Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 436
ภายใต้ห้วงลึกของทะเลแห่งความตายในมิติมืด หานซั่วนิ่งงันไปในทันที ร่างของเขาแข็งทื่อไม่เคลื่อนไหว ราวกับกำลังจ่อมจมลงสู้ห้วงนิทรา ไร้ซึ่งสัญญาณแห่งชีวิต
เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กจ้องมองไปยังหานซั่วที่ยืนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่บนร่างของอสูรกระดูก ในตอนนั้น มันไม่รู้เลยว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป อย่างไรก็ตาม มันก็สามารถสัมผัสได้ถึงจิตอันแข็งแกร่งของหานซั่ว ซึ่งทำให้มันเข้าใจทันทีว่าหานซั่วยังคงมีชีวิตอยู่
“นายท่าน เกิดอะไรขึ้นรึ?”
อสูรกระดูกร้องถาม
อสูรกระดูกซึ่งถูกเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กหล่อหลอมขึ้นมาด้วยกระดูกที่มีความแข็งแรงทนทาน มันคอยติดตามและเคียงข้างเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กมาเป็นเวลานาน มันเกรงกลัวต่อพลังความแข็งแกร่งอันน่าพรั่นพรึงของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก และเข้าใจว่าบางที เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กอาจจะยังไม่ใช่อสูรที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในมิติมืด แต่กระนั้น มันก็รู้ว่าความแข็งแกร่งของเจ้าโครงกระดูกนั้นกำลังเพิ่มมากขึ้น และจะมีพลังเหนือกว่าอสูรทรงพลังตนอื่น ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตาม ผู้เป็นนายของอสูรกระดูกกลับมีหานซั่วเป็นบิดาผู้ลึกลับที่มาจากโลกอื่น จึงทำให้อสูรกระดูกมีความสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก มันไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าอสูรที่ทรงพลังอย่างเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กจะมีหานซั่วเป็นพ่อ
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรจะถาม”
เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กตอบ มันเดินวนรอบหานซั่วที่อยู่บนตัวอสูรกระดูก 2-3 รอบ ขณะที่มองไปยังหานซั่วที่ไม่ไหวติง ราวกับว่ามันกำลังพิจารณาว่าหานซั่วกำลังทำอะไรอยู่
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กก็ตบที่ร่างของอสูรกระดูกเบา ๆ และร้องบอก
“เอาล่ะ ระหว่างนี้ก็คอยเฝ้าเขาไปก่อน เรื่องอื่นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“ได้เลย นายท่าน”
เพราะในมิติมืดไม่มีการบ่งบอกเวลา หลังจากเวลาที่ผ่านไปเท่าไรมิอาจทราบได้ จิตของหานซั่วก็เริ่มเคลื่อนไหว วิญญาณของเขาเคลื่อนตัวผ่านห้วงมิติอันลึกล้ำ และกลับมายังสุสานแห่งความตายในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำทันที ร่างจริงของเขายังคงนั่งอยู่เช่นเดิม และแน่นิ่งไม่ไหวติง
แม้ว่าร่างกายจะปราศจากการเคลื่อนไหว แต่จิตและแก่นมนตราในร่างของเขากลับไหลเวียนอย่างรวดเร็วและบ้าคลั่ง พลังงานมหาศาลที่กักเก็บไว้ภายในร่างกายของเขาควบแน่นอยู่ตรงบริเวณที่ตัวอ่อนปีศาจขดตัวอยู่ ในขณะที่แก่นมนตรายังคงควบแน่นอยู่อย่างนั้น ตัวอ่อนปีศาจก็เริ่มปรากฏเด่นชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับมีแปรงวิเศษกำลังแต่งแต้มภาพวาดอันสวยงามอย่างช้า ๆ แม้แต่รูขุมขนหรือเส้นผมก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน แก่นมนตราภายในร่างของหานซั่วก็ถูกดูดซับไปโดยตัวอ่อนปีศาจ ความเร็วของการไหลเวียนภายในร่างนั้นเร็วปานสายฟ้า ในขณะที่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ บนร่างตัวอ่อนปีศาจของหานซั่วก็เติบโตและชัดเจนมากขึ้น
หลังจากที่หานซั่วได้รับความกระจ่างแห่งปัญญา จิตและตัวอ่อนปีศาจในร่างของเขาก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร้สุ้มเสียง และการก้าวเข้าสู่อาณาจักรพลังในระดับต่อไปก็หมายถึงความแข็งแกร่งของหานซั่วที่เพิ่มมากขึ้นอีกอย่างน่าอัศจรรย์ หมายความว่าเขาจะมีความสามารถอันน่าเหลือเชื่ออีกมากมาย และหานซั่วจะสามารถทำตามความปราถนาของเขาได้มากขึ้นอีก…
หลังจากเวลาผ่านไปนานแสนนาน หายซั่วก็ตื่นขึ้นจากภวังค์ ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายด้วยแสงระยิบระยับ เมื่อเขาจ้องมองไปที่สิ่งใด ดวงตาของเขาจะปรากฏเป็นกระแสไฟฟ้าวาบขึ้นมา ซึ่งคงทำให้ผู้ที่พบเห็นต้องรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาไม่น้อย
เมื่อเทียบกับครั้งที่แล้ว ร่างกายของหานซั่วไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก มีเพียงหานซั่วเท่านั้นที่รับรู้ว่าความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นมาจากไหน ในตอนนี้ หานซั่วสามารถสำรวจบริเวณโดยรอบได้โดยไม่ต้องใช้ปีศาจอาคม ด้วยพลังของจิตของเขาเพียงอย่างเดียว ก็ไม่มีสิ่งใดในระยะ 2-3 ลี้รอบตัวเขาที่จะสามารถหลุดรอดการมองเห็นของเขาไปได้ ส่วนสายสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างหานซั่วและกิลเบิร์ตก็แข็งแกร่งขึ้นอีกนับสิบเท่า หานซั่วถึงกับสามารถสัมผัสความประหลาดใจที่แฝงไปด้วยความปลื้มปิติของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กซึ่งอยู่ในอีกมิติหนึ่งได้อย่างชัดเจน ในตอนนั้น หานซั่วก็พบว่าจิตของเขามีความรู้สึกที่แตกต่างออกไปจากเคยราวกับพลิกฝ่ามือ เขาจึงชื่นชมยินดีกับความรู้สึกแปลกใหม่นั้นอย่างมาก
หานซั่วดีใจที่พบว่าร่างกายของเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ในตอนนี้ เมื่อเขาได้บรรลุสู่อาณาจักรพลังกามอสูรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความปราถนามากมายจึงผุดขึ้นจากส่วนลึกของจิตใจ ราวกับพยายามเร่งเร้าเขาให้ทำความปราถนาเหล่านั้นให้สำเร็จ และปลดปล่อยความปรารถนาเหล่านั้น ซึ่งถูกฝังอยู่ลึกลงไปในหัวใจของเขามาตลอดหลายปี
อีกครั้งที่หานซั่วใช้เวลาพักใหญ่ในการปรับตัวเข้ากับสภาพร่างกายใหม่ของเขา และหลังจากที่เขาฝึกฝนเวทย์ปีศาจเสร็จสิ้นไป 2-3 อย่าง เขาก็เปิดเขตแดนของสุสานแห่งความตาย เพื่อให้ มังกรดำกิลเบิร์ตผ่านเข้ามา
“นายท่าน! นายท่านของข้า! ท่านไม่ได้เรียกหาข้าเลยตั้ง 3 ปี!”
ทันทีที่มังกรดำกิลเบิร์ตเข้ามาภายในสุสานแห่งความตาย เขาก็ร้องตะโกนเสียงดังใส่หานซั่ว
“อะไรนะ!? 3 ปีเลยเรอะ!!?”
หานซั่วตกใจอย่างมาก และร้องขึ้นมาเบา ๆ
“ใช่แล้ว อันที่จริงต้องบอกว่า 3 ปี กับอีก 4 เดือนด้วยถึงจะถูก นับจากวันที่ท่านบอกว่าจะไปฝึกฝนตัวเองจนถึงวันนี้ ก็เท่ากับ 3 ปี กับ 4 เดือนพอดี แล้วระหว่างนั้น ท่านก็ไม่เคยติดต่อกับข้าสักครั้ง แถมข้ายังไม่สามารถรับรู้ถึงตัวตนของท่านได้เลยด้วย นายท่าน ท่านไปฝึกฝนวิชาอะไรมาเหรอ? ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่าท่านหายไปจากโลกนี้แล้ว จนแม้แต่ข้าเองก็ไม่สามารถสัมผัสถึงท่านได้แบบนั้น?”
กิลเบิร์ตถามหานซั่วด้วยความประหลาดใจ
3 ปี กับอีก 4 เดือน! หานซั่วตกตะลึงกับระยะเวลาที่ยาวนาน เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตนเองจะใช้เวลาเก็บตัวฝึกฝนมานานขนาดนี้
หานซั่วคิดว่าเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง และไม่คาดคิดเลยว่าเวลาจะผ่านไปรวดเร็วจนไม่รู้ตัวถึงเพียงนี้ การผ่านเข้าสู่ภาวะปีศาจและช่วงเวลาแห่งการรู้แจ้งเพื่อบรรลุสู่อาณาจักรพลังกามอสูร มีเพียง 2 ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่หานซั่วไม่สามารถรู้สึกได้ถึงเวลาที่ล่วงเลยไปแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ก็แน่ใจได้จริง ๆ ว่าเป็น 2 ช่วงเวลานั้นที่เขาใช้เวลาไปมากที่สุด 3 ปี 4 เดือน ผ่านไปราวกับความเร็วของการดีดนิ้วสำหรับหานซั่ว เขาไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดปกติ แต่เขารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องธรรมดาสำหรับคนทั่วไปอย่างแน่นอน
“กิลเบิร์ต 3 ปีมานี้ พวกเจ้าเป็นยังไงกันบ้าง?”
หานซั่วรีบถามมังกรดำทันที
“วางใจเถอะ ทุกอย่างเป็นไปได้ดีสุด ๆ ไปเลย ตอนนี้ หุบเขาแสงตะวันอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณของพวกเราแล้ว ลอเรตันแห่งกองกำลังฯ ไคโรถูกทรังคส์ฆ่าตาย ส่วนหนึ่งของกองกำลังก็แปรพักตร์มาอยู่ฝ่ายเรา และส่วนหนึ่งของพวกนักรบคลั่งก็ออกจากหุบเขาแสงตะวันไปอย่างถาวร
ส่วนตระกูลเมนโลกับกองกำลังฯ เคียวรุ้งก็ถูกพวกเราขยี้ซะไม่เหลือชิ้นดี มีเพียงเผ่าออร์คและกลุ่มเล็ก ๆ อีกจำนวนหนึ่งที่ยังหลงเหลืออยู่นอกหุบเขาแสงตะวัน ยังไงซะ หัวหน้าเผ่าออร์คกาตาร์ก็ยอมจำนนต่อทรังคส์แล้ว ในตอนนี้ ทรังคส์กลายเป็นผู้ควบคุมสั่งการทุกอย่างในหุบเขาแสงตะวัน
ในอาณาบริเวณรอบ ๆ หุบเขาแสงตะวัน กองโจรของเจเน็ตก็กลายเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลมากที่สุด แล้วด้วยตัวตนของพวกกองโจรของเจเน็ต พวกพ่อค้าในหุบเขาแสงตะวันถึงก็ยิ่งเชื่อใจทรังคส์มากขึ้นอีก พวกเราก็เลยเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามไปด้วย ส่วนทุกวันนี้ ทรังคส์และเจเน็ตก็กำลังวางแผนอย่างลับ ๆ เพื่อเตรียมจัดการกับเจ้าดยุคแห่งจักรวรรดิคาซีกันอยู่เลย”
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
มังกรดำกิลเบิร์ตอธิบายให้หานซั่วฟัง
เมื่อกิลเบิร์ตพูดจบ หานซั่วก็รู้สึกทั้งประหลาดใจระคนดีใจในตอนแรก แต่หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเขาใคร่ครวญดูดี ๆ เขาก็รู้สึกว่าอัตราการพัฒนาของกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณที่นำโดยทรังคส์นั้นออกจะเหลือเชื่ออยู่สักหน่อย เขาจึงขมวดคิ้วและเอ่ยปากถาม
“เดิมที แค่กองกำลังฯ ไคโรของลอเรตันอย่างเดียวก็ร่ำรวยและมีอิทธิพลเทียบเท่ากับกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณจนหืดขึ้นคอมากพออยู่แล้ว แต่นี่มีทั้งตระกูลเมนโลและกองกำลังฯ เคียวรุ้งอีก แล้วทรังคส์ควบคุมหุบเขาแสงตะวันได้เร็วขนาดนี้ได้ยังไงกัน?”
“โอ้ มีเหตุผลอีกหลายข้อเลย เท่าที่ข้ารู้ก็คือ คุณฟีบี้ทุ่มเงินลงทุนมากมายเพื่อคอยสนับสนุนกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณ นอกจากนี้ นครเบรทเทลยังส่งคนมาช่วยทรังคส์ในเหตุการณ์สำคัญ ๆ อีกหลายครั้ง แล้วยังมีจอมขมังเวทย์แห่งศาสนจักรแห่งความตายที่คอยช่วยพวกเราในเงามืดอยู่ตลอดเวลาโดยที่พวกเราไม่เคยร้องขอ ยิ่งไปกว่านั้น เอมิลี่ก็คอยส่งข้อมูลข่าวสารให้มากมาย และเพราะชัยชนะของท่านที่สามารถเอาชนะอัศวินศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักรแห่งแสงสว่าง ทหารรับจ้างนับไม่ถ้วนที่มีฝีมือไม่ธรรมดาก็แห่มาเข้าร่วมกับเรา โดยไม่คำนึงถึงเวลาหรือสภาพภูมิศาสตร์ กองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณก็มักจะได้เปรียบอยู่ตลอด ทรังคส์เองก็เหมือนกัน เขาเป็นผู้นำที่ทั้งชาญฉลาดและกล้าหาญ เขาก็เลยสามารถควบคุมหุบเขาแสงตะวันได้ภายในเวลาแค่ 3 ปี”
หลังจากที่ฟังคำอธิบาย หานซั่วก็ตระหนักได้ทันทีว่าทรังคส์มีข้อได้เปรียบหลายประเด็นเลยจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ทรังคส์ก็เคยผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาแล้ว ทำให้เขากลายเป็นคนที่โหดเหี้ยมและมุทะลุมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี่จึงเป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลมากพอสำหรับการกวาดล้างศัตรูและอิทธิพลที่มีอยู่ในหุบเขาแสงตะวันทั้งหมดได้ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี
“ไม่เลวเลย ทรังคส์ทำได้ดีมาก โอ้ จริงสิ แล้วสถานการณ์ในจักรวรรดิแลนซล็อตเป็นยังไงบ้าง?”
หานซั่วถามขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ของจักรวรรดิแลนซล็อตทันที หลังจากที่เอ่ยปากชื่นชมทรังคส์
“ลอว์เรนซ์กลายเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ของจักรวรรดิแลนซล็อตแล้วล่ะ เขาเป็นจักรพรรดิที่ยอดเยี่ยมมากเลย ภายใต้การปกครองของเขา พวกกลุ่มปฏิวัติติดอาวุธที่กระจายอยู่ทั่วจักรวรรดิก็ถูกตีแตกจนหมด ก่อนที่จักรวรรดิอื่นจะได้ทันเข้ามาคุกคาม ลอว์เรนซ์ก็ควบคุมความสงบเรียบร้อยภายในจักรวรรดิแลนซล็อตได้แล้ว แถมยังสร้างความแข็งแกร่งของกองทัพได้มากขึ้นอีก
โอ้ จริงสิ ลอว์เรนซ์น่ะ เอาใจใส่นครเบรทเทลมากเลยเหมือนกัน ตอนนี้ที่นครเบรทเทลก็มีวงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายของตัวเองแล้ว ผู้คนมากมายจากหลาย ๆ เมืองต่างหลั่งไหลเข้ามา และย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง ส่วนเจ้าดอร์คัสผู้คลั่งสงคราม ตอนนี้ก็กลายเป็นขุนพลที่เป็นที่นิยมที่สุดในจักวรรดิไปแล้ว ตลอดระยะเวลา 3 ปีมานี้ ดอร์คัสทั้งลอบวางเพลิง ฆาตกรรม และปล้นสะดมแคว้นทั้งเจ็ด อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เขานำพาความมั่งคั่งมาให้นครเบรทเทลมากมายนับไม่ถ้วนเลยล่ะ
เขาก็เป็นพวกบ้าสงครามเหมือนกับฟีเรนซีเลยจริง ๆ แทบไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะไม่ได้รุกรานแคว้นทั้งเจ็ด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเจ้าหมอนี่มีความสามารถน่าเหลือเชื่อในการบัญชาการรบมากเลยจริง ๆ จนกระทั่งตอนนี้ แคว้นทั้งเจ็ดก็ไม่เคยมีแผนร่วมมือกันโจมตีนครเบรทเทลเลยสักครั้ง…”
หลังจากฟังกิลเบิร์ตอธิบาย หานซั่วก็เข้าใจสถานการณ์ของจักรวรรดิแลนซล็อตในตอนนี้เป็นอย่างดี จากคำพูดของมังกรดำกิลเบิร์ต หานซั่วก็รู้ว่าคนทุกคนและกองกำลังที่เป็นพันธมิตรกับเขาต่างถูกบรรจุในตำแหน่งและบทบาทที่สำคัญเพราะอำนาจทางการเมืองของลอว์เรนซ์ ลอว์เรนซ์รู้สึกให้ค่าต่อหานซั่วเป็นอย่างมาก แม้หานซั่วจะไม่อยู่ เขาก็ไม่เคยปฏิบัติต่อคนของหานซั่วอย่างไม่เป็นธรรม แต่กลับให้ผลประโยชน์ต่อคนเหล่านั้นอย่างมากมาย
*************************