Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 427
เมื่อเบลานต์พูดจบ เด็มพัสก็นำดยุคแอชเบิร์น ชาลส์ และเหล่ายอดฝีมือที่คอยคุ้มกันพวกเขาล่าถอยออกไปด้วยความรีบเร่ง
ส่วนเบลานต์และคอสส์ก็รวมกลุ่มกับอัศวินเทมพลาร์และนักบวชขาวจากศาสนจักรแห่งแสงสว่างจำนวนหนึ่ง มุ่งหน้าไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับเด็มพัสและคนอื่น ๆ
สิ่งที่เบลานต์คาดเดาไว้นั้นถูกต้องมากทีเดียว ในตอนนี้ หานซั่วจำออร่าศักดิ์สิทธิ์จากร่างของเบลานต์ได้อย่างแม่นยำ เจ้าผีดิบธาตุดินต้องมาได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะต้องการจะปกป้องหานซั่ว แม้ก่อนที่จะเข้าสู่ภาวะปีศาจ หานซั่วก็หมายหัวเบลานต์ไว้ก่อนหน้า และจะไม่ยอมให้เบลานต์คลาดสายตาโดยเด็ดขาด
และก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เมื่อเบลานต์ คอสส์ และสมาชิกคนอื่น ๆ ของศาสนจักรแห่งแสงสว่างแยกตัวออกไป หานซั่วซึ่งดูราวกับปีศาจที่บินอยู่ด้านบนก็จับจ้องไปที่เบลานต์และไล่ตามเขาไปทันที
ในขณะที่ฝ่ายเด็มพัสและคนอื่น ๆ ซึ่งหลบหนีไปอย่างรวดเร็วตระหนักได้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของหานซั่วคือเบลานต์ พวกเขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ภายใต้คำสั่งของแอชเบิร์น พวกเขาก็เปลี่ยนเส้นทางอีกครั้ง ก่อนจะอ้อมไปด้านหลังจุดศูนย์กลางของสนามรบ เพื่อตั้งหลักบัญชาการกองกำลังในสนามรบที่ยังไม่จบสิ้น
หานซั่วซึ่งตกอยู่ในภาวะปีศาจ เป็นเหมือนกับลำแสงที่ก่อให้เกิดเสียงน่าสะพรึงกลัวออกมาขณะพุ่งไปทางเบลานต์ คอสส์ และพรรคพวก เขาไม่สนใจแอชเบิร์นและคนอื่น ๆ เลยแม้แต่น้อย
ฟีเรนซีซึ่งเฝ้าสังเกตการณ์ผ่านคริสตัลก็พ่นลมอย่างเย็นชาและพูด
“เหอะ! แอชเบิร์นไม่รอดแล้วล่ะ มาถึงจุดนี้แล้ว เขาคงไม่มีทางคาดเดาผลลัพธ์ของสงครามออกแน่ ๆ”
“ดูเหมือนว่าเบลานต์และพวกศาสนจักรแห่งแสงสว่างจะเจอปัญหาเข้าแล้วสิ!”
คาเรลสงบลงและยิ้มขณะพูดกับซาบาคัส
“ใช่แล้ว จริงสิ เดิมทีข้าก็เตรียมพร้อมที่จะช่วยไบรอันทุกชั่วขณะ แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะน่าทึ่งถึงขนาดนี้ ดูท่าพวกเราคงไม่ต้องกังวลอะไร และคอยรับมือกับแอชเบิร์นอย่างเดียวก็พอ”
ซาบาคัสผ่อนคลายลง น้ำเสียงของเขาดูโล่งใจขณะตอบ
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
“ท่านหมายความว่าไบรอันคงจะไม่เจอปัญหาอะไรใช่มั้ยคะ?”
แฟนนี่เป็นห่วงความปลอดภัยของหานซั่วมากที่สุด เธอยังคงลังเล และรู้สึกกังวลไม่หาย
“ยัยหนู ไอ้พวกที่ถูกไบรอันไล่ฆ่าน่ะ น่าเป็นห่วงมากกว่าอีกนะ ข้าว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องไปห่วงเจ้าวายร้ายนั่นหรอก เอาล่ะ วางใจเถอะ อย่ามานั่งวิตกกังวลเรื่องนี้อยู่ทั้งวันเลย”
ฟีเรนซีปลอบโยนแฟนนี่
ทั้งเอมิลี่และฟีบี้มีท่าทีปกติ เพียงแต่ประหลาดใจกับฝีมือที่ยอดเยี่ยมของเขาเท่านั้น ตั้งแต่ที่พวกเธอได้พบหานซั่ว พวกเธอก็ไม่เคยเห็นเขาต้องพ่ายแพ้เลยสักครั้ง และหานซั่วมักจะเป็นพลังที่แข็งแกร่งให้กับพวกเธอ ดังนั้น ลึก ๆ ในใจพวกเธอจึงรู้สึกเชื่อมั่นอยู่เสมอ
แต่แฟนนี่นั้นต่างออกไปในบรรดาหญิงสาวทั้ง 3 คน แฟนนี่เป็นคนแรกที่ได้พบหานซั่ว ตั้งแต่ครั้งที่หานซั่วยังอยู่ในสาขาศาสตร์แห่งความตายและไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง เธอต้องคอยช่วยเขาให้ก้าวผ่านอุปสรรคไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่า และช่วยเขาแก้ปัญหาต่าง ๆ อยู่เสมอ ความสัมพันธ์ที่หยั่งลึกนั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในระยะเวลาอันสั้น แม้ว่าตอนนี้หานซั่วจะมีพลังความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เธอก็ยังรู้สึกเป็นห่วงเขาอยู่ดี
ขณะที่ฝูงชนจับจ้องไปที่หานซั่วด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน หานซั่วซึ่งดูราวกับปีศาจก็ไล่ตามเบลานต์ได้ทันและเริ่มจู่โจมเหล่าผู้ติดตามจากศาสนจักรแห่งแสงสว่างทันที
หานซั่วซึ่งยืนตระหง่านท่ามกลางเมฆสีเลือด เขาชูคมมีดพิชิตมารขึ้นมา ก่อให้เกิดลำแสงพุ่งออกมาดูราวกับดาบมังกร และทุกครั้งที่มันฟาดฟันลงมาก็เต็มไปด้วยพลังรุนแรงไร้ที่สิ้นสุด เหล่านักเวทย์จากศาสนจักรแห่งแสงสว่างร่ายเวทย์สร้างม่านพลังป้องกันออกมาชั้นแล้วชั้นเล่า แม้แต่อัศวินศักดิ์สิทธิ์เบลานต์ก็ไม่กล้ารับแรงฟาดฟันนั้นด้วยตัวเองโดยตรง
ลำแสงสีแดงยาวพุ่งลงมาใส่พวกเขาจากด้านบน ราวกับมังกรซึ่งบิดตัวเป็นเกลียวและมีความยาวนับร้อยเมตร มันเต็มไปด้วยจิตสังหารปริมาณมหาศาล และพุ่งตรงเข้าใส่ม่านเวทย์มนตร์ที่สร้างขึ้นโดยคอสส์และนักเวทย์คนอื่น ๆ
ทั้งม่านพลังกระแสลม โล่น้ำแข็งที่ส่องแสงเป็นประกาย กำแพงไฟที่ลุกโชน และโล่แห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ก่อร่างขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าเหนือศีรษะของพวกเขา ช่างปรากฏเป็นภาพที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง เบลานต์เป็นคนสร้างม่านพลังป้องกันชั้นสุดท้าย ขณะที่ออร่าต่อสู้ของเขาเต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่กระจายออกมาจากหอกสีทองในรูปของแสงระยิบระยับเป็นประกาย
เหล่าผู้ติดตามจากศาสนจักรแห่งแสงสว่างต่างจับจ้องไปยังท้องฟ้าเบื้องบน ราวกับว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่ยิ่งใหญ่ และใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีตั้งรับการโจมตีที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้นั้นอย่างสุดแรงเกิด
ในที่สุด การโจมตีอันทรงพลังก็ปะทะเข้ากับม่านพลังเวทมนตร์ที่สร้างขึ้นโดยเหล่าสมาชิกของศาสนจักรแห่งแสงสว่างพร้อมกับเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ม่านพลังแตกกระจายจนแหลกละเอียดราวกับดวงดาวเล็ก ๆ นับล้านบนทางช้างเผือก ก่อให้เกิดแสงหลากสีที่พุ่งกระจายออกไปทุกทิศทางพร้อมกับเสียงดังที่แหลมบาดหู พลังมหาศาลนั้นเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต สามารถทำลายม่านพลังป้องกันของเวทมนตร์ทั้ง 6 ธาตุได้ภายในพริบตา
ม่านพลังเวทมนตร์ที่เหล่านักเวทย์ต่างทุ่มสุดตัวเพื่อสร้างขึ้นมากลับถูกทำลายอย่างง่ายดายราวกับกระดาษทันทีที่ปะทะกับพลังทำลายล้าง ซึ่งก็ทำให้การโจมตีนั้นหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง
ไม่นานนัก พลังนั้นก็พุ่งโจมตีต่อไป ทำให้ม่านพลังเวทมนตร์อีก 8 ชั้นแตกกระจัดกระจายออกเป็นแสงหลากสี เมื่อมันพุ่งลงมาถึงชั้นของโล่แห่งแสงสว่างที่สร้างขึ้นโดยอาวุธศักดิ์สิทธิ์ “คัมภีร์วิวรณ์” ของอาร์คบิชอปคอสส์ ก็เกิดการระเบิดรุนแรงที่น่าสะพรึงกลัวขึ้น ทำให้พลังโจมตีที่พุ่งลงไปอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด
เปรี้ยะ! เปรี้ยะ! เปรี้ยะ!
ทันใดนั้นเอง อาร์คบิชอปคอสส์ ผู้มุ่งมั่นทุ่มเทพลังจิตของตนเพื่อสร้างโล่แห่งแสงสว่างขึ้นมา ก็ไม่สามารถต้านทานพลังนั้นได้อีกต่อไป เขาถอยหลังไป 3 ก้าวก่อนจะล้มลง หัวสมองของเขามึนตื้อไปหมด และกระอักเลือดออกมา
“ท่านเบลานต์ เร็วเข้าเถอะ!”
คอสส์สูดหายใจและตะโกนขึ้น ขณะที่หัวสมองของเขาต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดทรมานอีกระลอกหนึ่ง
เปรี้ยะ !!
เสียงกระเทาะดังขึ้นอย่างชัดเจนราวกับเสียงของเปลือกไข่ที่แตก ในขณะที่โล่แห่งแสงสว่างซึ่งคอสส์สร้างขึ้นเริ่มปริร้าว และพลังโจมตีนั้นก็ยังคงพุ่งลงมาอย่างต่อเนื่อง
อัศวินศักดิ์สิทธิ์เบลานต์ตะโกนดังลั่น และยกหอกสีทองเปล่งประกายขึ้นสู่ท้องฟ้า ออร่าศักดิ์สิทธิ์แผ่กระจายออกมาจากร่างของเบลานต์และหลอมรวมเข้ากับหอกสีทองในมือ ก่อให้เกิดแสงสีทองที่พุ่งขึ้นไปที่พลังโจมตีของหานซั่ว
ครืนนนน…….
จู่ ๆ เสียงฟ้าร้องก็ดังก้องขึ้นบนท้องฟ้าอันสดใส ขณะที่แสงสีทองและสีแดงปะทะเข้าด้วยกัน ก่อให้เกิดภาพที่งดงามตระการตา อย่างไรก็ตาม พลังน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ออกมาจากพลังโจมตีที่ระเบิดออกมาทั้ง 2 ฝั่ง กลับก่อให้เกิดรอยแยกของมิติที่ฉีกขาดขึ้นหลายแห่ง
เบลานต์กัดฟันกรอดขณะที่พลังงานอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่านเข้าไปในร่างกายของเขา เกราะสีทองบนร่างกายของเขาส่งเสียงดังกริ๊งหวานหู ขณะที่เขารู้สึกราวกับว่าอวัยวะภายในกำลังถูกกระแทกด้วยค้อนขนาดใหญ่ ทำให้เขาเซไปมา จนเลือดปริมาณมากไหลทะลักออกมาจากปากและจมูก
“เบลานต์ถึงกับบาดเจ็บเลยรึนี่!? ช่างเป็นพลังที่น่ากลัวจริง ๆ!”
คาเรลโพล่งตะโกนออกมา สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความปลื้มปิติจนยากจะอธิบาย
ด้วยลูกแก้วคริสตัลในมือของซาบาคัส ลอว์เรนซ์และคนอื่น ๆ สามารถเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะขณะที่เลือดทะลักออกมาจากปากและจมูกของเบลานต์ และผู้ที่มีสายตาเฉียบคมก็สามารถสังเกตอาการเซเล็กน้อยของเบลานต์ได้เช่นกัน
ฝั่งตรงข้ามกับเบลานต์ที่ทั้งเหนื่อยล้าและอ่อนแรง หานซั่ว ที่เพิ่งคว้าคมมีดพิชิตมารไว้ได้ในมือ ยังคงมีท่าทีโหดเหี้ยมอำมหิต ดวงตาสีแดงฉานของเขาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึกยิ่งทำให้เขาดูราวกับเครื่องจักรสังหาร
นอกจากการหอบหายใจอย่างหนักแล้ว ก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นกับหานซั่ว ไม่มีร่องรอยของความเหนื่อยล้าให้เห็น นอกจากเมฆสีเลือดที่หดตัวลงเล็กน้อย ราวกับว่าเป็นเพราะมันปลดปล่อยพลังงานอันปั่นป่วนออกไประหว่างการต่อสู้
“เหลือเชื่อจริง ๆ! ไบรอันทำร้ายอัศวินศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักรแห่งแสงสว่างจนบาดเจ็บได้ด้วย!”
เซซิเลีย หนึ่งในสามผู้ทรงอิทธิพลขององครักษ์ชุดดำจับตาดูสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เงียบ ๆ แต่แล้วก็ต้องร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
เซซิเลียที่ใช้เวลาหลายปีในการทำภารกิจภายในดินแดนของศัตรู เธอจึงมีความคุ้นเคยกับพลังอันแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวของอัศวินศักดิ์สิทธิ์มากกว่าคนอื่น ๆ ทั่วทั้งอาณาจักรแห่งความลึกล้ำ อัศวินศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักรแห่งแสงสว่างนับว่าน่าเกรงขามที่สุด เซซิเลียซึ่งได้เดินทางไปยังดินแดนต่าง ๆ ก็ได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับอัศวินศักดิ์สิทธิ์ และเธอรู้ว่าเหล่ายอดฝีมือที่ได้รับการเสริมพลังด้วยพรอันศักดิ์สิทธิ์จากเทพนั้นน่าเกรงกลัวมากเพียงใด
อย่างไรก็ตาม บุคคลผู้แข็งแกร่งซึ่งเคยดูถูกเหยียดหยามยอดฝีมือของดินแดนอื่นไปทั่วในตอนนี้กำลังบาดเจ็บสาหัสด้วยฝีมือของชายหนุ่มเพียงคนเดียว!
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป หานซั่วจะกลายเป็นตำนานในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำ และอยู่เหนือเหล่ายอดฝีมือของอาณาจักรแห่งความลึกล้ำทั้งปวงอย่างง่ายดาย
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
สำหรับเซซิเลีย การที่หานซั่วแสดงฝีมือในวันนี้สามารถอธิบายได้เป็นอย่างดีว่าเขายอดเยี่ยมมากแค่ไหน และนับแต่บัดนี้ เซซิเลียก็เลิกล้มความตั้งใจ และไม่คิดจะท้าทายกับหานซั่วอีกต่อไปด้วยเช่นกัน
แม้ว่าเธอจะเป็นหลานสาวของซาบาคัส และเป็นถึงหนึ่งในสามผู้ทรงอิทธิพลขององครักษ์ชุดดำ แต่เธอก็มักเชื่อมั่นอยู่เสมอว่าตนเองนั้นเหนือกว่าคนหนุ่มสาวคนอื่น ๆ มากมายนัก
อย่างไรก็ตาม การที่หานซั่วแสดงฝีมืออันน่าตกตะลึงในตอนนี้กลับเปลี่ยนความคิดของเธอไปโดยสิ้นเชิง และทำให้เธอตระหนักได้ว่าเธอช่างด้อยฝีมือเหลือเกินเมื่อเปรียบเทียบกับพลังของหานซั่ว
“ด้วยการโจมตีนั่น ชื่อของไบรอันจะต้องแพร่กระจายไปทั่วอาณาจักรแห่งความลึกล้ำเลยแน่ ๆ!”
จอมขมังเวทย์ห้วงมิติศักดิ์สิทธิ์ซาบาคัสมีท่าทีสงบนิ่ง ขณะที่เขาเอ่ยขึ้นมาพลางจ้องมองไปยังหานซั่วผู้เด็ดเดี่ยวผ่านลูกแก้วคริสตัล
“ท่านเบลานต์! ท่านเบลานต์ได้รับบาดเจ็บ!”
ตรงกันข้ามกับความรู้สึกประหลาดใจของซาบาคัสและคนอื่น ๆ เหล่าสาวกของศาสนจักรแห่งแสงสว่างที่อยู่รอบกายเบลานต์ต่างรู้สึกขวัญผวาขึ้นมาในทันที พวกเขาต่างพูดประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมา ราวกับว่าการบาดเจ็บของเบลานต์หมายถึงภารกิจนั้นล้มเหลวแล้วโดยสิ้นเชิง
ขวัญกำลังใจของพวกเขากำลังตกต่ำถึงขีดสุด!
“หุบปาก! พวกเจ้าที่ยังรอดชีวิตอยู่ก็สร้างม่านพลังป้องกันต่อไป การโจมตีระลอกต่อไปกำลังมาแล้ว เจ้าพวกโง่ ถ้าอยากจะมีชีวิตอยู่ละก็ รีบลงมือซะที!”
เบลานต์ซึ่งปกติมีท่าทีสงบนิ่งกลับสูญเสียการควบคุมตัวเองและไม่สามารถเก็บอารมณ์ไว้ได้ จึงตะโกนออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด
เหล่าสาวกแห่งศาสนจักรแห่งแสงสว่างไม่มีเวลาจะคิดถึงความเปลี่ยนแปลงในน้ำเสียงของเบลานต์เมื่อครู่ ในตอนนี้ กลุ่มเมฆสีเลือดหนาแน่นเหนือศีรษะของพวกเขาเริ่มหมุนวนอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
พวกเขาทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าสัญญาณที่เกิดขึ้นนี้ หมายความว่าปีศาจร้ายเบื้องบนกำลังลงมืออีกครั้ง
“แค่ก แค่ก!”
อาร์คบิชอปคอสส์ไออย่างรุนแรงชั่วครู่หนึ่งก่อนจะยืนขึ้นอย่างสั่นเทา พร้อมกับถืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ “คัมภีร์วิวรณ์” ไว้ในมือ เขาร่ายเวทย์อย่างต่อเนื่อง และเป็นคนแรกที่เริ่มสร้างพลังม่านป้องกันขึ้นอีกครั้ง
ในหัวใจของคอสส์นั้นเต็มไปด้วยความขมขื่น แม้ว่าเขาจะมีความรู้ความสามารถที่โดดเด่น แต่กลับไม่สามารถหาคำตอบได้เลยว่าความแข็งแกร่งของหานซั่วนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่วันหลังจากที่เบลานต์ทำให้หานซั่วบาดเจ็บสาหัสได้อย่างไร และพลังที่เขาแสดงออกมาในวันนี้ก็น่าสะพรึงกลัวจนไม่สามารถอธิบายได้ คอสส์ซึ่งเดิมเคยคิดว่าชัยชนะในนครออซเซ็นนั้นเป็นเรื่องแน่นอน ในตอนนี้กลับรู้สึกไม่มั่นใจอีกต่อไปแล้ว ในหัวใจของเขายังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและไร้ซึ่งขวัญกำลังใจใด ๆ อย่างสิ้นเชิง
เจ้าปีศาจร้ายตนนี้ ข้าควรจะฆ่ามันให้สิ้นซากตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ! คอสส์ถอนหายใจอย่างโศกเศร้าภายในใจ
เมื่อคอสส์เริ่มร่ายเวทย์ เหล่านักเวทย์ของศาสนจักรแห่งแสงสว่างคนอื่น ๆ ที่ยังมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่ ต่างก็ร่ายเวทย์ขึ้นมาเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง และลงมือทำในสิ่งที่พวกเขาทำได้
ความเร็วอันน่าเหลือเชื่อของหานซั่วเมื่อเขาบินลงมาก่อนหน้านี้ทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่า หากพวกเขาไม่ร่วมมือกัน พวกเขาคงไม่สามารถรอดพ้นจากเงื้อมมือของหานซั่วได้อย่างแน่นอน เมื่อความเร็วของหานซั่วเร็วกว่าเวทย์เหินหาวของพวกเขามากมายนัก
พวกเขาไม่รู้เลยว่าม่านพลังป้องกันจะใช้การไม่ได้เหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ แต่หากต้องการรอดชีวิตอยู่ต่อไปแล้วล่ะก็ พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากต้องทำตามคำสั่งของเบลานต์ละคอสส์เท่านั้น
และข้อเท็จจริงพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นแล้วว่าการกระทำของพวกเขานั้นถูกต้อง
การจู่โจมครั้งต่อไปของหานซั่วมาถึงตามคาด แต่พลังของมันอ่อนลงกว่าพลังโจมตีก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม มันก็สามารถผ่านม่านพลังป้องกันที่สร้างขึ้นโดยเหล่านักเวทย์ และปะทะเข้ากับอาร์คบิชอปคอสส์จนหงายหลังไปอีกครั้ง ส่วนเบลานต์ซึ่งใช้วิธีป้องกันเดียวกับที่เขาใช้ก่อนหน้าก็ถูกแรงปะทะเข้าโดยตรงจนกระเด็นลงสู่พื้นท่ามกลางแสงสีทองเป็นประกาย
แม้ว่าความรุนแรงจะอ่อนลงมาก แต่ความร้ายกาจกลับมีมากกว่าพลังโจมตีก่อนหน้านี้เสียอีก
พลังโจมตีอันไร้เทียมทานก่อนหน้าไม่ได้คร่าชีวิตเหล่าสาวกของศาสนจักรแห่งแสงสว่างไปเลยแม้แต่คนเดียว เพราะมันถูกป้องกันเอาไว้ด้วยม่านพลังป้องกันของเบลานต์
และแม้ว่าการโจมตีครั้งที่ 2 ของหานซั่วจะอ่อนแรงกว่า แต่เหล่าสาวกจากศาสนจักรแห่งแสงสว่างต่างก็ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจากการโจมตีเมื่อครู่ ทำให้ม่านป้องกันที่สร้างขึ้นครั้งที่ 2 ไม่เสถียรเท่ากับครั้งแรก ส่งผลให้อาร์คบิชอปคอสส์ถูกโจมตีอย่างง่ายดาย และร่างของเบลานต์กระเด็นออกไปจนกระแทกลงบนพื้นดิน
นอกจากนี้ อัศวินเทมพลาร์และนักบวชขาวกว่า 20 คนก็ถูกฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆ ด้วยลำแสงสีแดงที่ดูราวกับดาบนั้นทันที
เมื่อการโจมตีครั้งที่ 2 อ่อนแรงลง เวลาสำหรับการเตรียมตัวรับการโจมตีที่จะตามมาครั้งต่อไปก็น้อยลงมากด้วยเช่นกัน ก่อนที่พวกเขาจะทันตั้งตัว ลำแสงราวกับดาบสีเลือดนั้นก็ไม่ได้รวมตัวกันอีกต่อไป หากแต่ฟุ้งกระจายไปรวมอยู่กับกลุ่มเมฆสีเลือด ซึ่งปลดปล่อยห่าฝนสีเลือดกระหน่ำลงมาอย่างรุนแรง พร้อมกันกับเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสดังขึ้นตามมา
ขณะที่ทุกคนต่างกำลังปกป้องตัวเอง ลำแสงสีเลือดขนาดเท่าท่อนแขนพุ่งแทงเข้าใส่อาร์คบิชอปที่หมดสติอยู่ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ “คัมภีร์วิวรณ์” ในมือของเขาเปล่งแสงออกมา และออร่าอันชั่วร้ายก็แผ่ออกมาจากร่างของเขา
เมื่อเหล่าสาวกของศาสนจักรแห่งแสงสว่างรู้ตัว พวกเขาก็พบว่าคอสส์มีเลือดไหลทะลักออกมาจากทวารทั้ง 7 และสูญสิ้นแล้วซึ่งสัญญาณแห่งชีวิต อาวุธศักดิ์สิทธิ์ “คัมภีร์วิวรณ์” ในมือของเขา มืดมนและดับแสงลงทันที
*****************************