Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 426
เหล่ายอดฝีมือทางฝั่งของแอชเบิร์นมองอย่างไม่อยากเชื่อสายตาเมื่อเห็นว่าเด็มพัสกำลังพาตัวแอชเบิร์นและชาลส์ให้ล่าถอยออกไป
“ทุกคน ถอยยยย!!”
เบลานต์ อัศวินศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักรแห่งแสงสว่างร้องตะโกนขึ้นทันที พร้อมกับพุ่งตัวไปทิศทางเดียวกับเด็มพัส
คมมีดพิชิตมารอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆหนาสีเลือดที่เต็มไปด้วยพลังงานด้านลบคุกรุ่นอยู่ภายใน มันเคลื่อนที่ไปข้างหน้าพร้อมกับความโกลาหลของกลุ่มเมฆ ก่อให้เกิดพลังมหาศาลที่ฟาดฟันลงมายังพื้นเบื้องล่าง
ทั้งเด็มพัสและเบลานต์ต่างตกตะลึงและไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อความจริงที่ว่า เบลานต์เพิ่งจู่โจมหานซั่วจนได้รับบาดเจ็บสาหัสไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าพลังของหานซั่วนั้นแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะเขาไม่เชื่อเลยว่าภายในไม่กี่วัน หานซั่วจะสามารถกลับมาสำแดงอิทธิฤทธิ์อันน่าสะพรึงกลัวอีกครั้งได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
และเป็นเพราะทั้งคู่สามารถสัมผัสถึงพลังงานมหาศาลที่แฝงมาในการจู่โจมนั้นได้อย่างชัดเจน พวกเขาจึงรีบถอยร่นออกไปทันที ซึ่งเบลานต์และเด็มพัสต่างไม่มั่นใจเลยว่าจะสามารถต้านทานการโจมตีอันรุนแรงนั้นได้ไหว
เมื่อเห็นว่าเด็มพัสและเบลานต์ถอยหนีออกไปแล้ว พวกคนที่เหลือก็เริ่มขวัญผวาและรีบหนีกระจัดกระจายออกไปคนละทิศละทาง แม้แต่เหล่ายอดฝีมือผู้เก่งกล้าหลายคนต่างก็ระเห็จออกไปจากพื้นที่ในเวลาเพียงชั่วพริบตา
การจู่โจมอันทรงพลังนั้นรวดเร็วรุนแรงดั่งภูเขาถล่ม ก่อให้เกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นขณะที่มันฟาดฟันลงมาใส่ผู้คนนับร้อยที่หนีออกไปไม่ทัน
ครืน…
เสียงสนั่นหวั่นไหวราวกับว่าวันที่โลกถูกพิพากษาได้มาถึง มันก่อกำเนิดขึ้นโดยมีพื้นที่นั้นเป็นศูนย์กลาง พายุที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันโหมกระหน่ำจนผิวดินพังทลาย และหอบเอาเศษซากปรักหักพังลอยขึ้นไปหมุนวนอย่างไร้ทิศทาง รัศมีแสงสีเลือดมากมายก็ระเบิดออกมาราวกับดอกไม้ไฟ พร้อมกันกับทีเสียงหวีดร้องอย่างทุกข์ทรมานของเหล่าวิญญาณและเสียงเห่าหอนของหมาป่าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เหล่าทหารที่หนีออกไปไม่ทันต่างลงเอยด้วยการกลายเป็นเพียงเศษชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายเพราะการโจมตีครั้งนั้น ชิ้นเนื้อมากมายผสมปนเปไปกับซากปรักหักพังและกระเด็นลอยไปไกล ในขณะที่บรรดาผู้คนซึ่งเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ ต่างมองเห็นฉากอันน่าสยดสยองนั้นเต็มสองตา เมื่อฝุ่นควันสงบลง พื้นที่นั้นก็เป็นเพียงเศษซากที่ถล่มทลายราวกับเพิ่งผ่านปรากฏการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เหลือไว้เพียงหลุมลึกที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกว้างถึง 10 เมตร
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
เห็นได้ชัดว่าหลุมลึกที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการจู่โจมเมื่อครู่อย่างแน่นอน ภายในหลุมเต็มไปด้วยเงาดำของซากศพจำนวนมากที่จมอยู่ในกองเลือด เศษเสื้อผ้าบางชิ้นติดไฟจนมีควันดำลอยขึ้นมา และบริเวณโดยรอบหลุมลึกที่อยู่ตรงใจกลาง พื้นดินถูกทำลายจนเสียหายยับเยิน ราวกับว่ามีสว่านขนาดยักษ์มาเจาะเป็นโพรงที่ลึกจนมิอาจเห็นพื้นเบื้องล่าง และรอบ ๆ ก็มีแต่หลุมบ่อเต็มไปหมด
ความทรงพลังของการโจมตีครั้งนี้สร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนที่พบเห็น ไม่เพียงแต่แอชเบิร์นและคนอื่น ๆ ที่อยู่ทางฝั่งนั้นและหนีตายออกไปจะได้แต่ผวาจนพูดอะไรไม่ออก แต่ทั้งคาเรล ซาบาคัส และคนอื่น ๆ ที่เฝ้ามองเหตุการณ์ผ่านลูกแก้วคริสตัลต่างก็ตะลึงจนอ้าปากค้าง และจ้องมองไปยังภาพที่ปรากฏในลูกแก้วอย่างไม่เชื่อสายตา
ในตอนนี้ ทั้งแฟนนี่และฟีบี้ต่างก็รีบตามมาสมทบเช่นกัน
“นี่… เป็นฝีมือไบรอันจริง ๆ เหรอ?”
แฟนนี่เหม่อมองอย่างล่องลอยและพึมพำออกมา เพราะเธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าหานซั่วจะมีพลังน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้
แม้แต่จอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลเองก็อ้าปากค้างจนริมฝีปากแห้งผาก และอุทานออกมาเช่นกัน
“เหลือเชื่อจริง ๆ การจู่โจมนั่นไม่ได้มีเวทมนตร์ใด ๆ แฝงอยู่เลย ทั้ง ๆ ที่มีแค่พลังจากศาสตร์การต่อสู้ของเขาเพียงอย่างเดียว แต่กลับสามารถสังหารศัตรูได้มากขนาดนี้ แถมยังสร้างหลุมลึกนั่นทิ้งไว้อีก ต่อให้ข้าทุ่มสุดฝีมือ ข้าก็ไม่มีทางโจมตีได้รุนแรงเท่านี้แน่ ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าเขาทำได้ยังไง!”
“ไม่แปลกใจเลยที่เกรซบอกว่าเขาคือผู้นำความหวังครั้งใหม่มาสู่จักรวรรดิแลนซล็อต ดูเหมือนเธอจะมองเห็นอนาคตได้แม่นยำจริง ๆ ถ้าคนพวกนั้นหนีไม่ทันล่ะก็ การโจมตีนั้นคงจะคร่าชีวิตศัตรูไปได้อีกหลายร้อย ช่างน่าสะพรึงกลัวจริง ๆ แต่ที่แปลกยิ่งกว่านั้น คือการโจมตีนั้นไม่ได้ใช้เวทมนตร์อะไรเลย และเป็นเพราะศาสตร์การต่อสู้ของเขาเพียงอย่างเดียว ช่างเป็นชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยปริศนาจริง ๆ”
ซาบาคัสเอ่ยความรู้สึกออกมาอย่างชื่นชม
“ท่าน… ท่านอาจารย์ เป็นไปไม่ได้แน่ ๆ ข้ารู้ถึงความแข็งแกร่งของไบรอันมาบ้าง แค่ไม่เคยเห็นกับตาเลยว่ามันน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้ ท่านจะบอกว่าเขาแข็งแกร่งมากกว่าท่านจริง ๆ เหรอคะ?”
ฟีบี้ตกตะลึง และคิดไปว่าภาพที่เธอเห็นในลูกแก้วคริสตัลไม่ใช่เรื่องจริง
เพราะฟีบี้เชื่อมาโดยตลอดว่า คาเรล ผู้เป็นอาจารย์ของเธอคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิ หลายปีที่เธออยู่เคียงข้างคาเรล เธอเคยเห็นเขาได้ท้าดวลกับยอดฝีมือมากมายหลายคน แต่ในท้ายที่สุด ทุกคนที่อาจหาญมาต่อสู้กับคาเรลก็ต้องแบกรับความพ่ายแพ้กลับไปโดยไม่มีข้อยกเว้น
ตลอดหลายปีมานี้ ฟีบี้เคยเห็นการสู้รบมาแล้วมากมาย เธอจึงเชื่ออย่างฝังใจว่าคาเรลคือผู้ที่ทรงพลังอำนาจและไร้เทียมทาน และยังคิดอีกว่าคาเรลคือยอดฝีมือที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในโลก และไม่มีใครสามารถโค่นล้มเขาได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอได้ยินที่คาเรลพูด ฟีบี้ก็สัมผัสได้ถึงความหมายบางอย่าง ที่ว่าฉากสะเทือนขวัญซึ่งเกิดขึ้นจากการโจมตีของหานซั่วนั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่อาจารย์ของเธอก็ไม่สามารถทำได้ นี่จึงเป็นสิ่งที่ลบล้างความเข้าใจเดิมของเธออย่างสิ้นเชิง และเกินกว่าเธอจะตั้งตัวได้ทัน
“ถ้าไบรอันสามารถปลดปล่อยพลังในระดับนี้ไปได้ตลอดล่ะก็ ต่อให้เป็นข้าก็ต้องหนีเหมือนกันนั่นแหละ”
คาเรลจ้องมองฟีบี้ที่ยังคงมีสีหน้าแปลก ๆ พลางถอนใจ
“ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะมีพลังที่น่ากลัวถึงขนาดนี้ เป็นไปได้มั้ยนะ ว่าเขาแอบซ่อนพลังความสามารถที่แท้จริงเอาไว้ในช่วงที่ดวลกันเพื่อไม่ทำให้ข้าเสียหน้า?”
“เจ้าหนุ่มนี่น่าสะพรึงกลัวถึงขนาดยอดฝีมือระดับศักดิ์สิทธิ์อย่างเด็มพัสและเบลานต์ยังต้องถอยหนีแบบตั้งตัวไม่ติด ข้ามองภาพออกเลยล่ะว่าการโจมตีนั้นจะต้องทรงพลังมากเพียงใด ไม่อย่างนั้น เจ้าคนยโสโอหังอย่างเด็มพัสและเบลานต์คงไม่มีทางยอมถอยให้กับคนหนุ่มอย่างเขาแน่”
ซาบาคัสออกความเห็น
เอมีสก็รู้สึกตกตะลึงด้วยเช่นกัน พลางคิดในใจ …ถ้าสงครามการปฏิวัตินี่สิ้นสุดลง และลอว์เรนซ์ได้ขึ้นครองบัลลังค์ เจ้าหนุ่มนี่ก็จะได้รับสถานะในจักรวรรดิสูงเทียบเท่ากับดยุคแอชเบิร์นเลยทีเดียว ถ้าเป็นอย่างนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเอมิลี่กับเขาก็คงไม่ถือว่าเป็นการทำให้เธอเสียเกียรติ และเขาคงจะดูแลเอมิลี่ได้ดีอย่างที่เราหวังไว้สินะ…
ขณะที่เอมีสกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ ฟีเรนซีก็เป็นฝ่ายตกตะลึงขึ้นมาบ้าง และจ้องมองไปทางแฟนนี่อย่างไม่อยากเชื่อ
“ยัยหนู เจ้าหนุ่มนี่เคยเป็นนักเรียนของเจ้ามาก่อนจริง ๆ เรอะ?”
“ใช่แล้วค่ะ ท่านพ่อ ตอนอยู่ที่วิทยาลัย เขาเคยโดนรุมกลั่นแกล้งบ่อยมากเลยนะคะ”
แฟนนี่ยิ้มอย่างขมขื่นขณะตอบฟีเรนซี
“โลกนี่เปลี่ยนแปลงไปเร็วชะมัด ตามไม่ทันเลย ข้าคงแก่เกินไปแล้วจริง ๆ!”
ฟีเรนซีมีท่าทีแปลก ๆ ขณะยังรู้สึกประหลาดใจกับความสามารถอันน่าทึ่งของหานซั่วในวัยเพียงเท่านี้
“ดูนั่น! เขาเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งแล้ว!”
ครั้งนี้ ผู้ที่ร้องออกมาคือลอว์เรนซ์ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ไม่มีใครในที่นี้รู้สึกมีความสุขไปมากกว่าลอว์เรนซ์อีกแล้ว เมื่อเห็นว่าแอชเบิร์น ชาลส์ และคนอื่น ๆ กำลังถอยร่นกลับไปอย่างขวัญหนีดีฝ่อ ลอว์เรนซ์ก็รู้สึกตื่นเต้นจนพูดออะไรไม่ออก เพราะแอชเบิร์นและชาลส์เคยพยายามที่จะลอบทำร้ายเขามาโดยตลอด และบางครั้งก็เกือบจะฆ่าเขาได้สำเร็จ ความโกรธเกลียดที่เขามีต่อคนทั้งคู่จึงมากมายในระดับที่จะไม่มีวันวางมือจนกว่าทั้งแอชเบิร์นและชาลส์จะสิ้นลมหายใจ
เมื่อได้มาเห็นว่าแอชเบิร์นและชาลส์ถูกทำให้เสียหน้า ลอว์เรนซ์จึงรู้สึกปลาบปลื้มยินดีเป็นที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าคนทั้งคู่ถูกฆ่าตายในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ทั่วทั้งจักรวรรดิแลนซล็อตจะต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย หัวใจของลอว์เรนซ์จึงเต็มตื้นไปด้วยความตื่นเต้นดีใจขณะจินตนาการถึงภาพฉากที่ทุกคนกำลังลั่นคำสัตย์สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อเขา
เมื่อลอว์เรนซ์โพล่งขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ ทุกคนก็รีบหันกลับมามอองลูกแก้วคริสตัลในมือของซาบาคัสทันที
ภาพที่ปรากฏในลูกแก้วคริสตัลยังคงเป็นบริเวณที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก และบนท้องฟ้าเหนือดินแดนอันเปลี่ยวร้างนั้น หานซั่วที่ดูชั่วร้ายกำลังร้องคำรามอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่กลุ่มเมฆหนาสีเลือดที่อยู่ด้านหลังแผ่กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งออกมา
ทันใดนั้นเอง ลำแสงสายฟ้าสีเลือดก็ปรากฏขึ้นมาจากหลุมลึกไร้ที่สิ้นสุด และบินมาตรงหน้าหานซั่วที่สามารถรับมันไว้ในมือในชั่วพริบตา มันคือคมมีดพิชิตมารนั้นเองที่สร้างความเสียหายอันน่าสะพรึงกลัวจากการโจมตีก่อนหน้านี้
เมื่อคมมีดพิชิตมารหวนคืนสู่มืออีกครั้ง ออร่าทรงพลังบางอย่างก็แผ่กระจายออกไป ดวงตาสีแดงก่ำของเขากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพุ่งไปทางอัศวินศักดิ์สิทธิ์เบลานต์อย่างไม่ทันตั้งตัว วาดแสงสีแดงสดเป็นทางยาวนับร้อยเมตรราวกับแสงของดาบที่พุ่งออกมาจากคมมีดพิชิตมาร มันส่งเสียงหวีดหวิวและมาพร้อมกับส่วนหนึ่งของเมฆสีเลือดที่แฝงไปด้วยพลังอันน่าพิศวง
ในตอนนี้ หานซั่วดูราวกับปีศาจที่มาจากโลกอื่น ท่าทีของเขาดูโหดเหี้ยมอำมหิตขณะกวัดแกว่งคมมีดพิชิตมารและพุ่งเข้าใส่เบลานต์ คมมีดนั้นทำลายซึ่งทุกสิ่งอย่างที่มันพาดผ่าน และขณะที่เขากำลังบิน พลังอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่กระจายออกไปครอบคลุมทุกพื้นที่
กองกำลังทหารมากมายของแอชเบิร์นที่อยู่ในรัศมีร้อยเมตรของหานซั่วได้รับผลกระทบทันที ทุกคนถูกพลังของแสงดาบนั้นฟาดฟันจนร่างกายขาดสะบั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อให้เกิดเลือดปริมาณมากที่พุ่งกระจายออกมาราวกับห่าฝน ตลอดทางที่หานซั่วบินผ่าน ทั้งเศษหินดินทรายต่างกระจัดกระจายไปทั่ว ส่วนที่ ๆ แสงดาบลากผ่าน ก็ทิ้งร่องลึกยาวเป็นทางมากมายไว้ด้วยเช่นกัน
“ท่านทั้งสอง นี่มัน… นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ดยุคแอชเบิร์นถามเบลานต์และจอมขมังเวทย์ศักดิ์สิทธิ์เด็มพัสด้วยเสียงสั่นเครือ พลางจ้องมองไปยังหานซั่วที่ดูราวกับปีศาจและกำลังพุ่งตรงมาทางพวกเขา
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
ท่าทางของหานซั่วในตอนนี้ดูน่าสะพรึงกลัวและคุ้มคลั่งถึงขีดสุด ไม่มีสิ่งใดที่สามารถหยุดยั้งเขาไว้ได้เลย และใครก็ตามที่กล้าขวางทาง ก็จะถูกสังหารด้วยแสงดาบที่ยาวนับร้อยเมตรนั้น เพียงชั่วพริบตาเดียว ทหารหัวกะทิของแอชเบิร์นก็ถูกฆ่าตายไปกว่า 500 คน
ทหารหัวกะทิเหล่านี้เป็นหน่วยคุ้มกันแอชเบิร์น และไม่ได้เข้าร่วมในการต่อสู้ใด ๆ พวกเขาล้วนเป็นทหารเดนตายที่แอชเบิร์นจัดให้ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แอชเบิร์นทุ่มเหรียญทองจำนวนมหาศาลไปกับคนพวกนี้ แต่ละคนจึงมีความแข็งแกร่งมากกว่าทหารปกติทั่วไปมากพอควร
อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับหานซั่ว ทหารหัวกะทิที่แอชเบิร์นไว้วางใจกลับถูกห้ำหั่นจนร่างกายฉีกขาดอย่างง่ายดายราวกับกระดาษ และไม่หลงเหลือแม้สักคนที่รอดตายจากการโจมตีของเขา
“ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่อยู่ดี ๆ พลังประหลาดของเจ้าบ้านั่นก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ราวกับว่าเขาสามารถยืมพลังของคนตายที่ยังไม่สูญสลายไปมาได้ยังไงยังงั้น ทุกการโจมตีของเขาเต็มไปด้วยพลังงานด้านลบที่น่าสะพรึงกลัว ข้าไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าเขาทำได้ยังไงกัน!”
อัศวินศักดิ์สิทธิ์เบลานต์ตอบกลับแอชเบิร์นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“แล้วเราควรจะทำยังไงดี จะทำยังไงดี? เขากำลังมาทางนี้แล้ว?”
เจ้าชายชาลส์พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเมื่อเขาเริ่มตระหนกจนขวัญกระเจิง เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกหวาดกลัวต่อท่าทีอันชั่วร้ายของหานซั่วและพลังอันน่าพรั่นพรึงของเขา
“ไม่มีทางอื่นแล้ว เราทำได้แค่ถอยออกมาเท่านั้น ในตอนนี้ ไม่มีใครในจักรวรรดิแลนซล็อตสามารถหยุดยั้งเขาไว้ได้อีกแล้วล่ะ”
จอมขมังเวทย์เด็มพัสตอบกลับทันที แม้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะทำให้เขารู้สึกเสียใจไม่น้อย แต่เขาก็ไม่มีความคิดอื่นที่ดีกว่านี้แล้วจริง ๆ
“ทีแรกพวกท่านทั้ง 2 พูดไว้ว่ายังไง? ไหนบอกว่าต่อให้ทางฝ่ายนั้นมียอดฝีมือระดับศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วยก็ไม่ใช่เรื่องน่าเป็นกังวลเลยไม่ใช่เรอะ? แล้วนี่อะไรกัน แค่ไอ้เด็กหนุ่มคนเดียว ยังไม่มีปัญญาทำอะไรสักอย่าง? พวกท่านมันไร้ประโยชน์สิ้นดี! แล้วแบบนี้ข้าจะหนีไปที่ไหนได้อีก ถ้าข้าออกจากนครออซเซ็นไปตอนนี้ ทั้งแผนการและความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาของพวกเราก็สูญเปล่ากันพอดีน่ะสิ!”
เห็นได้ชัดว่าชาลส์กำลังสติแตก เขาพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักเพราะอาการหวาดกลัวสุดขีด
“ชาลส์ หุบปาก! การตัดสินใจของยอดฝีมือระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 2 ไม่ผิดหรอก เจ้าน่ะ สงบสติอารมณ์ลงก่อนดีกว่า!”
เมื่อแอชเบิร์นเห็นท่าทีของทั้งคู่เริ่มบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด เขาก็รีบดุด่าชาลส์ทันที
เมื่อถูกแอชเบิร์นตวาดใส่ ชาลส์ก็ตั้งสติได้และไม่เอ่ยปากพูดอะไรอีก
“ท่านทั้งสอง ชาลส์ยังเด็ก และอาจจะหลงลืมกาลเทศะไปชั่วคราว ได้โปรดอย่าถือสาเลย พวกเราจะยอมรับฟังคำแนะนำของพวกท่านแต่โดยดี”
เมื่อแอชเบิร์นดุด่าชาลส์แล้ว เขาก็รีบหันไปขอโทษขอโพยเบลานต์และเด็มพัสทันที
แม้ว่าแอชเบิร์นจะเป็นถึงดยุคแห่งจักรวรรดิแลนซล็อต เขาก็จำต้องปฏิบัติต่อยอดฝีมือระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้งคู่ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในตอนนี้ที่พวกเขาต้องพึ่งยอดฝีมือระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 2 คน และคงจะเลวร้ายลงกว่านี้หากมาทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจ เช่นนั้นแล้ว แอชเบิร์นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขออภัยด้วยความนอบน้อม
อัศวินศักดิ์สิทธิ์เบลานต์พ่นลมอย่างดูถูกขณะมองไปที่ชาลส์ซึ่งเงียบเสียงลงแล้วด้วยสายตาเย็นชา
“ครั้งหน้าก็ระวังปากหน่อยก็แล้วกัน ที่ข้ามาช่วยพวกเจ้าที่นี่เพราะเห็นแก่คอสส์ซึ่งเป็นสหายที่ดีของข้าหรอกนะ ไม่งั้นข้าก็ไม่สนหรอกว่าเจ้าจะอยู่หรือตาย”
ชาลส์แอบนึกสาปแช่งเขาในใจ พลางคิดว่าหากวันหนึ่งเขายึดอำนาจได้ เขาจะสั่งสอนบทเรียนให้เบลานต์รู้สำนึกสักที แต่อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เขาก็ไม่กล้าปริปากพูดอะไรที่จะทำให้เขาไม่พอใจขึ้นมาอีก จึงได้แต่พยักหน้าและยิ้มเจื่อน ๆ
“ท่านเบลานต์ เพื่อเห็นแก่เกียรติอันรุ่งโรจน์ของศาสนจักรแห่งแสงสว่างที่กระจายอยู่ทั่วทั้งจักรวรรดิแลนซล็อต ได้โปรดให้อภัยพวกเขาด้วยเถอะนะ”
อาร์คบิชอปคอสส์พูดกับเบลานต์ด้วยรอยยิ้ม
“ช่างมันเถอะ ข้าก็ทำทุกอย่างเพื่อเกียรติยศของศาสนจักรแห่งแสงสว่างอยู่แล้ว”
เบลานต์โพล่งขึ้นมา ก่อนจะหันไปพูดกับเด็มพัส
“พาพวกเขาออกไปจากที่นี่ ข้าจะล่อเจ้าเด็กนั่นไปทางอื่นเอง ข้าสัมผัสได้ว่าเป้าหมายหลักของเขาต้องเป็นข้าแน่ ๆ ท่าทางเขาจะเกลียดชังที่ข้าทำร้ายเขาไปเมื่อครั้งก่อน”
“ขอบคุณมากท่านเบลานต์ ระวังตัวด้วยนะ!”
เด็มพัสจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไปด้วยความเคารพ
แอชเบิร์นและชาลส์ต่างมองหน้ากันไปมา ชาลส์นึกสาปส่งเขาในใจอีกครั้ง ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าเป้าหมายของเขาคือตัวเอง แล้วทำไมยังมาอยู่ใกล้ ๆ พวกเราอีก? นี่ไม่ได้แปลว่าเจ้าวางแผนจะทำให้พวกเราโดนลูกหลงไปด้วยหรอกเรอะ? ไอ้แก่จอมเจ้าเล่ห์! ไร้ประโยชน์สิ้นดี!
“สหายคอสส์ ข้าคงต้องรบกวนให้เจ้าอยู่ข้าง ๆ ด้วยแล้วล่ะ เจ้าหนุ่มนี่เป็นจอมขมังเวทย์ผู้ใช้ความตาย มีเพียง “คัมภีร์วิวรณ์” อาวุธศักดิ์สิทธิ์ในมือเจ้าเท่านั้นล่ะ ที่จะกำจัดกองทัพอสูรมิติมืดของเขาได้”
เบลานต์พูดกับคอสส์
“ได้เลย”
คอสส์พยักหน้าตอบตกลง
*********************************