยนะ” กวีว่าพลางชี้ไปที่เอกสารของคดี ความจริงไม่สามารถให้คนนอกได้ แต่…
“ได้ครับ…แต่ห้ามให้คนอื่นรู้นะครับ”ร้อยเวรตอบพลางยิ้มแห้งๆออกมา ท่านผู้นั้นเป็นคนขอทั้งที ถ้าไม่ทําตามต่อให้เป็นผู้กํากับก็เถอะ
“ขอบคุณ”กวีตอบพลางยิ้มออกมาด้วยท่าที่พึงพอใจ หลังจากนั้นร้อยเวรก็ถ่ายเอกสารข้อมูลในคดีใส่ซองกระดาษแล้วเอามาส่งให้กวีด้วยท่าที่ลับๆล่อๆแล้วส่งกวีออกจากสถานีไปอย่างนอบน้อม
“เจมส์ ช่วยหาคนให้หน่อยได้หรือเปล่า” หลังจากออกมาจากสถานีตํารวจ กวีก็ถ่ายรูปคนที่ดักทําร้ายแก้วส่งไปให้เจมส์หนึ่งในสมาชิกรุ่นบุกเบิกของกิลด์สุริยันจันทราทันที ถ้าเป็นโลกข้างนอกนี่ละก็เจมส์ช่วยได้เยอะทีเดียว
“ได้เลย ว่าแต่มีเรื่องอะไรเหรอ ผมขอสนุกด้วยสิ” เจมส์ว่าพลางหัวเราะออกมาด้วยท่าทีชอบใจ ไม่บ่อยนักหรอกนะที่กวีจะติดต่อมานอกเกมแบบนี้
“ก็แค่เรื่องค้างคาใจนิดหน่อย” กวีตอบด้วยท่าที่จริงจังอย่างมาก ถึงความจริงแล้วกวีจะสามารถใช้หลักฐานเหล่านี้เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองได้ แต่จะเปลี่ยนความเกลียดชังที่แก้วมีต่อตนเองได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ กวีเลยเลือกอีกเส้นทางมากกว่า
“พี่คนพวกนี้มันคนของลุงผมนี่นา” ทันทีที่เจมส์เปิดดูข้อมูล เจมส์ก็แทบไม่ต้องส่งคนไปสืบหาตัวเลย ทันทีที่เห็นหน้าเจมส์ก็คุ้นหน้าตาทันที แถมยังจําได้อีกด้วยว่าเคยเห็นคนพวกนี้อยู่กับลุงของตนเอง
“ว่าไงนะ…”วันนี้ช่างเป็นวันที่น่าประหลาดเสียจริง เรื่องที่คนพวกนี้เป็นคนของลุงที่เจมส์รู้จักทําให้กวีรู้สึกผิดคาดมาก ถ้าจําไม่ผิด ลุงของเจมส์เป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลยุคเก่า แต่ถึงจะมีโลกเสมือนจริงเข้ามาแล้วลุงของเจมส์ก็ไม่ได้ปล่อยให้กลุ่มเสียอํานาจไปเฉยๆ แต่กลับโยกย้ายคนเข้ามาในโลกเสมือนจริง แต่ไม่ได้เข้ามาเล่นเกมเหมือนพวกกวี ส่วนเรื่องครอบครัวของเจมส์จะเป็นยังไงนั้นบางทีคงไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่…คนของลุงเจมส์มาเกี่ยวอะไรกับพายัพกัน?
“ให้ผมบอกลุงให้ดีหรือเปล่า ถ้าพี่อยากเจอผมช่วยเรียกเจ้าพวกนี้มาได้นะ” เจมส์ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เจมส์สนิทกับลุงมากทีเดียว แค่เรียกลูกน้องของลุงมาไม่ใช่เรื่องยากหรอก
“ได้เรียกพวกมันมา” กวีได้รับคําตอบก็เปลี่ยนเส้นทางของรถที่ขับอยู่ทันที เป้าหมายต่อไปก็ต้องเป็นบ้านของเจมส์สินะ