Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 437
เวลา 3 ปี อาจนับว่าไม่ได้ยาวนานหรือสั้นเกินไป แต่มันก็นานเพียงพอสำหรับเมือง ๆ หนึ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปได้มาก นครเบรทเทลที่เคยแร้นแค้น กลับกลายเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองอย่างมากเมืองหนึ่งในเขตตะวันออกของจักรวรรดิแลนซล็อต
เหมืองทั้ง 5 ที่โอบล้อมนครเบรทเทลอยู่โดยรอบล้วนมีโรงงานผลิตยุทโธปกรณ์ขึ้นหลายแห่ง อาวุธมากมายสำหรับใช้ในฝ่ายพลเรือนและกองทัพล้วนถูกหล่อหลอมขึ้นที่นั่น และไม่เพียงแต่จะผลิตทั้งอาวุธและชุดเกราะที่เพียงพอต่อความต้องการของนครเบรทเทล แต่ยังสามารถผลิตเพื่อส่งอออกไปยังแคว้นทั้งเจ็ดและเมืองหลัก ๆ ทุกเมืองภายในจักรวรรดิแลนซล็อตได้อีกด้วย
ขณะที่กำลังเดินไปตามถนนของนครเบรทเทลกับกิลเบิร์ต หานซั่วก็จ้องมองไปยังคลื่นของฝูงชนที่หลั่งไหลผ่านไปมาอย่างไม่ขาดสาย รวมทั้งร้านค้าที่เรียงรายดาษดื่นเต็ม 2 ฝั่งถนน เขาพบว่ายากมากทีเดียวที่จะจินตนาการว่านี่คือเมืองเดียวกันกับเมืองที่แสนจะชำรุดทรุดโทรมเมื่อ 3 ปีก่อน
ในครั้งนี้ หานซั่วและกิบเบิร์ตกลับมายังนครเบรทเทล โดยไม่ได้ใช้วงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายที่อยู่ในสุสานแห่งความตาย แต่กลับกัน เขากลับใช้วงเวทย์มิติในเมืองซาโจสกี้ เพราะหานซั่วต้องการทดสอบวงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายใหม่ล่าสุดของนครเบรทเทลว่ามีประสิทธิภาพดีเพียงใด ซึ่งผลที่ได้รับก็ทำให้หานซั่วพอใจมากทีเดียว
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
“นายท่าน วงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายเมื่อกี้นี้น่ะ ท่านจอมขมังเวทย์ห้วงมิติศักดิ์สิทธิ์ซาบาคัสเป็นคนเดินทางมายังนครเบรทเทลและสร้างให้ด้วยตัวเองเลยนะ มันสามารถเชื่อมต่อกับวงเวทย์อื่น ๆ ที่อยู่ในจักรวรรดิแลนซล็อตได้ทุกแห่งเลย ถ้าว่ากันตามจริง เราก็ใช้วงเวทย์มิติในสุสานแห่งความตายเพื่อเดินทางมายังนครเบรทเทลโดยตรงได้เลยด้วยซ้ำ แล้วทำไมเราถึงต้องใช้วิธีที่มันไกลกว่าแบบนี้ด้วยล่ะ?”
มังกรดำกิลเบิร์ตร้องถามหานซั่ว
“ไม่มีอะไรมากหรอก คืองี้ ข้ารู้ว่าวงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่นี่มีความสำคัญต่อนครเบรทเทลมากแค่ไหน ข้าก็เลยอยากทดสอบมันด้วยตัวเอง ฮะ ๆ ข้ารู้ว่าการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของนครเบรทเทลต้องเป็นผลมาจากวงเวทย์มิตินี่ด้วยเหมือนกัน”
หานซั่วตอบพร้อมกับยิ้ม
“นายท่าน ท่านพูดถูกเผงเลยล่ะ วงเวทย์มิตินี่ส่งผลอย่างมหาศาลเลยทีเดียว หลังจากที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์จักรพรรดิและความช่วยเหลือจากสมาคมพ่อค้าตระกูลบูซท์ของคุณฟีบี้ เหล่ายอดฝีมือจากทุกศาสตร์ทุกแขนงต่างก็แห่แหนกันมายังนครเบรทเทล ทหารของที่นี่ก็ทั้งแข็งแรงและกำยำ เมื่อไหร่ที่แคว้นทั้งเจ็ดพยายามจะรุกรานเรา ก็ถูกกองกำลังของนครเบรทเทลโจมตีจนแตกพ่ายกลับไปเสียทุกครั้ง ความมั่นคงปลอดภัยของนครแห่งนี้แข็งแกร่งสุด ๆ ไปเลยล่ะ”
มังกรดำกิลเบิร์ตอธิบายให้หานซั่วที่เดินอยู่ข้าง ๆ ฟังอย่างช้า ๆ
ทันทีที่มาถึงนครเบรทเทล หานซั่วก็ปลดปล่อยปีศาจอาคมทั้ง 12 ตนออกไป พวกมันลอยวนเวียนไปทั่วทั้งเมือง เพื่อสอดส่องสถานการณ์ของนครเบรทเทลในทุกหัวระแหง และในที่สุด หานซั่วก็สามารถมองเห็นและเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระยะเวลา 3 ปีของนครเบรทเทลได้ทั้งหมด
ปืนใหญ่คริสตัลตั้งตระหง่านอยู่บนกำแพงเมืองทั้ง 4 ด้าน พร้อมกับเครื่องมือจู่โจมขนาดใหญ่มากมายหลายประเภทที่ตั้งเรียงรายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ซึ่งสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน และไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน หากใครก็ตามที่คิดจะรุกรานนครแห่งนี้
นอกจากนี้ ยังมีหอคอยเวทมนตร์อีก 2- 3 แห่งตั้งอยู่บนกำแพงเมือง ธาตุเวทมนตร์ที่หนาแน่นอบอวลอยู่โดยรอบยอดแหลมของหอคอย หอคอยเวทมนตร์เหล่านี้สามารถใช้พลังจากผลึกมนตราของสัตว์วิเศษได้โดยตรง ซึ่งจำเป็นต้องใช้พลังจิตของจอมเวทย์เป็นผู้ควบคุมในการสูบเอาธาตุเวทมนตร์ที่พบได้ทั่วไปในอาณาจักรมาเป็นพลังในการโจมตี
เมื่อเทียบกับปืนใหญ่คริสตัลแล้ว หอคอยเวทมนตร์เหล่านี้ถือว่าสูงชั้นมากกว่าทั้งในเรื่องของความยืดหยุ่นและพลังทำลายล้าง ในเมื่อตอนนี้มีหอคอยเวทมนตร์ 2 แห่งตั้งประจำการอยู่ที่กำแพงเมืองแต่ละด้าน หานซั่วก็พอจะนึกสีหน้าท่าทางของเหล่าผู้รุกรานออกทันทีเมื่อพวกนั้นเห็นหอคอยเวทมนตร์เหล่านี้
บนกำแพงเมืองทั้ง 4 ด้าน เต็มไปด้วยทหารในชุดเกราะและอาวุธสีเงินเงางาม เพียงพิจารณาจากอุปกรณ์เหล่านั้น หานซั่วก็บอกได้ทันทีว่าพวกเขาต้องมีฝีมือที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ทหารในชุดเต็มยศเหล่านี้ล้วนมีท่าทีดุดัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องเป็นนักรบที่โชกโชนด้วยประสบการณ์ และศัตรูมากมายหลายคนต้องถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือของพวกเขา
หลังจากที่บรรดาปีศาจอาคมบินวนเวียนอยู่หลายรอบ จนภาพของเขตต่าง ๆ ถูกถ่ายทอดมายังสายตาของหานซั่วจนครบ เขาก็เดินเคียงข้างกับกิลเบิร์ตไปยังคฤหาสน์ของเจ้าเมือง ขณะที่ฟังคำอธิบายถึงเรื่องต่าง ๆ จากกิลเบิร์ต หานซั่วก็มีรอยยิ้มที่สงบปรากฏอยู่บนใบหน้า เพราะเขารู้สึกพึงพอใจกับสถานการณ์ในปัจจุบันของนครเบรทเทลมากทีเดียว
ในที่สุดพวกเขาก็เดินมาถึง คฤหาสน์เจ้าเมืองเปล่งประกายไปด้วยความยิ่งใหญ่อันทรงเกียรติซึ่งแตกต่างจากสภาพเมื่อครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง กำแพงรอบคฤหาสน์ทั้งกว้างขึ้นและสูงตระหง่านกว่าที่เคย หานซั่วมองเพียงปราดเดียว ก็รู้ทันทีว่าคฤหาสน์เจ้าเมืองถูกปรับปรุงใหม่อีกครั้ง ซึ่งคงใช้เหรียญทองไปเพื่อการนั้นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
แม้ว่าคฤหาสน์เจ้าเมืองจะใหญ่โตขึ้น แต่เหล่าทหารยามที่คอยรักษาการณ์ประจำประตูทางเข้าด้านหน้ายังคงเห็นทหารหน้าเดิม ๆ ที่คุ้นเคย ขณะที่ทหารยาม 2 คนที่ดูหยิ่งทรนงและกระตือรือร้นกำลังกวาดตามองไปรอบ ๆ เมื่อหานซั่วเดินเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้ม ทหารยามหนึ่งในนั้นก็ตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาในทันที พลางจ้องมองไปยังหานซั่วอย่างไม่เชื่อสายตา
ทหารยามจ้องมองเหม่ออยู่อย่างนั้น ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งและโน้มตัวคำนับต่อหน้าหานซั่ว และร้องตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มตื้นไปด้วยอารมณ์
“ท่านมาร์ควิส… ท่านเสร็จสิ้นจากการเก็บตัวฝึกฝนแล้วรึขอรับ…?”
“ท… ท่านมาร์ควิส โอ ให้ตาย ท่านจริง ๆ ด้วย ท่านมาร์ควิสกลับมาแล้ว!”
ทหารยามอีกคนหนึ่งก็จำหานซั่วได้เช่นกัน เมื่อได้ยินคำพูดของสหายอีกคน เขาก็หันหน้าไปมอง และพบว่าหานซั่วปรากฏตัวขึ้นจริง ๆ ก่อนจะร้องออกมาด้วยความดีใจจนเสียงหลง
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
หานซั่วยิ้มและพยักหน้า
“ใช่ ดรัคเกอร์ ข้ากลับมาแล้ว”
ทหารยามที่ชื่อดรัคเกอร์เคยเป็นหนึ่งในกองกำลังกลุ่มแรกของนครเบรทเทล ในตอนนั้น เขาเคยเป็นเพียงคนธรรมดาที่อ่อนน้อมถ่อมตนและผอมกะหร่องราวกับกระบอกไม้ไผ่ แต่ปัจจุบัน ร่างกายของเขาทั้งบึกบึนและสูงใหญ่ เปี่ยมไปด้วยความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นตั้งแต่หัวจรดเท้า แตกต่างจากคน ๆ เดิมที่เขาเคยเป็นจนยากเกินบรรยาย
“ท่านมาร์ควิส ท่านจำชื่อของข้าได้ด้วย! โอย… ข้าบอกความรู้สึกไม่ถูกเลยตอนนี้ นายท่าน ท่านช่างเป็นเจ้าเมืองที่ยอดเยี่ยมมากเหลือเกิน…”
เมื่อดรัคเกอร์ได้ยินหานซั่วเรียกชื่อเขาได้อย่างถูกต้อง เขาก็ซาบซึ้งมากเสียจนเริ่มพูดจาตะกุกตะกัก
“เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าจะเข้าไปล่ะนะ”
เมื่อหานซั่วได้ยินน้ำเสียงที่เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความตื้นตันของดรัคเกอร์ หานซั่วก็โบกมือให้ และเดินเข้าไปในคฤหาสน์
“ท่านมาร์ควิสกลับมาแล้ว! ท่านมาร์ควิสกลับมาแล้ว!”
ทหารยามอีกคนร้องตะโกนเสียงดังลั่นทันทีที่เห็นหานซั่วก้าวเท้าเข้าไปภายในคฤหาสน์
เมื่อสิ้นเสียงประกาศ ทั่วทั้งภายในคฤหาสน์เจ้าเมืองก็เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน เสียงเซ็งแซ่จากทุกทิศดังขึ้นให้ได้ยิน ที่ด้านนอกคฤหาสน์ ม้าจำนวนหนึ่งควบออกไป และแยกกันไปในทิศทางต่าง ๆ ด้วยความรีบร้อนอย่างที่สุด ส่วนภายใน พ่อบ้านแคลลัสผู้ชราก็รีบเดินออกมาต้อนรับหานซั่ว ท่าทีของเขาดูปลาบปลื้มยินดีไม่ต่างกัน
ครั้งก่อน ระหว่างเกิดการปฏิวัติขึ้นภายในนครออซเซ็น หานซั่วก็รีบเตือนพ่อบ้านแคลลัสล่วงหน้า จนเขาสามารถนำพาคนรับใช้กลุ่มหนึ่งหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย และเมื่อความมั่นคงของนครออซเซ็นถูกสั่นคลอน แคลลัสก็ไม่ได้อยู่ในนครออซเซ็น และรีบเดินทางมายังนครเบรทเทลโดยไม่ลังเล เขากลายเป็นผู้ดูแลทุกสิ่งทุกอย่างในคฤหาสน์ของหานซั่วจนถึงทุกวันนี้
ทันทีที่พ่อบ้านเฒ่าแคลลัสมาถึงที่หน้าประตู เขาก็โค้งคำนับหานซั่วเพื่อทำความเคารพ
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านขอรับ ท่านมาร์ควิส”
“ฮะ ๆ ๆ ขอบใจ เอาล่ะ ไปคุยกันข้างในเถอะ”
หานซั่วตอบพร้อมกับยิ้ม
ระหว่างนั้น พ่อบ้านเฒ่าแคลลัสก็รีบจัดแจงให้เหล่าคนใช้รีบไปตระเตรียมทุกสิ่งอย่างที่จำเป็นต้องใช้สำหรับงานเลี้ยงฉลอง และอธิบายให้หานซั่วฟังไปด้วย
“นายท่าน ระหว่าง 3 ปีที่ผ่านมาซึ่งท่านได้จากไปเพื่อการฝึกฝน ท่านแจ็คได้รับตำแหน่งไวส์เคานต์ และท่านดอร์คัสก็ได้รับตำแหน่งเคานต์ ส่วนอีกหลายคนก็ได้รับบรรดาศักดิ์เช่นกัน คนที่เคยพักอาศัยอยู่ในคฤหาสน์เจ้าเมืองเป็นการชั่วคราว องค์จักรพรรดิก็ได้พระราชทานคฤหาสน์ให้กับพวกเขาทุกคนที่ได้กลายเป็นขุนนางชั้นสูง และคฤหาสน์เหล่านั้นก็ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ข้าได้ส่งคนให้ไปเชิญพวกเขามาแล้ว ข้ามั่นใจว่าอีกไม่นานพวกเขาก็คงเดินทางมาถึง”
เวลา 3 ปีได้เปลี่ยนแปลงอะไร ๆ ไปมากมายเลยจริง ๆ และดูเหมือนลอว์เรนซ์จะรู้ดีทีเดียวว่าควรดูแลเอาใจหานซั่วอย่างไร เพราะทั้งแจ็ค ดอร์คัส และอีกหลายคนล้วนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหานซั่ว และได้รับมอบบรรดาศักดิ์ขุนนางชั้นสูงกันทุกคน ซึ่งด้วยฐานะดังกล่าว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ภายในคฤหาสน์เจ้าเมืองอีกต่อไป เพราะคนเหล่านี้เองก็มีทั้งพ่อแม่และครอบครัวเป็นของตนเองด้วยเช่นกัน
หานซั่วพยักหน้าและยิ้มตอบ
“องค์จักรพรรดิช่างใส่พระทัยต่อพวกเราดีจริง ๆ นะ”
“ใช่ขอรับ การที่นครเบรทเทลเจริญรุ่งเรืองได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ก็เป็นเพราะการสนับสนุนอย่างเต็มที่ขององค์จักรพรรดิ แต่จะว่าไปแล้ว การบริหารจัดการของท่านแจ็คและท่านดอร์คัสก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยจริง ๆ ท่านทั้งคู่มีบทบาทสำคัญอย่างมาก เมื่อมีพวกเขาเข้ามาควบคุมดูแลทั้งอำนาจทางการทหารและการบริหารเมือง นครเบรทเทลก็เจริญก้าวหน้าอย่างน่าภาคภูมิใจมาโดยตลอด”
แคลลัสไม่ลืมที่จะชื่นชมแจ็คและดอร์คัส
หานซั่วรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้มาจากคำบอกเล่าของกิลเบิร์ตแล้ว และรับรู้ถึงความสำเร็จของทั้งคู่มาบ้างเช่นกัน ในฐานะ 2 ผู้กุมอำนาจใหญ่ในนครเบรทเทล คนหนึ่งทางด้านการบริหารจัดการ ส่วนอีกคนหนึ่งก็ด้านการทหาร
แจ็คเป็นผู้ดูแลเรื่องการบริหารปกครองและการคลัง ทำให้เศรษฐกิจของนครเบรทเทลในทุกภาคส่วนล้วนเติบโตและเจริญก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนดอร์คัส ในฐานะผู้มีอำนาจทางการทหาร ไม่เพียงแต่เขาจะจัดการให้นครเบรทเทลแข็งแกร่งจนมิอาจทำลายได้ เขายังเป็นฝ่ายออกไปรุกรานแคว้นทั้งเจ็ด และปล้นสะดมสิ่งของมีค่าจากทางฝั่งนั้นมาได้อีกมากมาย
และเป็นที่แน่นอนว่า ก่อนที่เขาจะจากไปเพื่อฝึกฝนอย่างเป็นทางการ หานซั่วก็ได้บอกเรื่องสำคัญเกี่ยวกับแคว้นทั้งเจ็ดผ่านแจ็คไปยังดอร์คัสไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ทั้งเรื่องของ เฮเลน ทีน่า แห่งแคว้นเฮลอน และเรื่องที่ เบิร์ต ซิลี แห่งแคว้นบูเล็ทซึ่งศาสนจักรแห่งความหายนะคอยควบคุมอยู่อย่างลับ ๆ ดอร์คัสก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
และเป็นเพราะเหตุนี้เอง ด้วยความช่วยเหลือในเงามืดจากทั้ง เฮเลน ทีน่า และ เบิร์ต ซิลี …ดอร์คัสจึงสามารถโจมตีแคว้นทั้งเจ็ดได้อย่างง่ายดาย ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่เขาสามารถหนีออกไปหลังจากปล้นสะดมโดยปราศจากอุปสรรค
ด้วยทั้งสองฝ่ายเต็มไปด้วยเจตนาอันชั่วร้าย จึงทำให้แคว้นทั้งเจ็ดไม่สามารถจับพันธมิตรกันได้อย่างแท้จริง และทำได้เพียงเฝ้ามองนครเบรทเทลเจริญรุ่งเรืองและทรงอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง บรรดาม้าศึกที่ถูกซื้อไปจากทั้ง 2 แคว้นยิ่งทำให้กองกำลังทหารม้าของนครเบรทเทลแข็งแกร่งมากขึ้นอีก และยังมีอาวุธ ชุดเกราะ และอุปกรณ์ป้องกันอย่างครบสรรพ ภายใต้การนำของดอร์คัส พวกเขาจึงกลายเป็นกองกำลังอัศวินที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดที่คุกคามแคว้นทั้งเจ็ด
คู่หูแจ็คและดอร์คัส ต่างกุมอำนาจทั้งการบริหารปกครองและการทหารของนครเบรทเทลได้อย่างมั่นคง นอกจากนี้ ดิคจากองครักษ์ชุดดำ ที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจำนวนมหาศาล ก็สามารถขยายอำนาจขององครักษ์ชุดดำแผ่กระจายไปทั่วแคว้นทั้งเจ็ดราวกับใยแมงมุม เขาสามารถสืบค้นและส่งต่อข่าวกรองอันแม่นยำให้กับทั้งคู่ เมื่อทั้ง 3 คนทำงานร่วมกัน ไม่เพียงแต่นครเบรทเทลจะแข็งแกร่งจนยากที่จะทำลาย อำนาจของมันยังแผ่ขยายออกไปไกล และกลายเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่ทั้งมั่นคงปลอดภัยและน่าเกรงขามอย่างแท้จริง
“สินค้ามากมายจากแคว้นทั้งเจ็ดกระจายตัวหมุนเวียนอยู่ภายในจักรวรรดิแลนซล็อตผ่านนครเบรทเทล ในขณะที่สินค้าจำนวนไม่น้อยเลยจักรวรรดิของเราก็ถูกส่งออกไปยังแคว้นทั้งเจ็ดด้วยเช่นกัน เพราะเหล่าขุนนางมากมายในแคว้นทั้งเจ็ดต่างชื่นชอบและโปรดปรานวัฒนธรรมของจักรวรรดิเรามากทีเดียว
ฮะ ๆ และถึงแม้เราจะเป็นศัตรูตัวฉกาจของแคว้นทั้งเจ็ด แต่ไม่ว่ายังไง สำหรับพวกพ่อค้าแล้ว ผลประโยชน์ก็ต้องสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เพราะนครเบรทเทลของเราอ้าแขนต้อนรับพวกเขาอย่างอิสระ บรรดาพ่อค้าจากทั้ง 7 แคว้นจึงไม่สนใจเรื่องราวบาดหมางและข้อพิพาทระหว่างดยุคผู้ครองแคว้นของตนเองเลยสักนิด หากแต่ซื้อขายแลกเปลี่ยนกับเราอย่างต่อเนื่องเพื่อหมุนเวียนสินค้าและทรัพยากรต่าง ๆ ….”
คำอธิบายจากความเข้าใจของแคลลัสนั้นแตกต่างจากกิลเบิร์ตที่มุ่งเน้นประเด็นหลักแต่เพียงอย่างเดียว เขายังอธิบายถึงสภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองในรายละเอียดให้หานซั่วฟังอีกด้วย
“ฮ่า ๆ ๆ ไบรอัน! เจ้าบ้านี่ ในที่สุดก็กลับมาได้สักที!”
เสียงร้องตะโกนที่ดังและชัดเจนลั่นขึ้นจากด้านนอก แจ็คหัวเราะร่วนขณะพาหญิงสาวท่าทางขี้อายคนหนึ่งมาด้วย เขาเดินเข้ามาข้างในด้วยอารมณ์ดีสุดขีด
3 ปีที่ผ่านไป แปรเปลี่ยนให้แจ็คอ้วนตัวน้อยกลายเป็นแจ็คอ้วนตัวยักษ์ ราวกับว่าน้ำหนักของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมากตามความสูงศักดิ์ที่ได้รับ ด้วยเรื่องที่เขากุมอำนาจใหญ่ภายในนครเบรทเทล และยังเป็นที่พอพระทัยขององค์จักรพรรดิ แจ็คผู้เคยขี้ขลาดตาขาวคนเดิมจึงถูกลบไปอย่างสิ้นเชิง แจ็คในตอนนี้นั้นดูมีสง่าราศีสมกับความเป็นผู้นำมากทีเดียว
หานซั่วเป็นเพื่อนกับแจ็คมานานหลายปี ทันทีที่เขาได้ยินเสียงหัวเราะที่คุ้นเคยของแจ็ค ความรู้สึกอบอุ่นบางอย่างก็พลุ่งพล่านขึ้นมาในหัวใจ เขาเดินออกไปต้อนรับด้วยความยินดี เสื้อผ้าชนชั้นสูงของแจ็คได้รับการตัดเย็บอย่างประณีต หานซั่วยิ้มและตะโกนกลับไป
“ฮ่า ๆ ๆ แจ็คผู้ตุ้ยนุ้ยกลายเป็นแจ็คอ้วนตัวยักษ์ไปซะแล้ว! ไม่เลวเลยจริง ๆ ดูท่าเจ้าจะอยู่ดีกินดีมาตลอด 3 ปีเลยสินะ!”
“พูดมากน่า เจ้านั่นแหละ ทิ้งเมืองไปแล้วปล่อยให้พวกเราต้องบริหารจัดการกันเองแทบตาย เหนื่อยขนาดนั้นข้าก็ต้องกินสิ! แล้วพอกลับมา แทนที่จะปลอบข้าสักคำ ก็ดันมาพูดว่าข้าอ้วนขึ้นซะงั้น เห็นใจกันบ้างมั้ยเนี่ย!?”
แจ็คมองหานซั่วอย่างเคือง ๆ ก่อนจะบ่นออกไปทั้งรอยยิ้ม
“ใครกันล่ะเนี่ย?”
หานซั่วถามอย่างอารมณ์ดี พลางมองไปยังหญิงสาวที่ยืนเอียงอายอยู่ข้าง ๆ แจ็ค
“นี่คือเจสสิก้า ที่ข้าเคยเล่าให้ฟังเมื่อตอนนั้นไง”
แจ็คแนะนำเธออย่างภาคภูมิใจพลางขยิบตาให้หานซั่ว
“โอ้ ข้าจำได้แล้ว ฮ่า ๆ ๆ ยินดีที่ได้พบเจ้านะ”
หานซั่วนึกย้อนไปถึงเหตุผลที่แจ็คต้องการอยู่ในนครเบรทเทลต่อไป ซึ่งก็คือหญิงสาวที่ชื่อเจสสิก้าผู้นี้นี่เอง ในเมื่อตอนนี้ หานซั่วเห็นว่าแจ็คได้ครองใจสาวงามที่เขาเฝ้าฝันถึงแล้วในที่สุด เขาก็รู้สึกดีใจไปกับแจ็คด้วยจริง ๆ
เมื่อเจสสิก้าเผชิญหน้ากับหานซั่ว เธอก็รู้สึกประหม่าอย่างเห็นได้ชัด เธอทำความเคารพหานซั่วด้วยความเขินอาย และน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกลัว
“…สวัสดีค่ะ ท่านมาร์ควิส”
“นายท่าน ท่านกลับมาแล้ว!”
ดอร์คัสเดินเข้ามาจากด้านนอก เขายังคงเป็นชายหนุ่มคนเดิมที่ไม่ได้ดูเปลี่ยนแปลงไปมากนัก มีเพียงร่องรอยของการตรากตรำทำงานหนักปรากฏให้เห็นบนใบหน้าเท่านั้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งบ่งบอกอย่างชัดเจนถึงประสบการณ์มากมายที่เขาผ่านมา
แม้แต่ดิค ฟอลเก้ และหัวหน้าชนภูเขาบางคนก็เดินทางมาถึง เมื่อทุกคนต่างมารวมตัวกันพร้อมหน้า ด้วยการดูแลของแคลลัส พวกเขาทุกคนก็ตรงไปยังโถงจัดเลี้ยงและดื่มสังสรรค์กันจนสมใจอยาก ในขณะที่คนอื่น ๆ ที่ดูแลเรื่องต่าง ๆ ในนครเบรทเทลก็อธิบายเรื่องราวเพิ่มเติมให้หานซั่วฟังอีกครั้ง
**********************